วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอนปฏิบัติธรรมมานานทำไมหนี้ไม่หมดเสียที

ดังตฤณ  :  สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิธรรมที่บ้านโดยมูลนิธิบูรณพุทธ คืนนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับข้อข้องใจของหลายๆท่านนะครับ


หัวข้อที่เราจะคุยกันวันนี้ ฟังแล้วอาจจะดูเหมือนตลก ดูเหมือน เอ๊ะ! สงสัยอย่างนี้ได้จริงๆหรือ เป็นคำถามจริงๆหรือเปล่า ... จริงนะครับ อยู่ในใจคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเข้าใจว่า คนที่มาปฏิบัติธรรมหลายท่านก็มีปัญหาแบบโลกๆ โดยเฉพาะเรื่องหนี้สิน


ของอะไรก็ตาม ทุกข์อะไรก็ตามที่คาอยู่ในใจคนเรา พอมาโยงเกี่ยวกับเรื่องของศาสนา เกี่ยวกับเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่พึ่งของชีวิต มักจะอดคิดไม่ได้ และบางทีปากไม่ได้พูด แต่ใจคิดอยู่ตลอดเวลาทุกคืนทุกวัน


อย่างเช่น พอเป็นหนี้เยอะๆแล้วปฏิบัติธรรม เขาว่าปฏิบัติธรรมแล้ว จะดีอย่างนั้นจะดีอย่างนี้ ได้อานิสงส์มากมายมหาศาล ไปสวรรค์ไปนิพพาน ก็อดคิดไม่ได้ว่า เอ๊ะ ทุกข์ตื้นๆ อย่างเช่น เป็นหนี้ในโลกนี้แล้วทำไมถึงไม่หมดทุกข์อันนี้ไปเสียที และคำว่าปฏิบัติธรรมไม่ได้มีแค่เรื่องของการเจริญสติอย่างเดียว มีเรื่องของการให้ทาน การถือศีลนะครับ


บางคนก็ได้ยินว่า “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม” ... รักษาแล้วทำไมมันจนลง จนลง ทำบุญไปตั้งเยอะแล้วนะ ไม่มีผลตอบแทนแบบที่ถึงใจกลับมาสักที บางคนก็บอกว่า กำลังจะหมดแรงแล้วนะ กำลังจะเสื่อมศรัทธาในศาสนาแล้วนะ มีจริงๆนะครับ


แล้วผมได้ยินมาเยอะมากหลายสิบปีที่ผ่านมา คือถ้าใครไม่คิดก็จะนึกไม่ออกว่าทำไมเขาคิดกันอย่างนั้น แต่ผมเห็นใจ และเข้าใจความรู้สึกของคนที่กำลังเผชิญหน้ากับความทุกข์ แล้วก็รู้สึกว่าหาทางออกไม่ได้ แล้วมาได้ยินโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือไปได้ยินมาจากบางสำนัก ชูเป็นเหมือนกับตัวล่อใจว่า ถ้ามาปฏิบัติธรรมแล้ว จะได้ดิบได้ดีอะไรอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วหนี้จะหายไป ชีวิตจะสุขสำราญ เพราะฉะนั้น ก็เลยมีโจทย์แบบนี้ในใจกันขึ้นมา


เรามาคุยกันว่า คำว่า “หนี้” นะครับ มีอยู่สองแบบ คือ หนี้เงิน กับ หนี้กรรม คุณต้องแยกแยะให้ออกก่อน ว่าหนี้เงินต่างจากหนี้กรรมอย่างไร ไม่อย่างนั้นคนที่เป็นหนี้หลายๆคนจะมองว่า หนี้กรรมกับหนี้เงิน คืออันเดียวกัน คงมีกรรมไว้เยอะนะ เลยต้องมาเป็นหนี้


จริงๆแล้ว หนี้เงิน เป็นหนี้ที่ถ้าหากว่าเราเป็นคนก่อแล้ว ก็ถามง่ายๆเลย หนี้ก้อนนั้นจริงๆแล้ว เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ไหม ถ้าสามารถหลีกเลี่ยงได้แต่ยังไปขืนมีหนี้ อันนั้นของปัจจุบันนะครับ เป็นกรรมปัจจุบันทำตัวเองนะครับ


แต่ถ้าหากว่า ประเภทไม่ได้ไปเป็นคนก่อหนี้ แต่ต้องไปใช้หนี้อาจจะเพราะว่าบิดามารดา หรือว่าญาติสนิทมิตรสหาย บุคคลอันเป็นที่รักไปก่อหนี้ไว้ แล้วก็โยนหนี้ก้อนนี้มาให้เราแบกอยู่บนบ่า อย่างนี้มีสิทธิ์ที่เรียกว่าเป็นหนี้กรรม เพราะว่าเคยไปทำในลักษณะเดียวกันนี่แหละนะครับ

คือคนอื่นเขาปลอดหนี้อยู่ดีๆก็ไปโยนหนี้ให้เขา เห็นว่า เออเก่งดีนัก หรือว่าไม่มีหนี้ ไม่ทุกข์เหมือนฉัน ก็จงรับภาระไปบ้างให้ทุกข์เหมือนฉัน หรือว่าแบ่งเบาจากฉันไปบ้าง คนเราคิดอย่างนี้กันจริงๆ


แล้วถ้าหากว่า เราเคยทำคนอื่นไว้ก่อน บางทีนะครับ อยู่ในดีเอ็นเอ (DNA) เลย คือถูกขีดชะตาไว้เลยว่า จะต้องไปเข้าท้องพ่อ ท้องแม่ แบบที่ว่าโตขึ้นก็ได้ไปใช้หนี้แทนพ่อแทนแม่


บางคนผมสงสารมากเลยนะ คือต้องใช้หนี้แทนพ่อแทนแม่ตลอดชีวิตก็มีนะครับ เพราะว่าพ่อแม่ไปก่อหนี้ก่อสินไว้ ชนิดที่มนุษย์ธรรมดากินเงินเดือน ไม่สามารถที่จะใช้ได้หมดด้วยวิธีการธรรมดาๆ เพราะฉะนั้น พอเราแยกออกว่า หนี้เงินอันเกิดจากการที่เราไปก่อไว้เอง กับ หนี้กรรม แตกต่างกันอย่างไร เรามาดูกันเจาะลึกลงไปอีกนิดหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องหนี้กรรม เพื่อที่จะได้เข้าใจจริงๆว่า การปฏิบัติธรรมจะช่วยหรือไม่ช่วย ในแง่ไหนได้


อย่างนอกจากไปผลักภาระ หรือว่าไปทำให้คนอื่นเขามีภาระแทนตัวเอง ยังมีเรื่องของบาปข้ออทินนาทาน ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าไปลักทรัพย์ ถ้าไปขโมยของใคร หรือว่าไปฉ้อฉล ไปเอาเงินของใครเขามา ด้วยวิธีทุจริตคิดคด แบบนี้ถ้าทำไปมากๆ ถ้าทำแบบเชี่ยวชาญชำนาญ จนกระทั่งเป็นนิสัยเป็นอาชีพ ก็เรียกว่าจิตวิญญาณ เป็นจิตวิญญาณของคนบาป

ถ้าไม่สามารถล้างออกได้ทันก่อนตาย ก็มีที่หมายอยู่หนึ่งเดียว คืออบายภูมิ ไม่นรกก็เดรัจฉาน ไม่เดรัจฉานก็เปรต แต่ยังไม่หมดเศษกรรมนะ ถ้าได้กลับมาเป็นมนุษย์ ก็จะอยู่ในทิศทางที่โดนดีเอ็นเอ (DNA) วางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนเกิดเลย ก่อนออกจากท้องแม่ว่า พอมีทรัพย์สมบัติของตัวเอง ทรัพย์จะพินาศ


เวลาที่คิวกรรมเผล็ดผล เราไม่สามารถคาดคะเนหรือคำนวณเอาด้วยหัวคิดได้ แต่กรรมเขาจะรู้จังหวะของเขาว่า อันนี้เป็นคิวของบุญ อันนี้เป็นคิวของบาป ถ้าหากว่าคิวของบาปในข้อที่เราเคยไปทำให้ทรัพย์ของคนอื่นเขาหาย ทรัพย์ของคนอื่นเขาพินาศไป ก็จะมาเกิดกับเราบ้าง เป็นเหมือนบูมเมอแรงนะครับ


ถ้าหากว่าเรามีเงินมีทองใช้อยู่ดีๆ แล้วอยู่ๆวันหนึ่ง มันหายไปด้วยเหตุอะไรก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะเหตุของทรัพย์พินาศ มีได้หลายประการ บางทีถูกขโมย บางทีถูกภัยธรรมชาติมากลืนกินไป ด้วยน้ำ ดิน ลม ไฟ อย่างใดอย่างหนึ่ง อันนี้ก็เรียกว่าเป็นทรัพย์พินาศทั้งหมด


ถ้าเป็นหนี้เป็นสินอยู่มากๆ โดยที่ไม่สามารถจะชดใช้ได้หมดในเวลาอันรวดเร็ว และเกิดความรู้สึกทรมานใจยืดเยื้อ ถ้าหากว่าเราไม่ได้เป็นคนก่อหนี้ด้วยตนเอง แต่ไปแบกหนี้คนอื่น นี่ก็เป็นลักษณะหนึ่งของทรัพย์พินาศเช่นกัน  เพราะว่าเราเสียสิ่งที่ไม่ควรจะเสีย เงินเป็นของเราอยู่ดีๆ ต้องเอาไปชดใช้ให้คนอื่นแบบที่มีเรื่องของบุญคุณค้ำคออยู่อะไรแบบนี้ นี่ก็เรียกว่าเป็นทรัพย์พินาศเช่นกัน


นอกจากกรรมเรื่องอทินนาทานแล้ว บางทีนึกไม่ถึงนะว่ามันเป็นกรรม “การไม่ใช้หนี้บุญคุณคน” ก็จัดเป็นกรรมชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางพุทธเรามักเน้นไปในเรื่องของการใช้หนี้บุญคุณพ่อแม่ ถ้าใครไม่ทำให้พ่อแม่มีความสุขเป็นอย่างน้อย เรียกว่าไม่ใช้หนี้บุญคุณเต็มๆ


คือคนมักจะนึกถึงแค่เรื่องเงิน แต่จริงไม่ใช่แค่นั้น เป็นเรื่องของความพยายามที่จะทำให้พ่อแม่มีความสุข มีความพอใจ อย่างออกแรงไปซื้อของให้ หรือว่าบีบนวดให้ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของใจที่คิดตอบแทนบุญคุณได้ทั้งสิ้นนะครับ


ถ้าหากว่าใครไม่คิดเลย แล้วก็มีความรู้สึกที่แย่กับพ่อแม่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม ก็ถือว่าไม่ได้ใช้หนี้บุญคุณ ซึ่งถ้าหากว่าไม่ได้ใช้กันทั้งชาติ ในชาติถัดไป โอกาสที่จะต้องไปใช้หนี้บุญคุณพ่อแม่ในทางอื่นมีสูง ซึ่งบางทีก็อาจจะมาในรูปของการที่เราจะต้องไปเสียเงินเสียทอง หรือว่าเสียทรัพย์อะไรบางอย่าง ให้ใครบางคน โดยที่อธิบายเหตุผลไม่ได้ ว่าทำไมต้องเป็นคนนี้นะครับ นี่คือแค่ยกตัวอย่างแบบคร่าวๆให้เข้าใจว่า เวลาคุณพูดถึงหนี้ จะมีหนี้หลายแบบ


การปฏิบัติธรรม จริงๆ มุ่งจะทำให้คุณมีความทุกข์น้อยลง พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสไว้ที่ไหนว่า ท่านก่อตั้งศาสนาขึ้นมา เพื่อให้คนปฏิบัติธรรม แล้วล้างหนี้เงินกับหนี้กรรมได้หมดอย่างรวดเร็วอะไรแบบนี้  ท่านไม่เคยตรัสไว้ที่ไหน


มีแต่คนยุคเราหรือว่าคนยุคไหนก็ตามที่มาทึกทัก บางทีเกิดจากประสบการณ์ตรงของตัวเองจริงๆ คือพอปฏิบัติธรรมแล้ว อะไรๆดีหมดทุกอย่าง บางคนไปบวชกลับมา จากกิจการที่ย่ำแย่อยู่กลายเป็นรุ่งเรือง เสร็จแล้วเอามาบอกต่อ คือพอเอามาบอกต่อด้วยประสบการณ์ส่วนตัว คนก็เข้าใจว่าปฏิบัติธรรมแล้วย่อมต้องได้ดีแบบนั้น จริงๆแล้วบางทีเป็นเรื่องเฉพาะตัวนะครับ


ถ้าเอาเป็นเรื่องสากลจริงๆ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสรับรองไว้ก็คือ ใครก็ตามเจริญสติปัฏฐานสี่แล้วจะได้ดับทุกข์ดับโศกทางใจ


ท่านไม่เคยตรัสไว้ที่ไหนว่า ท่านรับประกันว่าแม้ทรัพย์ภายนอกก็จะมั่งคั่งบริบูรณ์มากขึ้น หรือว่าหนี้สินที่มีอยู่จะหมดไป ไม่เคยตรัสเลยนะครับ พระสาวกในสมัยพุทธกาล ก็ไม่เคยพูดไว้ด้วย มีแต่สาวกสมัยนี้ ที่กล้าพูด พอพูดแล้วกลายเป็นความเข้าใจผิดตามๆกัน บางทีก็แก้ยากนะครับ มาตามแก้บอกว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสไว้


คนปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา ถ้าหากว่าปฏิบัติถูกปฏิบัติตรง จนกระทั่งทุกข์ในใจลดลง จะรู้ว่าคุณไม่สามารถใช้หนี้บุญคุณพระพุทธเจ้าได้หมด จะกี่ชาติกี่ภพก็ตาม อย่าว่าแต่จะทวงว่า เมื่อไหร่พระองค์จะตอบแทนที่อุตส่าห์มานับถือพระองค์ เลื่อมใสพระองค์ แล้วก็ปฏิบัติธรรมตามพระองค์ นี้คือเรื่องสำคัญนะครับ

บางทีคนไม่ได้พูดกันหรอก ไม่ได้คุยกันหรอก เพราะอายที่ใครจะมารู้ว่า ตัวเองคิดแบบนี้ แต่ถ้าเราสำรวจใจตัวเอง แล้วยอมรับว่ามีคิดอยู่เหมือนกัน น้อยใจพระพุทธเจ้าอยู่เหมือนกันว่า ทำไมไม่ช่วย ไหนบอกว่าธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม


ผมจะเล่าอย่างนี้ให้ฟังก็แล้วกัน คือแม้แต่พระองค์เอง เคยเสด็จไปกับหมู่สาวก ก็ไปในดินแดนที่ค่อนข้างแห้งแล้ง แล้วกษัตริย์ที่ครองแคว้นอยู่แถวนั้นก็มานิมนต์ บอกขอให้พระองค์อยู่จำพรรษาที่นี่ จะดูแลอย่างดี แล้วพระพุทธเจ้าก็รับด้วยอาการดุษณี (หมายเหตุผู้ถอดความ: ดุษณี คืออาการนิ่งแสดงถึงความยอมรับ) แล้วมีกรรมบางอย่างของฝ่ายพระ ทำให้กษัตริย์ลืมไปว่า ไปนิมนต์ ไปขอให้ท่านจำพรรษาอยู่พร้อมหมู่คณะ ลืมอย่างไรไม่รู้ลืมทั้งพรรษาเลย


แถวนั้นก็ลำบากยากแค้น  พระองค์เองและหมู่สาวก เลยได้อยู่แบบอดๆอยากๆหลายเดือน ซึ่งพระโมคคัลลา ก็ทูลข้อเสนอแนะว่า ข้าพระองค์จะใช้ฤทธิ์ในการตักง้วนดิน ออกมาจากใต้ดิน พระพุทธเจ้าตรัสห้ามนะครับ บอกว่าเดี๋ยวสัตว์ตาย คือสัตว์จะตายเยอะ ถ้าไปใช้ฤทธิ์แบบนั้น


ก็แสดงให้เห็นว่า แม้พระองค์กับพระอรหันตสาวกปฏิบัติธรรมจนกระทั่งหลุดพ้นแล้ว บางทีเวลาที่กรรมให้ผลบางอย่าง ไปเข้าล็อก ไปถึงจุดตัดจุดหนึ่ง ทั้งสถานที่ เวลา และบุคคล มาประจวบกัน มีกษัตริย์อยู่ดีไม่ว่าดี มานิมนต์ท่านให้อยู่จำพรรษา แล้วก็ไม่มาดูดำดูดี คือด้วยความลืมด้วยความหลง

พอออกพรรษา พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปลามหาบพิตร บอกว่าที่นิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ตรงนี้ ถึงเวลาแล้ว โอ้..กษัตริย์องค์นั้น พอนึกได้ เขาบอกว่าเหมือนหัวจะระเบิด หัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ คือถ้ามุดแผ่นดินแทรกได้นี่ มุดเลยนะครับด้วยความรู้สึกผิดอย่างแรง แต่ก็ช่วยไม่ได้แล้ว เวลาผ่านไปแล้ว


นี่ก็จะได้เห็นว่า บางทีบางคนตั้งใจทำบุญแท้ๆ แต่ไปติดหนี้โดยไม่รู้ตัวกับหนี้คำพูดตัวเอง หนี้ของความตั้งใจตัวเอง ตั้งใจจะทำบุญแท้ๆ  บุญใหญ่มหาศาล บุญใหญ่ระดับมหาสังสารวัฏเลยนะครับ ได้มีโอกาสทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าและหมู่คณะของพระองค์ให้จำพรรษาได้ แล้วก็ปวารณาตัวเองจะรับใช้ถวายอุปัฏฐากด้วย แต่ลืม! ซึ่งในตามตำราก็ว่าเป็นกรรมของฝ่ายพระ แต่เสร็จแล้วก็เป็นบาปใหม่ของฝ่ายฆราวาสด้วย ที่ไปหลงลืมเสียอย่างนั้น ขาดสติเสียอย่างนั้น ตั้งพรรษาหนึ่ง โอ้โหไม่รู้จะว่ายังไงเหมือนกันนะครับ ลืมได้ลืมดีเป็นเดือนๆ คุณก็นึกเอาแล้วกัน


บางทีเราจำไม่ได้หรอกนะ เราเคยไปทำบุญทำบาป หรือว่าทำบุญด้วยอาการเผลอทำบาปโดยไม่รู้ตัวไปกี่ครั้งกี่หน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผ่านมาเป็นอนันตชาติ โอกาสที่เราจะมาแก้บาปแก้กรรม หรือว่าเอาเฉพาะแค่ที่ว่าเป็นหนี้อย่างจงใจในชาตินี้ ระลึกได้เห็นๆนี่นะครับ แล้วจะมาปฏิบัติธรรม จะกี่เดือนกี่ปีก็แล้วแต่ จะรักษาศีลได้นานกี่วันหรือทั้งชาติก็แล้วแต่ บางทีไม่ได้ประกันว่าจะไปสู้บาปเก่าได้


อย่างกษัตริย์องค์นี้ เชื่อเถอะพอเกิดใหม่หนไหน รับรองถูกเบี้ยวแบบเดือดร้อนสาหัสด้วย เพราะว่าครั้งนั้น ในคัมภีร์ก็บรรยายไว้ พระภิกษุสงฆ์รวมทั้งพระพุทธเจ้า เรียกว่าแทบไม่มีจะฉันเลยนะครับ แล้วเป็นเหมือนกับพื้นที่ที่ค่อนข้างแห้งแล้งด้วย


อีกแบบหนึ่งคือ อย่างบางคน บางทีไปขูดรีดขูดเนื้อเขาไว้ทั้งชาติ ไปโกงไปกิน หรือว่าไปเหมือนกับฉ้อฉล ใช้วิธีฉ้อฉลทั้งชีวิต แล้วคุณนึกดูว่า อาจิณณกรรม ที่เป็นกองโตจริงๆ ที่ทำมาทั้งชาติทั้งชีวิตนี่ พอมาอีกชาติหนึ่ง แล้วเราบอกว่าจะมาทำบุญใส่บาตรพระ หรือว่าจะปล่อยสัตว์ หรือว่าจะถือศีล แล้วถือศีลให้ดีจริงๆ ถึงบอกว่าเกิดมาชาตินี้ไม่เคยทำอะไรใคร ตั้งใจดีทุกอย่าง แต่ทำไมถึงเป็นหนี้เป็นสินได้จมหัวจมหูขนาดนี้ แล้วปฏิบัติธรรมไปเท่าไหร่ก็แก้ไม่ได้สักที

อันนี้แหละ บางทีเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเคยไปทำมาทั้งชาติในอดีต มีอะไรหนักหนาสาหัสอยู่บ้าง แต่เรารู้ว่า ที่มาปฏิบัติธรรมบางทีคาดหวังนะ ว่าจะให้หนี้สินหมด หรือว่าจะให้หนี้กรรมหมด นี่เป็นเรื่องของคนไม่รู้ ที่คาดหวังไปแบบไม่รู้นะครับ


ทีนี้ก็จะสรุปลงตรงที่ว่า ถ้าคุณตั้งใจปฏิบัติธรรมด้วยความคาดหวังที่สมเหตุสมผล นั่นคือเมื่อมีสติเจริญขึ้น แล้ว ความทุกข์อันเกิดจากภาวะชีวิต จะลำบากสาหัสยังไงก็แล้วแต่ ทุกข์ทางใจคงจะลดลงบ้าง

ซึ่งถ้าหากว่าเราปฏิบัติถูกปฏิบัติตรงจริงๆ ใจจะสบายขึ้น มีสมาธิมากขึ้น ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่อาฆาตแค้น ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ก่นด่าฟ้าดิน มีสติมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น ก็มองเห็นช่องทางในการจัดการกับปัญหาชีวิตมากขึ้น


อย่างบางคน มีหนี้สินแล้วก็เห็นว่าตัวเองเป็นมนุษย์เงินเดือน อย่างนี้ไม่มีทางใช้หมด ก็คิดใหม่ ไปเรียนโน่นเรียนนี่แล้วก็ทำธุรกิจเอง เริ่มจากอะไรที่เล็กๆน้อยๆเป็นไปได้จริง แล้วก็ค่อยๆไต่เต้าขึ้นมา


อย่างที่เคยได้ยิน เศรษฐีไทยคนหนึ่งเคยมีเป็นร้อยล้าน แล้วหมดตัวยุคฟองสบู่แตกหรืออะไรนี่นะครับ เสร็จแล้วสามารถที่จะกลับฟื้นคืนมาเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้อีก เพียงด้วยวิธีคิดขายแซนวิช เริ่มต้นจาก

แซนวิชนะครับ แต่วิธีคิดแบบคนที่เขาเคยรวยร้อยล้าน เขามีทุนทางประสบการณ์ มีความได้เปรียบเกี่ยวกับเรื่องของการจัดการบริหาร  


แต่ผมจะบอกตรงนี้ว่า บางทีคนเราพอจับแพะมาชนแกะ นึกว่าเป็นหนี้เป็นสิน ลำบากในชีวิต แล้วปฏิบัติธรรม ธรรมะจะช่วยทุกอย่าง จัดการให้ราวกับว่า ส่งมือมาจากฟ้า  แล้วก็จัดองค์ประกอบในชีวิตของเราใหม่ ไปแก้ไข ปรับปรุงอะไรทุกอย่างให้ดีขึ้น อันนี้ไม่ใช่  

ใจต่างหาก  ใจดวงเดียวเลยนะครับ ที่ธรรมะทำให้คุณได้

ใจใหม่  ใจที่มีความสว่าง  ใจที่มีสมาธิ  ใจที่มีสติดีขึ้น แล้วก็สามารถมองเห็นทาง มองเห็นอะไรที่เดิมไม่เคยเห็น เดิมไม่เคยสามารถที่จะจับคู่เหตุและผลได้ถูกต้อง  กลายเป็นมีสติ แล้วก็เห็นเหตุเห็นผลดีขึ้น เข้าใจถึงว่าต้นเหตุแบบนี้ สมควรได้ผลอย่างไร


ตรงนี้เป็นเรื่องที่ธรรมะให้คุณอย่างที่สุดเลย ให้เต็มที่แล้ว แล้วถ้าหากว่าคุณได้จากธรรมะ คุณจะหันไปกราบพระพุทธเจ้างามๆ แล้วก็รู้ตัวเลยว่า คุณไม่สามารถจะเอาชีวิตของตัวเองกี่ภพกี่ชาติ มาใช้หนี้ท่านได้หมด เพราะว่า การหมดทุกข์หมดโศก ไม่ใช่เฉพาะหมดทุกข์เรื่องโลกๆ แต่หมดทุกข์จากการเกิดแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ การตายแบบไม่รู้จะไปไหนต่อ


ถ้าหากว่าใครเข้าถึง ก็จะทราบได้ว่าพระพุทธเจ้ามีบุญคุณกับพวกเราขนาดไหน แล้วที่สำคัญ เราควรจะตอบแทนท่านอย่างไร ไม่ใช่ให้ท่านมาตอบแทน ที่เราได้ปฏิบัติธรรมแล้วก็บูชาพระองค์ท่านนะครับ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า เพื่อที่จะบูชาตถาคต มีทางเดียวที่พระองค์จะชื่นใจก็คือ ปฏิบัติธรรมแล้วเอาธรรมที่เราได้ไปบูชาท่านนะครับ!
___________________

ผู้ถอดคำ นายชวน แก้วมีแสง 

วันที่ไลฟ์    ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
เรื่อง          ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอนปฏิบัติธรรมมานาน ทำไมหนี้ไม่หมดเสียที? (เกริ่นนำ)
ระยะเวลาคลิป     ๒๔.๑๘ นาที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น