วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2563

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำสมาธิไม่เห็นนิมิตได้ไหม?

 

ดังตฤณ :  สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันเสาร์ ๓ ทุ่ม สำหรับคืนนี้จะเป็นหัวข้อที่ก็มีหลายท่านถามมา จริงๆ เนี่ยพอเริ่มถามมาคนแรกๆ นะ ก็จะรู้สึกว่าอาจจะเป็นปัญหาเฉพาะตน แต่ว่าพอหลายๆ คนเข้า ก็รู้ว่ามีคนที่อยากเจริญสติจำนวนไม่น้อยที่กลัวการทำสมาธิ ไม่ใช่เพราะกลัวเป็นบ้าอย่างที่เคยได้ยินข่าวคราวมานะครับ แต่ว่ากลัวจะเห็นโน่นเห็นนี่ เห็นนิมิต เพราะว่าพูดกันตรงๆ ง่ายๆ ก็คือกลัวผี แล้วก็ไม่สมัครใจ ไม่ยินดีที่จะหลับตาแล้วเห็นอะไรที่เข้าข่ายภูตผีปีศาจขึ้นมาได้

หรือก็จะมีอีกพวกหนึ่งบอกว่า ฟังครูบาอาจารย์เยอะว่า ถ้านั่งสมาธิไปแล้วเกิดนิมิตเห็นสวรรค์ เห็นเทวดา หรือว่าเห็นอะไรที่น่าติดใจ ระวังหลง ระวังติด ระวังเสียเวลาในการเจริญสติของจริง ก็เลยเป็นที่มาว่า มีหลายท่านกลัว กลัวจริงๆ ว่านั่งสมาธิไปแล้วจะเห็นนิมิต แล้วก็ไม่ต้องการที่จะเห็นนิมิตใดๆ เลยนะครับ อันนี้สำหรับคนที่กลัว คืนนี้เรามาเอาคำตอบกัน

ก่อนอื่นใดเลยตอบกันง่ายๆ ให้เข้าใจแบบที่เราจะได้ข้อสรุปสั้นๆ ตั้งแต่เริ่ม คือว่า นั่งสมาธิไม่เห็นนิมิตเลยเนี่ยได้นะครับ ถ้าจะเอาสุขอย่างเดียว เอาผ่อนคลายอย่างเดียว เอาความรู้สึกว่า เออถ้าเล็งว่าการทำสมาธิ คือการหลบหนีออกจากชีวิตที่วุ่นวาย เพื่อที่จะมาทำความสงบสุขให้กับจิตใจ แล้วก็ให้ร่างกายหายเครียด หายตึง หายปวดหัว อย่างนี้ได้

อย่างเช่น ถ้าเราพูดกันถึงการทำสมาธิ โดยอาศัยลมหายใจเป็นเครื่องตั้ง แค่เราพองท้องออกตอนหายใจเข้า แล้วก็ยุบท้องลงตอนหายใจออก เอาแค่นี้มันก็ไม่เห็นนิมิตอะไรแล้ว ได้แค่ความรู้สึกว่าหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่มันจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวขึ้นมาได้นะครับ มันก็เห็นอยู่แค่นี้ แล้วก็ได้สมาธิ

แต่ว่าสมาธิแบบนี้เป็นสมาธิแบบจิตเป็นสุขแล้วก็นิ่งแค่ชั่วครู่ชั่วคราว เสร็จแล้วพอมันเลิกนิ่ง มันก็กลายเป็นจิตที่เคลื่อนลอยเอื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ลอยไปลอยมา แล้วก็วกกลับมารู้สึกถึงท้องพองแล้วก็ท้องยุบ หายใจเข้า หายใจออก เป็นครั้งๆ เป็นคราวๆ ไม่เห็นอะไรอย่างอื่นมากไปกว่านี้ นี่คือสิ่งที่คนทำสมาธิส่วนใหญ่จะได้กัน ได้สิ่งที่ต้องการ คือมีความสุข มีความผ่อนคลาย ไม่เกิดความกังวล ไม่เกิดความฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความตึงเครียด แต่อีกหลายคนก็มาไม่ถึงตรงนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นที่จะเลยไปเห็นนิมิตนรก สวรรค์ เทวดา หรือว่าภูตผีปีศาจอะไรต่างๆ ก็ลืมไปได้ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ

ทีนี้ถ้าบอกว่า การทำสมาธิแบบนั้น แค่รู้ว่าท้องพอง รู้ว่าท้องยุบ รู้ว่าหายใจเข้ามันรู้สึกสดชื่นสบาย หายใจออกแล้วก็มีความผ่อนคลาย สบายทั่วกาย สบายทั้งใจ แบบนี้ยังไม่ใช่สมาธิแบบพุทธนะครับ ยังไม่ใช่สมาธิที่จะเอาไปเจริญสติอะไรได้ เป็นสมาธิแบบที่คนเข้าใจกันว่า ศาสนาพุทธสอนอยู่แค่นี้

บางคนก็เข้าใจไปด้วยซ้ำว่าไม่ต้องดูลมหายใจเข้า-ออก มันเป็นเครื่องพะรุงพะรังวุ่นวาย เอาแค่พุทโธก็พอ แล้วก็นั่งสมาธิแบบ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ  ไปเรื่อยๆ ถ้าจิตนิ่งสงบลงอันนั้นถือว่าเป็นสมาธิแบบพุทธแล้ว นี่เข้าใจแบบนี้กัน

เอาเป็นว่า ผมกะประมาณตัวเลขคร่าวๆ จากสถิติที่เจอคนพยายามเจริญสติ คนพยายามนั่งสมาธิกันมากันเยอะเนี่ยนะ ผมตีเป็นตัวเลขประมาณ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ และกว่านั้นด้วย เกินกว่า ๙๙ เปอร์เซ็นต์เนี่ย เอาชาวพุทธมาร้อยคนนะ ที่นั่งสมาธิ ตีความแล้วก็ทำความเข้าใจ ยินดีเต็มใจที่จะทำความเข้าใจแค่นั้น ไม่เอาอะไรมากไปกว่านั้น

เพราะฉะนั้นการนั่งสมาธิแบบพุทธในความเข้าใจของชาวพุทธส่วนใหญ่ วันไหนสงบคือดี วันไหนที่ฟุ้งซ่านคือสมาธินั้นไม่ดี มีอยู่แค่นี้ จบอยู่แค่นี้เลย ถ้าหากว่ามันจะได้ไปเห็นนิมิต เห็นนรก สวรรค์ เห็นอะไร ก็จะถือเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตน หรือถ้านานทีปีหนมันจะมีนิมิตอะไรขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง ก็จะจำว่าอันนั้นเป็นผลจากการนั่งสมาธิอย่างพิเศษ ที่จะเอามาบอกต่อว่า “นี่ฉันนั่งสมาธิแล้วได้เห็นอย่างนี้ เกิดแสงโอภาสอย่างใหญ่” อย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่ก็มีเทวดา มีครูบาอาจารย์มาสอนถึงที่เลย ไม่ต้องนั่งรถไปไหน ไม่ต้องขับรถไปหลายร้อยกิโล ครูบาอาจารย์มาประทับอยู่ตรงหน้าเลยเนี่ยนะครับ

บางคนก็บอกว่า เนี่ยได้แนวทาง ได้วิชาจากครูบาอาจารย์มาสอนอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ไม่เทียบเคียงด้วยนะว่า ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอนหรือเปล่า อันนี้ก็เลยกลายเป็นว่า พอเกิดนิมิตสมาธิแล้ว หลงเข้าใจไปว่าตัวเองกำลังทำสมาธิแบบพุทธ กำลังจะไปนิพพานแบบพระพุทธเจ้า กำลังจะได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ที่มาสอนนิมิตต่างๆ นาๆ ซึ่งอันนี้จะละไว้ไม่พูดนะครับ ว่ามันจริงหรือไม่จริง เพราะมันไม่จบถ้าพูดเรื่องจริงพูดเรื่องไม่จริงในสิ่งที่มันพิสูจน์กันแบบจับต้องไม่ได้ ต่างคนต่างก็จะทึกทักเป็นจริงเป็นจังอยู่แล้วเวลาที่เห็นอะไรในสมาธิ เพราะฉะนั้นจะไปเถียงกันเรื่องถูกเรื่องผิดไม่มีประโยชน์ มาคุยกันในเรื่องของเป้าหมายดีกว่านะครับ

ถ้าเจริญสติแบบพระพุทธเจ้าเนี่ย จริงๆ แล้ว เรานั่งสมาธิไปเพื่ออะไร สมาธิแบบพุทธเขาเห็นอะไรไปเพื่ออะไร ตรงนี้เรามาทำความเข้าใจกันก่อนเลยในเบื้องแรกว่า .. พูดกันตรงๆ นะครับ นั่งสมาธิแบบพุทธ ต้องเห็นนิมิต นั่งสมาธิแบบจะเอาเป็นการต่อยอดเจริญสติขั้นแอดวานซ์ (advance)ยิ่งๆ ขึ้นไปไม่เห็นนิมิตไม่ได้ แต่ตรงนี้แหละจุดสำคัญ ทางแยกของความเข้าใจมันอยู่ตรงนี้ เห็นนิมิต

คำว่า นิมิต คืออะไร เห็นไปเพื่ออะไร ถ้าไม่ทำความเข้าใจกัน คนไทยชาวพุทธเกือบร้อยทั้งร้อยเลยเท่าที่ผมพบมาสามสิบกว่าปี จะเข้าใจกันว่า นิมิต คือการเห็นโน่นเห็นนี่ ที่มันพิสูจน์ไม่ได้จับต้องไม่ได้ ไม่สามารถบอกต่อกันด้วยตาเปล่า รู้แต่ว่ามีรูปร่างเทวดาอย่างนั้นอย่างนี้ หรือว่าภูตผีปีศาจอย่างนั้นอย่างนี้ เนี่ยความเข้าใจ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ มันจะเป็นแบบนี้นะ

แต่ นิมิตที่แท้จริง หมายถึงว่า เป็นเครื่องหมายแสดงซึ่งปรากฏต่อใจ ถ้าเป็นนิมิตสมาธินะ เป็นเครื่องหมายอะไรบางอย่าง ที่ปรากฏต่อใจอย่างแจ่มชัด แล้วความแจ่มชัดนั้น มีประโยชน์เพื่อที่เราจะได้เห็นแจ้งตามจริง

เวลาจิตจะเกิดปัญญาเนี่ย ถ้าหากเห็นอะไรพร่าๆ เลือนๆ แล้วก็จิตเลื่อนไปเลื่อนมา ไม่อยู่กับฐาน ไม่อยู่กับที่ตั้ง มันไม่ได้เห็นจริง มันไม่ได้รู้จริง แล้วจิตก็ไม่สามารถที่จะระเบิดกิเลสทำลายอวิชชาอะไรได้ มีแต่คิดๆ นึกๆ ไปว่าเราสงบเท่านี้ น่าจะละกิเลสขั้นนั้นขั้นนี้ได้ แต่เสร็จแล้วพอตาไปประจวบรูป หูไปประจวบเสียง กิเลสกลับคืนมา กลับคืนมายกใหญ่ ถึงค่อยรู้ตัวว่ากิเลสยังไม่ได้ไปไหนเลย มันยังอยู่เท่าเดิม ย่ำอยู่กับที่ ที่ได้สมาธิไปนึกว่าถึงขั้นนั้นขึ้นนี้ จริงๆ แล้วเป็นแค่ของที่มาหลอก เป็นภาวะจิตชนิดหนึ่งที่หลอกเราว่าเราได้นั่นได้นี่แล้ว

การเจริญสติแบบพุทธเนี่ยนะ ที่เราทำสมาธิแล้วพระพุทธเจ้าตรัสอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนิมิตสมาธิก็เพื่อตรงนี้ เพื่อที่จะเห็นว่า ถ้าทำสมาธิไปมีจิตที่พร้อมรู้ตามจริง มันจะเกิดสมาธิแบบอิงความจริงขึ้นมา อันนี้เป็นความเข้าใจข้อแรกที่สำคัญมากๆ นะครับ นิมิตมีทั้งไม่อิงของจริง และอิงของจริง

นิมิตไม่อิงของจริง เป็นยังไง?
นิมิตที่ไม่อิงของจริงคือ เราหลับตาไปแล้วเห็นอะไรก็ได้ ที่มันจะผุดขึ้นมากลางห้วงมโนทวารของเรา อย่างเช่นไปเห็นว่า ในอดีตของเราชาติก่อนเคยเป็นนั่นเป็นนี่ ไปเป็นราชามหากษัตริย์ เคยไปเป็นอะไรที่มันใหญ่ๆ โตๆ เพราะอัตตาของคนเรามันชอบ จิตก็เลยจะป้อนนิมิตอะไรพรรค์นี้เทือกนี้มาให้ก่อนเป็นอันดับแรกๆ เลย เห็นตัวเองยิ่งใหญ่อลังการ เป็นกษัตริย์ เป็นโน่นเป็นนี่ เพื่อที่จะล่อให้เราหลงติดกับดักของอัตตา

ใครที่นั่งสมาธิไปไม่กี่ครั้งแล้วเห็นนิมิตทำนองว่า ตัวเองเคยเป็นนั่นเป็นนี่มา ระวังนะครับ คุณได้เจอไม่ใช่โชคดีนะ โชคไม่ดีนะได้เจอกับดักของกิเลสที่มันวางล่อไว้ หรือไปเห็นนิมิตว่าจะเกิดนั่นเกิดนี่ขึ้นมาในอนาคต ซึ่งบางคนก็ดันตรงซะด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับเรื่องเลข นี่ก็เป็นนิมิตที่ไม่อิงความจริงนะครับ คือคำว่าอิงความจริง ต้องอิงความจริงในปัจจุบันที่สามารถจะลืมตาขึ้นมาจับต้องได้นะครับ

หรือบางทีก็มีนิมิตอีกแบบหนึ่งเห็น นรก สวรรค์ ซึ่งโอเคทางพุทธเรา บอกว่ามันเห็นได้ มันเห็นได้จริงๆ แต่ประเภทที่เพิ่งเกิดสมาธิแบบอ่อนๆ แล้วไปเห็นนิมิต นรก สวรรค์ ซึ่งมันเกินความสามารถของมนุษย์ธรรมดาไป ส่วนใหญ่ไม่ใช่นะ ส่วนใหญ่มันจะเหมือนนิมิตตอนหลับฝันนั่นแหละ คือสมองมันทำงาน ไปปรุงแต่งภาพอะไรขึ้นมา เห็นนั่นเห็นนี่ไป เพียงแต่ว่านิมิตสมาธิ พวก นรก สวรรค์ หรือว่า เทวดา หรือว่า เปรต อสูรกาย อะไรต่างๆ ที่ปรากฏในห้วงนิมิต มันจะมีความแจ่มชัดมากกว่าความฝัน แล้วก็มีกำลังของสมาธิที่มันสนับสนุนอยู่ ก็เลยเหมือนกับว่าเป็นจริงเป็นจัง แล้วก็ทำให้คนทึกทักเชื่อได้ง่ายๆ ว่า สิ่งที่ตัวเองเห็น มันของจริง ทั้งที่จริงๆ ไม่แตกต่างจากภาพเลอะเลือนของความฝันขณะหลับแต่อย่างใดเลย อันนี้เรียกว่าเป็นนิมิตที่ไม่อิงความจริงในปัจจุบัน

นิมิตที่อิงความจริง
แต่นิมิตที่อิงความจริงอันเป็นปัจจุบัน ซึ่งพระพุทธเจ้าสนับสนุนให้เห็นเป็นยังไง เราจะมาทำความเข้าใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสให้อาศัยอานาปานสติเป็นเครื่องตั้งของสติสำหรับมือใหม่และมือเก่าแล้ว

เพราะว่าถ้าคุณสามารถที่จะหลับตาหรือลืมตา แล้วเห็นว่าลมหายใจที่มันเข้ามันออก มีความชัดเจนวิ่งเป็นเส้นเป็นสาย บางคนเห็นเป็นท่อชัดเจนเนี่ยนะครับ มันมีประโยชน์ เพราะว่าถ้าคุณนั่งไปจนกระทั่งสามารถเห็นได้เป็นสายนะ



เห็นว่ามีลมแล่นไปถึงปอดแล้วก็ขยายออก แล้วก็ย้อนกลับออกมา บางคนเห็นชัดขนาดเป็นว่า เริ่มต้นเนี่ย มีปลายเรียวแหลม แล้วก็มีลักษณะเป็นกลุ่มหมอก กลุ่มควันยังไงตอนที่เข้ามาอยู่ในร่างกาย แล้วตอนคืนออกไปมันคืนออกไปสู่ความว่างอย่างไร มีประโยชน์มาก เพราะจะทำให้เห็นกระจ่างชัดว่า ลมหายใจไม่ใช่ตัวตน ลมหายใจเป็นเพียงธาตุที่เข้ามาแล้วออกไป ไม่ซ้ำชุดเดิมตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีลมหายใจไหนเลยสักสายเดียว ที่มันซ้ำของเดิม อันนี้มันจะเห็นชัดเจนมาก

แล้วนอกจากนั้นคุณก็จะสามารถ พอลมหายใจมันปรากฏชัด แต่ว่าจิตต้องละเอียด เวลาที่กลุ่มความคิดมันเกิดขึ้น ก็จะเห็นเป็นของอื่น ของแปลกปลอม ซึ่งปรากฏขึ้นในหัวของเรา จากเดิมที่ไม่มีความคิด มันเงียบนิ่งอยู่ด้วยสมาธิ พอจิตเคลื่อนแล้วเกิดเวทนาเป็นสุข เป็นสุขเป็นทุกข์ขึ้นมา มันเห็นเลยว่า สุขทุกข์นั้นพาเอาความหมายรู้หมายจำอะไรบางอย่างขึ้นมา แล้วก็ก่อตัวขึ้นเป็นความคิดปรุงแต่งชั่วขณะที่จิตมันเคลื่อนออกจากสมาธินั้น ตรงนี้ก็มีประโยชน์ มันจะเป็นนิมิตความคิด ทำให้เห็นว่าความคิดมันก่อตัวขึ้น แล้วก็สลายตัวลงในหัวของเรานี่เอง

ความรู้สึกที่จิตมีความว่างเปล่าจากความยึดถือว่าความคิดเป็นตัวเป็นตน มันก็จะทำให้เกิดความว่างจากตัวตน แล้วก็เห็นว่า กลุ่มความคิดเคลื่อนมา แล้วเคลื่อนไป ผ่านมา แล้วผ่านไป ไม่ได้มีค่าไปกว่าเมฆหมอก

ที่เราสำคัญมั่นหมาย หรือว่าหลงยึดติดว่า นี่เป็นเราคิด เราเป็นผู้คิด มีผู้คิดอยู่ในเรา มันก็จะหายไป เหลือแต่จิตที่ว่างจากอุปาทานชั่วขณะหนึ่งนะครับ นี่คือความหมาย คือความสำคัญว่า ทำไมเราจึงควรที่จะ .. ถ้าอยากจะเจริญสติแบบพุทธ เอาตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าท่านปูทางไว้ เราถึงควรจะเห็นลมหายใจให้ได้ว่ามันเป็นนิมิตชนิดหนึ่งนะครับ เวลาที่จิตเกิดความนิ่ง เกิดความสงบ เกิดความสามารถจะรู้ ลมหายใจที่มันเข้ามันออก จะปรากฏโดยความเป็นนิมิตความไม่เที่ยงขึ้นมาได้เอง

ทีนี้คนก็มักจะตั้งคำถามว่า “เอ๊ะ! เนี่ยทำมาตั้งนานไม่เห็นเกิดเห็นนิมิตอะไร ไม่เห็นจะรู้สึกถึงลมหายใจโดยความเป็นนิมิตเลย”

อันนี้นะก็อยากจะย้อนกลับมาพูดนะครับ ถ้าคุณฝึกได้ก่อนนะครับ เอาแบบที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นขั้นเป็นตอนเลย ขึ้นต้นมา ให้รู้ให้ได้ก่อนว่า ขณะนี้กำลังหายใจเข้า ขณะนี้กำลังหายใจออก เมื่อมีสติที่จะรู้ได้ว่า กำลังหายใจเข้า หรือหายใจออก ก็ค่อยฝึกว่า ตอนนี้เรากำลังหายใจยาว หรือหายใจสั้น ถ้าหากว่า .. เนี่ยคุณเลียนแบบตามนี้ได้เลยนะครับ (ตามคลิปฝึกหายใจยาว)




ตอนหายใจแล้วท้องมันค่อยๆ โป่งออกมาเป็นลูกโป่ง แล้วหยุดนิดนึง อย่าหยุดด้วยการเกร็งหน้าท้องนะ แต่ว่าให้มันสุดที่หน้าอกที่มันจะทำหน้าที่ดึงลมหายใจขั้นสุดท้ายเนี่ยนะครับ เสร็จแล้วค่อยๆ ระบายออก ตรงนี้เนี่ยจะเกิดความเคยชินแบบเป็นไปเองที่จะรู้ว่า กำลังหายใจยาวหรือหายใจสั้น

ถ้าหากว่าหายใจยาว มันรู้เลยว่าท้องมันป่องขึ้นมาเยอะ มีความยืดหยุ่น มีความสุข มีความสบาย มีความผ่อนคลายทั่วทั้งร่าง แต่ถ้าหากหายใจสั้น มันจะมีความรู้สึกเกร็งๆ ฝืนๆ หรือไม่ก็มีความรู้สึกไม่ค่อยแช่มชื่นเท่าไหร่ ไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ พอรู้ไปอย่างนี้เรื่อยๆ แล้วใจไม่วอกแวกไปไหน ในที่สุดแล้วมันจะเกิดความเคลียร์ ทัศนวิสัยของจิตมันจะค่อยๆ เคลียร์ขึ้น แล้วก็เวลาหายใจได้ยาวๆ มันจะเห็นขึ้นมาเองว่า อ๋อตอนจิตที่มันไม่มีอะไรเป็นความฟุ้งซ่าน เป็นเมฆหมอกปกคลุม ตอนที่มันใสๆ เลย เวลาหายใจเข้า เวลาหายใจออก มันเห็นเป็นสายขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องพยายามใดๆ ทั้งสิ้น

ทีนี้ถ้าเริ่มที่จะมีความคุ้นเคย เริ่มที่จะมีกำลัง มันสามารถทำได้เรื่อยๆ เนี่ย ขึ้นต้นมาบางทีเราสามารถตั้งไว้ได้เลยว่า อืมเนี่ยเราจะเห็นว่าลมเข้า-ลมออกโดยความเป็นสาย คือมันจะมีจุดอยู่จุดหนึ่งในจิต ที่เรารู้ว่าพอดีตั้งอยู่ตรงนั้นแล้วเนี่ย มีความใส มีความพอดีแล้ว มันจะเห็นลมหายใจเป็นสายได้ทุกครั้ง แล้วก็มีความสม่ำเสมอ มันจะมีความเชี่ยวชาญ มันจะมีความชำนาญมากขึ้นเรื่อยๆ

ทีนี้บางคนก็ถามอีกว่า “เอ๊ะ!มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ คือทั้งๆ ที่บางทีเนี่ย ก็นั่งดูไปตั้งนานแล้ว ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมหายใจยาว ลมหายใจสั้น แต่จิตมันก็ยังขุ่นมัว ขมุกขมัว เกิดความรู้สึกราวกับว่า มีอะไรที่มาบดบังทัศนวิสัยอยู่ตลอดเวลา”

อันนี้ก็จะเป็นโอกาสให้ทำความเข้าใจนะครับ เป็นนิมิตชนิดหนึ่ง ตอนที่รู้สึกว่ามีอะไรขมุกขมัวเหมือนกับมีควันไฟที่มันมืดๆ ที่มันเหมือนกับเป็นม่านหมอกมารบกวนไม่ให้มองเห็นลมหายใจได้ชัดอะไรแบบนี้เนี่ยนะ ขอให้ทำความเข้าใจ ณ จุดนั้น ให้เกิดการเรียนรู้ ณ จุดนั้นว่า จิตเนี่ยถ้าหมักหมมด้วยความคิดแบบกิเลสๆ เจือปนไปด้วย ราคะ โทสะ แล้วก็ความสำคัญตัวผิด ความหลงตัวที่เป็นโมหะทั้งหลายแหล่เนี่ยนะ หรือว่าความง่วงงุน ง่วงหงาวหาวนอนอะไรต่างๆ ถ้าหากมันสะสมหมักหมมในจิตใจแน่นหนาแล้ว ต่อให้เราทำสมาธิถูก หรือเคยทำสมาธิได้ดีๆ มาก่อน มันก็จะเหมือนกับเสื่อมความสามารถลง จิตจะอยู่ในสภาพที่พร้อมจะรับรู้ได้แค่ความสุขตอนหายใจยาว แล้วก็รู้ว่ามันเป็นทุกข์อึดอัดตอนหายใจสั้น รู้ได้แค่นั้น มันจะไม่สามารถมองเห็นนิมิตอะไรได้นะครับ อันนี้เป็นความเข้าใจที่คุณจะสามารถเรียนรู้ได้ด้วยประสบการณ์ตรงทางจิตนะครับ

สังเกตดูวันไหนถ้าจิตใจสบายผ่องแผ้ว แล้วก็มีศรัทธาสวดมนต์ แล้วเกิดความรู้สึกศรัทธาพระพุทธเจ้า มีความสุขมีความเบิกบาน แล้วก็สำรวจศีลทีละข้อ วันนี้ฆ่าสัตว์มั้ย ไม่ได้ฆ่า วันนี้ขโมยของมั้ย ไม่ได้ขโมย ไม่ได้โกง ไม่ได้หลอกลวงใคร  แล้วก็ไม่ได้ผิดศีลข้อกาเม ไปผิดประเวณีกับคนมีเจ้าของหรือคนมีสิทธิ์ในลูกของเขาเมียของเขา ไม่ได้กินเหล้าเมายา ไม่ได้เสพยาอี ไม่ได้เสพยาหลอนอะไรทั้งสิ้น สำรวจมาทีละข้อ ทีละข้อ มันถึงจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เออตอนนี้พร้อมจะสงบได้ เพราะมันมีความรู้สึกเป็นสุข มีความรู้สึกชื่นใจที่ทบทวนแล้ววันนี้ศีลไม่ได้หม่นหมอง ตัวนี้เป็นตัวที่เราใช้อธิบายได้หลายอย่างเลยนะว่า เอ๊ะ!บางวันทำไมน่าจะทำสมาธิได้ แต่กลับทำไม่ได้ มันมืดๆ มัวๆ ชอบกล นั่นก็เพราะว่าบางวันมันคิดมาก บางวันเหมือนกับเจ้าคิดเจ้าแค้น ผูกใจเจ็บคนนั้นคนนี้ ทั้งๆ ที่เรื่องมันผ่านไปแล้วเป็นปีๆ ก็อุตส่าห์รื้อฟื้นรื้อฝอยหาตะเข็บเอากลับมากระหน่ำทุบตีจิตตัวเองให้มันบอบช้ำด้วยความอาฆาตพยาบาท มันจะเห็นเลยนะว่าจิตเนี่ยจับต้องได้ด้วยความรับรู้นะ ด้วยสติ มันเป็นอะไรที่จับต้องได้จริงๆ เป็นธรรมชาติที่เห็นเลยว่า เออถ้าวันนี้ทั้งวันจิตมันบอบช้ำอยู่ จิตมันอยู่ในสภาพที่เป็นอกุศล จิตมันอยู่ในสภาพมืดดำ เหมือนเอาเมฆหมอกมืดๆ มาห่อหุ้มตัวเอง แล้วจะมานั่งทำสมาธิมันเป็นไปไม่ได้นะครับ คือเราไม่มีความพร้อม เราไม่มีฐานของกำลังความสว่างที่มันจะเคลียร์จิตเคลียร์ใจให้ใสพอที่จะเห็นนิมิตสมาธิ

ตรงนี้คุณจะเกิดความเข้าใจในแบบที่พาชีวิตตัวเองเข้าไปสู่อีกเขตนึงเลยนะครับ เขตของชีวิตที่มีความสังวรระวังไม่เอาอกุศลเข้าตัว ไม่เอาบาปมาห่อหุ้มตัวเอง ที่บอกว่าทำสมาธิได้บ้างไม่ได้บ้างมันลุ่มๆ ดอนๆเนี่ย พอเรารักษาศีลได้สะอาด เรารู้จักให้อภัยเป็นทาน ไม่ใช่เอาแต่ให้ทรัพย์เป็นทาน มันจะมีความรู้สึกว่า เออได้ฐานของกำลังที่จะเป็นสมาธิมากพอที่จะใสได้มากพอจะเห็นความละเอียดของลมหายใจเป็นนิมิตได้นะครับ อันนี้ก็เป็นความเข้าใจที่ยกระดับขึ้น ไปสู่ความเข้าใจในอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือว่า การจะเห็นนิมิตสมาธิได้นานแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับจิตโยกเยก หรือว่าตั้งมั่น ถ้าหากว่าจิตมันโยกเยกนะ ตอนที่เราเห็นลมหายใจ มันเหมือนจะจับได้แล้วว่า เนี่ยเขาเห็นกันแบบนี้ ที่เขาเห็นสายลมหายใจกันยาวๆ เนี่ยนะ มันเพราะว่าตั้งจิตไว้แบบหนึ่ง จิตมันใสๆเนี่ย แล้วเกิดความรู้สึกว่า ตาไม่ได้เพ่งโฟกัสคับแคบอยู่ที่ตรงจุดใดจุดหนึ่งที่มันเล็กๆ แต่เปิดกว้าง เป็นการเปิดกว้างแบบนิ่งสบาย แล้วมันก็เห็นความเป็นนิมิตลมขึ้นมา เนี่ยจับจุดถูกแล้ว แต่ว่าแป๊บนึงมันก็เคลื่อน แล้วกลับมาไม่ได้อีก ไอ้ตรงนี้เนี่ย มันเป็นเรื่องทั้งความชำนาญในการเข้าจุดที่จะเห็นนิมิตสมาธิ แล้วก็เป็นเรื่องของกำลัง ซึ่งมันขึ้นอยู่กับชั่วโมงบิน

ถ้าหากว่ามีชั่วโมงบินมาเยอะๆ กำลังมากขึ้น มากขึ้น รู้สึกสบายอยู่ในตัวเอง กล้ามเนื้อผ่อนคลายอยู่ตลอดเวลา จิตใจผ่องแผ้วพร้อมจะเบิกบาน พร้อมจะเปิดกว้าง อย่างนี้ก็จะรู้ว่านี่แหละคือฐานกำลังของสมาธิ นี่แหละคือความใสที่เราจะสามารถเห็นนิมิตสมาธิเป็นสายลมหายใจอะไรต่างๆ ได้ยาวนาน

แต่ถ้าจับได้มั่นคั้นได้ตายแค่แป๊บๆ แล้วจิตเคลื่อน อันนี้ก็คือยังไม่มีกำลัง นี่ตรงนี้ก็เป็นอีกความเข้าใจหนึ่ง ซึ่งน่าจะเกิดประสบการณ์ตรงได้ ถ้าหากว่าคุณเห็นนิมิตสมาธิได้บ่อยๆ นะครับ จิตตั้งมั่นเห็นได้นาน จิตโยกเยกเห็นได้แป๊บเดียว

แล้วบางทีเนี่ย ไม่ใช่ว่าทำสมาธิเก่งแล้วแปลว่านั่งปุ๊บเห็นปั๊บ อันนั้นเรียกว่าเป็นผู้ทรงฌานนะครับ นั่งปุ๊บเห็นปั๊บ แต่ถ้าหากว่าเรายังเป็นผู้เริ่มต้น ถึงแม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงที่เห็นได้บ่อยๆ เห็นได้นานๆ แล้วเนี่ย พอกลับมานั่งสมาธิอีกครั้งนึง บางทีก็ต้องอาศัยเวลา บางทีสิบนาทีบ้าง บางคนครึ่งชั่วโมง บางคนหนึ่งชั่วโมง กว่าที่จะเห็นนิมิตสมาธิได้แจ่มชัด อันนี้ก็เป็นความเข้าใจอีกจุดหนึ่ง ไม่ใช่ว่ามาตั้งคำถามว่า “ทำไมเราถึงไม่เก่งสักที ทำไมเราถึงไม่สามารถเห็นอย่างที่เคยเห็นได้ตลอด” นี่ต้องมีความเข้าใจอันเป็นสัมมาทิฏฐินะครับ มาบอกตัวเองมาสอนจิตตัวเองอยู่เรื่อยๆ นะครับว่า มันก็เหมือนเล่นกีฬานั่นแหละ มันก็เหมือนเล่นดนตรีนั่นแหละ มันไม่ใช่ว่าเราจะเข้าจุดได้ทันทีทุกครั้ง มันต้องมีวอมอัพ มันต้องมีการใช้เวลากว่าจะเคลื่อนเข้าไปถึงจุดที่โฟกัสได้ กว่าจะลงไปอยู่ในระดับของจิตที่มีความคมชัดแล้วก็ใสได้ บางทีมันต้องอาศัยเวลากันนิดนึงนะครับ

คราวนี้มาถึงความเข้าใจข้อสำคัญที่สุดนะครับว่า เราจะเห็นนิมิตไปทำไม อย่างบอกว่า

“เนี่ยเข้าใจแล้วล่ะว่า ทีเห็นลมหายใจไปเนี่ย มันจะได้ชัดเจนไงว่าเข้ามาแล้วออกไป เข้ามาแล้วออกไปนะ ไม่ใช่สายลมเดิม มันแสดงความไม่เที่ยง เป็นแค่ธาตุลม ไม่ใช่ตัวเขา ไม่ใช่ตัวใคร ไม่ใช่ตัวคุณ ไม่ใช้บุคคล ไม่ใช้มนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่อะไรเลย เป็นแค่ธาตุลมที่เข้ามาแป๊บนึง แล้วก็จะต้องคายคืนออกไปสู่ความว่างเปล่าในอากาศธาตุธรรมชาติเบื้องนอก”  คือรู้แล้ว เข้าใจแล้วว่าเห็นไปเพื่ออย่างนี้ เสร็จแล้วมันจะมีอะไรอีก มีอยู่แค่นี้เหรอ? ไม่ใช่นะครับ!

มันจะทำให้คุณเกิดมีสติอย่างเป็นไปเอง เห็นว่าลมหายใจที่มันกำลังแล่นเข้าแล่นออกอยู่เนี่ย แล่นเข้าแล่นออกในอิริยาบถแบบไหน ถ้าคุณรู้อิริยาบถอันเป็นปัจจุบันได้ชัด ก็นั่นแหละคือคุณรู้สภาพทางกายแล้ว

ถ้าหากคุณรู้สภาพทางกาย อันนี้สำคัญนะ คือมันก็จะนำไปสู่เป้าหมายที่ยกระดับขึ้นไปอีก ที่เห็นว่ากายทั้งกายนี้เลย มันประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆ ที่แออัดยัดทะนาน พอเราสามารถที่จะเห็นนิมิตลมหายใจได้ ความสามารถที่จะเห็นนิมิตอื่นๆ มันไม่จำกัดเลย

อย่างพอเห็นลมหายใจล่วงเข้าสู่ร่างกายอย่างแจ่มชัด แล้วดูต่ออีกนิดเดียว คุณจะเห็นเหมือนกับร่างกายมันเปิด มันเป็นห้องมืด เดิมมันเป็นห้องมืดนะ แล้วลมหายใจไปกดสวิตช์เปิดให้เกิดความสว่างขึ้น เห็นหมดเลยนะว่าข้างในนี้มันประกอบด้วยอะไรบ้าง แออัดยัดทะนานด้วยอะไรบ้าง

หรือบางคนไม่ต้องเห็นไปขั้นนั้น เอาแค่รู้สึกถึงความเป็นร่างกายที่มันมีความเป็นหนังห่อหุ้มอยู่นี่แหละ แล้วเคลื่อนไหวอยู่ ไอ้ความเคลื่อนไหวมันเกิดขึ้นได้ยังไง? มันมีกระดูกเป็นแกนของความเคลื่อนไหว เมื่อคุณเห็นอย่างนั้นได้ แล้วเห็นไปเรื่อยๆ นะ มันจะเกิดธรรมชาติของร่างกายแสดงออกมาให้จิตเห็นได้เองว่า ในที่สุดแล้วมันจะต้องเน่าเปื่อยผุพัง มันจะแสดงอาการเน่าเปื่อยผุพัง แล้วแยกกระจายเป็นชิ้น เป็นส่วน กระจัดกระจาย กระดูกอยู่ส่วนกระดูก ตับ ไต ไส้ พุง อยู่ส่วน ตับ ไต ไส้ พุง มันจะเห็น .. คือจริงๆ แล้วเนี่ย บางคนไม่จำเป็นต้องเห็นถึงขนาดนั้นก็ได้สามารถมีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมแล้วนะ เพราะแค่เห็นว่าลมหายใจมันส่องให้รู้ได้รางๆ ว่าสภาพร่างกายรูปพรรณสัณฐานแบบนี้ เราไม่เคยออกแบบ เราไม่เคยเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง ธรรมชาติมันคุมไว้หมด แล้วคุมด้วยอะไร ถ้าเราทำตามความเข้าใจแบบที่พระพุทธเจ้าสอนคือ มันถือกำเนิดขึ้นด้วยกรรม คุมอยู่ด้วยกรรม เราก็จะรู้ว่าไอ้ที่มันคุมๆ กันอยู่เนี่ย เอาตับ ไต ไส้ พุง เอากระดูก เอากรรมมารวมกันเนี่ย มาผูกกันเป็นหุ่นยนต์อยู่ชั่วคราวเนี่ยนะ มันไม่เคยเป็นตัวใคร

แล้วก็จะสามารถรู้ไปได้ทะลุปรุโปร่งหมดเลยว่า กายนี้มีที่สุดแค่เป็นสุข กายนี้มีที่สุดแค่เป็นทุกข์ ที่สุดของสุข ที่สุดของทุกข์ มันมีได้แค่ขอบเขตภายในกายนี้แหละ ที่มันจะอยู่ในภพภูมิแบบมนุษย์ หรือพอจิตของเราตั้งมั่นเป็นฌานได้ สุขและทุกข์ก็ไปที่สุดอยู่ที่จิตแค่นั้นนะครับ ไม่มีอะไรเกินไปกว่านั้น

ถ้าเราได้เห็นว่า ทั้งสุขทั้งทุกข์อาศัยเครื่องประกอบขึ้นมาทางกาย หรือทางจิต จิตต้องมีสภาวะแบบหนึ่งมันถึงจะเป็นสุข พอเสื่อมจากสภาวะนั้น กลายเป็นทุกข์ กลายเป็นความดิ้นรนอยากจะเอาสภาวะแบบนั้นๆ กลับคืนมาอีก เนี่ยเห็นแบบนี้มันก็เกิดความรู้สึกว่า ไอ้ที่นึกว่าร่างกายนี้ซึ่งเป็นนิมิตอย่างแจ่มชัด แล้วก็จิตนี้ซึ่งก็เป็นนิมิตอย่างแจ่มชัดเช่นกัน ที่นึกว่าเป็นตัวเป็นตนเนี่ย จริงๆ แล้วเป็นเหยื่อล่อเท่านั้น เหยื่อล่อให้ยึด ตรงนี้แหละพอคุณเห็นนะว่า กายกับจิตเป็นแค่เหยื่อล่อให้ยึด มันจะไม่ยึดแล้ว ตรงนั้นแหละเป้าหมาย ตรงนั้นแหละแก่นสารของความเป็นพุทธศาสนานะครับ

พอเรามีความเข้าใจว่า จะเห็นนิมิตไปทำไม มันก็จะไม่กลัวนิมิตอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิมิตที่อิงความจริงที่กำลังปรากฏอยู่ในปัจจุบันชัดๆ นะไม่มีอะไรน่ากลัวเลย มันไม่มีอารมณ์หลอนแบบเห็นภูตผีปีศาจ ตอนเห็นภูตผีปีศาจมันจะมีอะไรหลอนๆ เข้ามา มีบรรยากาศรอบตัว หรือบรรยากาศทางจิตที่เปลี่ยนไป มันวิเวกวิเหว๋งโหว๋งชอบกลนะ แล้วก็มีอะไรที่กระแสยะเยือกอะไรแบบนี้ อันนั้นคือความน่ากลัวของนิมิตแบบที่คนหวาดระแวงกันว่าจะเจอนะครับ

แต่ถ้าหากว่าเป็นนิมิตลมหายใจ เป็นนิมิตทางกาย เป็นนิมิตที่แสดงความไม่เที่ยงของกายใจ อันนั้นนอกจากจะไม่น่ากลัวแล้ว ยังมีความรู้สึกแช่มชื่น เบิกบาน สว่าง สมาธิแบบพุทธที่ตรงทางจะมีความสว่าง สว่างแบบใส สว่างแบบทำให้รู้สึกปลอดโปร่งใจ สว่างแบบที่จะทำให้จิตของเราบรรจุแน่นอยู่ด้วยกุศลธรรม นอกจากไม่กลัวแล้ว มันจะยิ่งมีความรู้สึกว่า เออเนี่ยมันเกิดฉันทะนะ เกิดความพึงพอใจที่จะทำสมาธิได้ทุกวันนะครับ ทำเพื่อที่จะได้เห็นกาย เวทนา จิต และธรรม โดยความเป็นนิมิตแสดงความไม่เที่ยง


------------------------------------------------

๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำสมาธิไม่เห็นนิมิตได้ไหม?

ระยะเวลาคลิป      ๓๖.๔๗ นาที
รับชมทางยูทูบ    
https://www.youtube.com/watch?v=1R3P4L9P_Sw&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=9           

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น