ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน
พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันเสาร์สามทุ่ม คืนนี้ก็เรียกว่า จะให้เกิดความเข้าใจนะครับ
ทั้งในส่วนของ เรื่องของกรรมวิบาก แล้วก็เรื่องของการเจริญสติ
เพราะว่าถ้าเข้าใจเรื่องนึงอย่างชัดเจน ก็จะเข้าใจอีกเรื่องนึงตามไปด้วยนะครับ
ชื่อทอปปิก (Topic) ของตอนนี้นะครับบอกว่า “เจตนายิ่งเข้ม ตัวตนยิ่งข้น”
อย่างคนเนี่ยนะครับ ถ้าเมื่อชาติก่อนเคยไปทำกรรมแบบหนึ่ง
ทำบุญแบบหนึ่งอย่างชัดเจนมาก มีความโดดเด่นในเรื่องบุญอันนั้นมากเนี่ย
ส่วนใหญ่พอเกิดใหม่ในชาติถัดมา จะมีรูปร่างหน้าตาชัด หน้าตา โหนกแก้ม จมูกโด่ง
ดูมีมิติ ดูมีความเข้ม ดูมีความขลัง ใครเห็นแล้วเกิดความรู้สึกว่า เออนี่หน้าตาแบบนี้เนี่ย
ดูทีเดียวเนี่ยจำได้เลยนะครับ จำหน้าตาได้
ในขณะที่อีกหลายๆคน
ดูแล้วต้องเจออีกหลายๆหนถึงจะจำได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องความเข้มข้นของกรรม
คนบางคนเนี่ย ยกตัวอย่างเอาแบบที่เห็นได้ชัดที่สุด เข้าใจได้ง่ายนะครับ
อย่างบางคนเนี่ยประดิษฐ์ประดอยพระพุทธรูป เป็นช่าง เป็นปฏิมากร ปั้นพระพุทธรูป อุทิศกายอุทิศใจถวายเป็นพุทธบูชาทั้งชีวิต
แล้วก็ไม่ใช่ทำแค่เล่นๆ
ไม่ใช่ทำแค่เพื่อที่จะรับเงินมาแบบผ่านๆ แต่มีจิตใจทุ่มเท มีความละเอียดละออ
ตั้งใจพัฒนาปรับปรุ่งฝีมือ เห็นความอ่อนช้อย เห็นความงดงาม
เห็นความน่าเลื่อมใสขององค์พระ แล้วก็ได้เห็นว่า ผู้คนเนี่ยได้มีศรัทธาปสาทะ เกิดจิตปีติ
เกิดโสมนัส ในขณะกราบกันอย่างไรเนี่ยนะครับ แบบนี้ทำอยู่ทั้งชีวิต
เกิดใหม่ก็จะด้วยเจตนาที่เข้มข้น ด้วยกรรมที่มีความชัดเจนว่า
เราจะอุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้กับการประดิษฐประดอยพระปฏิมาให้เกิดความงดงาม น่าเลื่อมใส
เกิดใหม่ก็ย่อมมีความชัดเจนเด่นชัด
มีรูปหน้ามีมิติ มีออร่า เปล่งประกายมาแต่ไกล ใครเห็นเกิดความเลื่อมใส เกิดความรู้สึกว่า
เออรูปนี้ โฉมนี้เนี่ย ไม่ว่าจะเกิดเป็นเพศชาย หรือเพศหญิงก็ตาม เห็นปุ๊บจำได้เลย
เห็นปุ๊บอยากเห็นอีก เห็นปุ๊บเนี่ยเกิดความรู้สึก มีความสุขขึ้นมาทันทีอะไรแบบนี้
อันนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
ยังมีกรรม
ยังมีตัวเจตนาที่เข้มข้นแบบอื่นๆ อย่างเช่น บางคนอุทิศทั้งชีวิตเนี่ย
เอาแบบที่ไม่เป็นบุญบ้าง ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นบาป อุทิศทั้งชีวิตให้กับการต่อจิ๊กซอว์
สนุกมาก แล้วก็มีแพสชัน (Passion)
มีไฟมากกับการต่อจิ๊กซอว์ ยิ่งตอนเด็กๆเนี่ยนะครับมีความสามารถต่อจิ๊กซอว์ภาพขนาดกลางได้
ผู้ใหญ่ขึ้นมานิดนึงขนาดใหญ่ซับซ้อนนะครับ
แล้วก็หัวคิดทั้งหมดเนี่ยอุทิศให้กับการต่อจิ๊กซอว์อยู่ไม่ขาด
แบบนี้คือมันไม่เป็นบุญ มันไม่เป็นบาป แต่ว่าตัวรูปของกรรม
รูปของความเป็นคนช่างคิด ชอบต่อจิ๊กซอว์เนี่ยมันก็ปรากฏได้ในชาติถัดมานะครับ
ดูเป็นคนหน้าตาชัด แต่ไม่ได้หล่อไม่ได้สวย ไม่ได้น่าเลื่อมใส
เห็นแล้วไม่ได้มีความสุข แต่ว่าจำได้ อะไรแบบนี้เป็นต้นนะครับ
อันนี้พูดให้ฟังแบบคร่าวๆว่า
ตัวเจตนาหรือตัวกรรมเนี่ยมันมีผล บางคนเจตนาอ่อนกรรมอ่อน บางคนเจตนากลับไปกลับมา กรรมก็พลิกไปพลิกมา
ระหว่างบุญกับบาปได้ หรืออย่างบางคนเนี่ย อย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อกี้
บางคนเมื่อชาติที่แล้วเคยเป็นปฏิมากร ได้สร้างพระพุทธรูปงามๆไว้มากมาย
แต่เกิดใหม่ลืมยังหาตัวเองไม่เจอ ก็อาจจะมีช่วงต้นชีวิตที่มีความสับสนในตัวเอง
คือรูปหน้าเนี่ยชัดมากเลย ดูเป็นผู้นำ ดูเป็นผู้น่าเลื่อมใส
เห็นแล้วดูหน้าตาเนี่ยแบบว่าเป็นแรงบันดาลใจ
เกิดความสุขอยากได้พบอยากได้เจอเป็นดาราอะไรแบบนี้นะครับ
แต่ตัวจิตตัวเจตนาจริงๆเนี่ยมันยังมีกำลังอ่อน คือยังหาตัวเองไม่เจอ
บอกเป็นดาราเป็นได้ แต่เป็นแล้วก็ไม่ได้ถึงกับขนาดมี
แพสชัน (Passion) ที่จะแสดงที่อินกับบทบาทนะครับ
หรืออยากจะไปทำธุรกิจ
อยากทำอย่างอื่น อยากทำโน่นทำนี่ที่มันจะได้รู้สึกเป็นตัวของตัวเองซะที
หาเป้าหมายของชีวิตตัวเองเจอซักทีเนี่ย ก็เหมือนกับไม่ประสบความสำเร็จ
อย่างนี้เนี่ยเจตนาในชาติใหม่ ก็มีกำลังอ่อน แล้วก็เหมือนกับไม่ได้ทำอะไรที่คืนความรู้สึกว่า
มีตัวตนชัดเจนกลับมาซักทีนะครับ อันนี้ก็เป็นเรื่องของความไม่รู้ข้ามชาตินะครับ
ชาติก่อนทำอะไรไว้จำไม่ได้
มีแพสชัน (Passion)
แบบไหน มีความสนุกกับการทำอะไรไว้เนี่ยมันลืม
แต่ว่าปรากฏในรูปร่างหน้าตา ทำให้คนอื่นนึกว่า คนนี้เนี่ยจะต้องมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนแน่ๆ
แต่เจ้าตัวจะรู้ว่าข้างในมันโหวงเหวงอยู่ อันนี้ก็เรียกว่า ขัดแย้งกับความรู้สึกระหว่างตัวเก่ากับตัวใหม่
แต่ถ้าเกิดใหม่
ได้เจองานประดิษฐ์ หรือว่างานเกี่ยวกับศิลปกรรมอะไรที่ทำให้เกิดความชื่นชอบได้
แล้วมีจิตเจตนาที่เข้มข้นเท่าเก่า ก็จะรู้สึกว่าเนี่ยเป็นตัวของตัวเอง เป็นตัวเดิม
เป็นตัวตนแท้ๆของตนเองนะครับ
เหมือนกับเจออาชีพ
หรือว่าเจอเป้าหมายของชีวิต บางทีคำว่า เจออาชีพ หมายถึงว่า
หาเงินหาทองได้ด้วยตัวเอง แต่เจอเป้าหมายชีวิตบางทีมันไม่ได้เงิน
แต่ว่าได้ความรู้สึกว่า เนี่ยเป็นตัวของตัวเองนะครับ
ทีนี้สำหรับคนทั่วๆไป
ที่บอกว่า คุณเคยเจอมั๊ย อย่างช่วงอายุนึง คุณเจอใครบางคนนะแล้วเขาดูเหมือนกับฟุ้งซ่าน
ดูหน้าดูตา แล้วคุยๆไปมันเลื่อนลอย ทำให้ใจของคุณพลอยเลื่อนลอย หรือฟุ้งซ่านตามเขาไปด้วย
ก็เกิดความรู้สึกรำคาญในออร่าแบบนั้น หรือว่าในกระแสตัวตนแบบนั้น ที่มันเหมือนกับเลื่อนลอยไป
เลื่อนลอยมา พลิกกลับไปพลิกกลับมา นั่นคือลักษณะของจิตที่ไม่มีเจตนาเข้มข้น
ไม่มีกรรมที่ต่อเนื่อง ไม่มีแพสชัน (Passion) หรือความชอบใจ ที่จะตรึงจิตให้อยู่กับเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งอย่างเข้มแข็ง
มันก็เลยไปพลอยทำให้คนใกล้ตัว เกิดความรู้สึกเลื่อนลอย หรือว่าฟุ้งซ่านตามไปด้วย
ยิ่งพูดเนี่ยมันยิ่งออกอ่าว
คนที่ไม่มีเป้าหมายชีวิตเนี่ยนะครับ
สังเกตได้ง่ายๆเลย พูดๆไปแล้วเพลินจะพล่ามไปเรื่อยๆ มันจะไม่มีจุดหมาย
มันจะไม่รู้ว่า ควรจะพูดอะไร ไม่พูดอะไร รู้แต่ว่าอยากพูด ประเภทนี้ก็ทำให้คนที่คุยด้วยเกิดความรู้สึกฟุ้งซ่านตาม
ถ้าคุณมีเพื่อนที่คุยโทรศัพท์วันนึงชั่วโมงสองชั่วโมงนะครับ
ปรับทุกข์กันไปปรับทุกข์กันมา วนอยู่กับที่ กี่วันกี่วันก็ทอปปิก (Topic) เดิมนะครับ
เรื่องเดิมๆเรื่องเก่าๆขุดคุ้ยขึ้นมา เนี่ยประเภทนี้แหละที่คุณจะรู้สึกถึงความมีตัวตนไม่ชัดเจน
พร้อมจะโอนเอนไปมา
แล้วก็เห็นหน้าเห็นตาเวลาคุยกันเนี่ย
จะรู้สึกเลยว่า หน้าตาแบบนี้มันไม่จำ มองแล้วเกิดความรู้สึกว่า มันพร่าเลือนชอบกล
นั่นมันเป็นอาการพร่าเลือนของจิต เป็นอาการพร่าเลือนของออร่าที่มันไม่คงที่
มันสลับไปสลับมา เดี๋ยวสว่าง เดี๋ยวมืด เดี๋ยวหม่น เดี๋ยวดำ เดี๋ยวแดง เดี๋ยวขาว
อันนี้ก็เลยทำให้ความจดจำของผู้เห็นมันไม่ชัดเจนตามไปด้วย
ทีนี้ถ้าคนๆเดียวกันที่เคยป่วนๆ
เคยแบบว่าเดี๋ยวมีจิตอ่อน จิตหนัก เดี๋ยวฟุ้งมาก เดี๋ยวฟุ้งน้อยเนี่ย
ถ้าหากว่าเขาเจอแพสชัน (Passion)
ในชีวิต เจอเป้าหมายในชีวิต อีกหลายปีต่อมาคุณเจอเนี่ยคุณจะรู้สึกเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ดูหน้าตาชัดเจนขึ้น มองไปแล้วรู้สึกมองนิ่งๆได้ มองด้วยความรู้สึกสบายใจ ไม่เป๋ไป ไม่เป๋มาเหมือนเมื่อคุยกันเมื่อห้าหกปีที่แล้ว
อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่า
กรรมใหม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกในตัวตน ทั้งเจ้าตัวเอง แล้วก็คนเห็นได้นะครับ
ไม่ใช่ว่าจะต้องรอข้ามชาติกันเสมอไป ถ้ารอข้ามชาติเนี่ย มันปรากฏในรูป รูปกาย รูปหน้าตารูปร่าง
แต่ถ้าในชาติเดียวเนี่ยมันปรากฏในออร่าที่ออกมา
อันนี้มันเป็นประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งทุกคนเคยผ่านๆ เคยเจอๆ มาอยู่แล้ว
แล้วคนอื่นเห็นอย่างไร เจ้าตัวก็รู้สึกคล้ายๆแบบนั้นนั่นแหละ
ถ้าหากว่าเจอแพสชัน
(Passion)
นะครับ คนเรามีเป้าหมายในชีวิต แล้วเกิดความต่อเนื่องที่จะทำ
ที่จะเดินไปตามเส้นทางนั้นๆ เห็นตัวเองมีพัฒนาการ เห็นตัวเองมีการเลื่อนขั้นความสามารถ
หรือว่ามีความรู้อะไรลึกซึ้งในทางนั้นๆมากขึ้นๆ มันจะรู้สึกเป็นเอกเทศ รู้สึกมีเอกลักษณ์ของตัวเอง
รู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น และไม่จำเป็นต้องคิดตามคนอื่น สามารถคิดเองได้
สามารถมีสติอยู่กับเส้นทางของตัวเองได้
อันนี้ก็เกิดความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่
เออเลี้ยงตัวเองได้ เกิดความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่ สามารถคิดเองได้
เกิดความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่ สามารถนำคนอื่นได้อะไรแบบนี้
เนี่ยออร่ามันก็แจ่มชัดขึ้นมา คนอื่นเห็นก็เกิดความรู้สึกว่า
เออมันดูแล้วเนี่ยเป็นผู้นำได้อะไรแบบนี้นะครับ
ก็แสดงให้เห็นว่า
คนๆนึงจะเปลี่ยแปลงตัวเองได้ ก็เมื่อมีกรรมที่เข้มข้นคือเจตนาที่จะทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างชัดเจนต่อเนื่อง
จนกระทั่งผลหรือว่าวิบาก ผลของเจตนาที่เข้มข้นนั้นน่ะ ผลิดอกออกผล
จะชาติหน้าหรือว่าชาติเดียวกันก็ตาม ความรู้สึกในตัวตน มันจะมีความเสถียร แล้วก็เรียกว่ามีความปรากฏชัด
ทั้งกับตัวเองแล้วก็คนอื่น อย่างที่บอกว่า ดารามีออร่าแจ่มชัดกว่าคนธรรมดา
บางทีก็มาจากความรู้สึกข้างในแบบเดียวกันที่มีตัวตนชัดเจน แตกต่างจากคนอื่น
อันนี้คือในแง่ของเรื่องกรรม ในแง่ของเรื่องของวิบาก
คราวนี้มาพูดในแง่ของการปฏิบัติ
ปฏิบัติธรรมเจริญสติ ตัวเจตนาที่มันเข้มข้นมันดีหรือไม่ดียังไง
มันมีผลต่างในการปฏิบัติอย่างไร
ผมจะยกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อันนี้ขึ้นมาก่อน
พระพุทธเจ้าตรัสไว้แบบนี้นะครับ “ตติยฌาน เป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย สรรเสริญว่า
ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข”
อันนี้นะครับคือ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสูตรเกี่ยวกับเรื่องของฌานหลายๆสูตร ความหมายเนี่ยมีอย่างไร
ความหมายก็คือ คุณต้องเข้าใจนิตนึงว่า อย่างถ้าเราทำสมาธิเนี่ย
มันต้องมีความตั้งอกตั้งใจ
ที่จะดูอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อตรึงจิตไว้ให้นิ่งอยู่กับที่
หรือว่าให้รู้เห็นจนกระทั่งเกิดความชัดเจนนะว่า สิ่งที่กำลังรู้ สิ่งที่กำลังเห็นนั้น
ปรากฏแสดงความไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวเดิม ไม่ใช่ตัวตนออกมานะครับ
อันนี้ก็เป็นที่รู้กันในหมู่นักปฏิธรรมเจริญสติว่า
ถ้าขาดสมาธิมันไม่มีทางที่จะเห็นความไม่เที่ยง
ถ้าขาดสมาธิมันไม่มีความสามารถที่เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ชัดเจออย่างแน่นอน
ก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย เพราะจิตมีอยู่หลักๆก็แค่นี้แหละ สงบหรือว่าฟุ้งซ่าน
ถ้าสงบก็พร้อมที่จะรู้ พร้อมที่จะเห็นอะไรอย่างแจ่มชัด
แต่ถ้าฟุ้งซ่าน
ก็จะไม่เห็นอะไรเลย มีแต่แล่นตามความฟุ้งซ่านหรือว่า โดนพายุความฟุ้งซ่านซัดไป
เพราะฉะนั้นมันเลยต้องนิ่งก่อน นิ่งให้ได้ ทำสมาธิให้เป็นก่อน
ทีนี้พอทำสมาธิเกิดอะไรขึ้น
ตัวอาการจดจ้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อให้เกิดสมาธิ จะเป็นลมหายใจก็ตาม
จะเป็นการบริกรรมพุทโธก็ตาม จะเป็นการเพ่งกสิน
เอาดวงกลมๆอะไรยกขึ้นตั้งให้จิตหน่วงไว้นะครับ
จนกระทั่งเกิดนิมิตชัดเจน
อะไรก็ตามที่เป็นตัวตรึงให้จิตอยู่กับที่ได้เนี่ย มันต้องอาศัยเจตนา
มันต้องอาศัยเจตจำนงตรึกนึกถึงสิ่งนั้นๆ
ถ้าคลาดเคลื่อนจากการตรึกนึกถึงสิ่งนั้นๆ
สิ่งนั้นๆหายออกไปจากใจ ใจมันก็พร้อมจะเลื่อนลอยปัดเป๋ไปฟุ้งซ่านไป
เหมือนกับพอเรานึกถึงลมหายใจ ถ้าลมหายใจปรากฏอยู่ในช่วงไหน
ช่วงนั้นเราก็จะเกิดความรู้สึกว่า มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลมหายใจ
องค์ของสมาธิที่เกิดจากการที่เราตั้งใจเจตนาที่จะรู้ลมหายใจ อันนั้นแหละเรียกว่า “วิตก”
“วิตก”
ในที่นี้ไม่ใช่วิตกกังวล แต่หมายถึง วิตกแบบตรึกนึก
ถ้าตรึกนึกไปนานๆจนกระทั่งลมหายใจ หรือว่า ถ้าเดินจงกรมก็เท้ากระทบ
มันปรากฏอยู่ในใจราวกับว่า มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิต
จิตไม่วอกแวกไปไหนเลย
มีแต่ผัสสะกระทบที่เท้าเดินจงกรมหรือว่าผัสสะกระทบที่ลมหายใจเข้าหรือออกเนี่ยนะ
ไม่วอกแวกไปไหนเลย อันนั้นเกิดองค์ของสมาธิที่เรียกว่า “วิจาร”
“วิจาร”
ในที่นี้ไม่มี “ณ์” นะครับมีแต่ “จาร” วิจาร หมายความว่า จิตมันแนบเข้าไป
มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว รู้สึกราวกับตัวเองเนี่ย
จิตของตัวเองเนี่ยกลายเป็นสิ่งนั้นซะเอง อันนี้ก็คือพูดง่ายๆว่า ด้วยวิตก วิจาร
ถึงจะตรึงจิตให้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนจิตเกิดสมาธิขึ้นมาได้
ทีนี้พอจิตเริ่มเป็นสมาธิ
แบบที่มันจะไต่ลำดับขึ้นไปเป็นฌานเนี่ยนะ จะเริ่มมีความพอใจ มีความอิ่ม มีความรู้สึกว่า
เออไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องไปฟุ้งซ่านคิดถึงอะไรก็ได้ แล้วก็จะเกิดความสุข เป็นสุขแบบเยือกเย็น
ไม่ใช่สุขแบบที่จะทำให้กระโดดโลดเต้น หรือว่าปีติยินดีในแบบที่จะทำให้ขนลุกขนพองนะครับ
เป็นปีติและสุขในทางที่จะทำให้เกิดวิเวก
ตัววิเวกจิตเนี่ยนะครับ
มันจะพัฒนาขึ้นไป อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเกิดความวิเวก เกิดความรู้สึกว่าจิตเปิดกว้าง
นั่นน่ะในที่สุดนะครับ ความเปิดกว้างนั้น มันจะผนึกรวมกระแสให้เป็นหนึ่ง มีความรู้สึกว่างออกมาจากตรงกลาง
แล้วก็ขยายขอบเขตออกไปกว้างขวาง
ซึ่งจะกว้างขวางแค่ไหน
ขึ้นอยู่กับขอบเขตของจิตที่มันจะเปิด ที่มันจะแผ่ออกไปนะครับ ตรงนี้แหละพอจิตรวมได้ถึงเอกัคคตาหรือว่าพูดง่ายๆว่า
จิตมีความเป็นใหญ่มีความเป็นหนึ่ง หูดับไม่ได้ยินอะไร อย่างที่พระพุทธเจ้าเคยเดินจงกรม
ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ยินอะไรเลย
นั่นเพราะว่าท่านทรงอยู่ในฌานขณะเดินจงกรม
อันนี้เรามาแยกกันนิดนึง
อย่างถ้าได้ถึงปฐมฌาน ตรงนั้นเนี่ยถ้าสมมติว่า เราเข้าถึงปฐมฌานได้ด้วยลมหายใจ มันจะเห็นลมหายใจปรากฏชัดอยู่
นั่นเพราะว่า จิตยังมีตัววิตกและวิจารเป็นองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดฌาน
ทีนี้พอขึ้นฌานที่สอง
ตัววิตกมันหายไป ตัวตรึกนึกมันหายไป แต่ยังมีอาการที่จิตเนี่ยแนบแน่นอยู่กับลมหายใจได้นะครับ
ทีนี้พอขึ้นฌานที่สามหรือว่า
ตติยฌานที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ตติยฌาน เป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่าผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา
มีสติ อยู่เป็นสุข” นั่นเพราะอะไร
เพราะว่า
ตัวเจตนาเนี่ยมันหายไป ตัวเจตจำนง ตัววิตกที่จะไปหน่วงเอาอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งไว้เป็นเครื่องตรึงสมาธิเนี่ยมันหายไป
มันเหลือแต่ภาวะของจิตที่นิ่งอยู่โดยอัตโนมัติของมัน เป็นไปเองของมันโดยไม่ต้องอาศัยเจตนา
หรือว่าเจตจำนงของเราเข้ามาช่วย
จริงๆเจตนาเนี่ยมีเกิดกับทุกจิตนะครับ
แต่ว่าในที่นี้เนี่ยมันไม่มีตัวเข้าไปหน่วงเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเป็นอารมณ์
ตัวของจิตเองเนี่ยมันตั้งอยู่เป็นอัตโนมัติ แล้วก็ตั้งอยู่อย่างนั้น จึงมีความสุข มีอุเบกขา
และรู้สึกว่าไม่มีตัวตน
ตัวนี้เนี่ยที่คุยกันมา
เพื่อที่จะบอกว่า ถ้าเราเจริญสติอยู่นะครับ คือโอเคไม่ต้องถึงฌาน
ไม่ต้องถึงแม้แต่ปฐมฌานก็ได้ แต่เราสามารถสังเกตว่า ในขณะใดขณะหนึ่ง
เรากำลังมีความตั้งใจ ที่จะจับอารมณ์เข้มข้นแค่ไหน
ถ้าหากว่า
เราตั้งใจจะรู้ลมหายใจอย่างแน่วแน่นะครับ
ตั้งอกตั้งใจมากเกินไปแบบขี่ช้างจับตั๊กแตน แบบนั้นเนี่ย ความรู้สึกในตัวตนมันไม่หายไปไหนแน่นอน
แต่ถ้าหากว่า เรารู้สบายๆ ตามความเป็นจริงว่า ณ
ขณะหนึ่งๆ กำลังหายใจออก หรือหายใจเข้า กำลังหายใจยาว หรือว่าหายใจสั้น
รู้ไปแบบที่คือไม่ไปมีตัวตนในการบังคับเอา หรือว่ามีตัวตนในการอยากได้สมาธิ
มีตัวตนในการอยากให้ความฟุ้งซ่านมันสงบระงับลง แต่เป็นไปด้วยอาการยอมรับตามจริง
เนี่ยก็เป็นการเลียนแบบสมาธิในแบบไม่มีตัวตนแล้ว
ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ย
เพื่อสรุปลงตรงนี้ว่า ถ้าเราเจริญสติในแบบที่จ้องเอา จ้องเอา จะเอาผลที่ดี
ผลไม่ดีไม่สน ผลไม่ดีเนี่ยพอเกิดขึ้นจะปฏิเสธมันทันที
จะเกิดความรู้สึกอึดอัดทุกข์ทรมานใจทันที แบบนั้นมันมีตัวตนไม่มีที่สิ้นสุด
ปฏิบัติไปจนตายก็ไม่ได้มรรคผล
แต่ถ้าหากว่า
คุณจับจุดถูก เข้าใจได้ว่า “เจตนายิ่งเข้ม ตัวตนยิ่งข้น” เจตนายิ่งอ่อน คือ หมายถึงว่า ตัวเจตจำนงเนี่ยที่จะไปจับเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้
จับให้มั่นคั้นให้ตายยิ่งอ่อนลงเท่าไหร่ ตัวตนความรู้สึกในตัวตนก็ยิ่งอ่อนกำลังลงเท่านั้น
คนก็มักจะสงสัยว่า
เอ้..มันจะได้ยังไงนะ ถ้าจะให้เกิดสมาธิมันต้องเกิดความต่อเนื่องสิ
อันนี้ให้สังเกตความหนัก ความเบาของความจงใจ ของความมีตัวตน ที่จะไปบังคับเอา
ถ้ามีกำลังอ่อน ถ้ามีการรับรู้เฉยๆ เป็นผู้รู้ผู้ดู เหมือนกับผู้ดูละคร
ไม่ขึ้นไปเล่นกับตัวละครบนเวทีด้วย เนี่ยตัวนี้นะพอยิ่งทำไปเราจะยิ่งรู้ว่า
เจตจำนงยิ่งอ่อน จริงๆแล้วตัวรู้มันจะยิ่งปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆต่างหาก
มันไม่ใช่ว่าเจตจำนงอ่อนแล้วตัวรู้มันจะหายไปไหน หรือว่าไม่เกิดขึ้น
เจตจำนงอ่อนด้วยการที่เราเหมือนกับทำตัวว่าเป็นผู้ยอมรับ
เป็นนักยอมรับความจริง ไม่ใช่เป็นผู้เล่น ผู้บงการ เนี่ยใช้คำนี้ก็แล้วกัน
คุณสังเกตดูเวลาที่คุณปฏิบัติสมาธิหรือว่า จะคิดว่าตัวเองกำลังจะเจริญสติเนี่ย มันจะมีอาการแบบว่าเป็นเจ้าเป็นนาย
อยากได้นั่นอยากได้นี่ ให้ได้อย่างใจ เอาให้ได้อย่างใจ เนี่ยเป็นจอมบงการ ตัวนี้เรียกว่าเจตนาเนี่ยเข้มข้น
ตัวตนของผู้อยากได้มันก็ย่อมเข้มข้นตาม
แต่เมื่อใด
เราสามารถถอดโขน ถอดวิญญาณของความเป็นเจ้าเป็นนาย หรือว่าจอมบงการออกไปได้
มันจะเหลือแต่ผู้ยอมรับ ไม่ใช่ผู้ยอมแพ้งอมืองอเท้านะครับ ไม่ใช่ผู้ดูดาย
ไม่ตั้งรู้อะไรเลย
แต่เป็นผู้ยอมรับ
เนี่ยนั่งอยู่เฉยๆ ด้วยอาการที่ไม่กระดุกกระดิก ด้วยอาการที่ไม่มีความกระสับกระส่าย
ไม่มีอาการเกร็งของผู้พยายามตั้งท่าที่จะต่อสู้หรือว่า ตั้งท่าที่จะแข่งเอาให้ได้
แต่เป็นผู้ที่มีความผ่อนคลายเนื้อตัว แบบผู้ที่นั่งดูอะไรเพลินๆสบายๆ
เหมือนกับนั่งมองท้องฟ้า เหมือนกับนั่งมองทะเล เพียงแต่ว่า ตามธรรมชาติธรรมดาของกายใจเนี่ยมันไม่ได้สวยเหมือนท้องฟ้า
ไม่ได้สงบเหมือนกับทะเลเรียบตอนเช้า
แต่บางทีมันปั่นป่วนเหมือนกับทะเลที่บ้าคลั่งมีพายุ ซึ่งตรงนั้นถ้าหากว่า เรายังมีความสามารถที่จะนั่งผ่อนคลายสบายใจได้ทั้งตอนที่ทะเลเรียบ
และก็ตอนที่ทะเลมีพายุเนี่ย อันนั้นแหละเรียกว่าเป็น “นักยอมรับความจริง”
ไม่ใช่ “ผู้บงการ” จะเอาให้ได้ฉากทะเลสวยๆอย่างเดียวนะครับ
เอาล่ะ ก็คงเข้าใจนะครับว่า
เจตนายิ่งเข้ม ตัวตนยิ่งข้น
ก็จะเอามาสรุปรวมตรงเรื่องของการปฏิบัติเจริญสตินี่แหละว่า ถ้าเรายิ่งอยากได้
ยิ่งอยากให้เกิดอะไรขึ้น ตัวตนน่ะมันไม่ไปไหนนะครับ ไม่มีทางทิ้งตัวตนได้
ไม่มีทางได้มรรคผล แต่ถ้าหากว่าคุณมีศิลปะในการเป็นนักยอมรับความจริง เจตนาแค่รู้
เจตนาแค่ดูอยู่ ในที่สุดแล้วเนี่ย มันก็จะขึ้นไปถึงฌานขั้นนึง ถ้าทำได้นะครับ ถ้ารวมจิตได้เนี่ยที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
อริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญ นะครับ
---------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ตอน เจตนายิ่งเข้ม ตัวตนยิ่งข้น
ระยะเวลาคลิป ๒๙.๑๒
นาที
รับชมทางยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=xLQj1oUNc1c
*** IG ***