วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ดวงตก VS จิตตก


ดังตฤณ : คืนนี้มาคุยกันเรื่องการเจริญสติ ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ก็มีหลายท่านบอกว่า ไม่ได้ปฏิบัติมาช่วงหนึ่งแล้ว เพิ่งกลับมาปฏิบัติอีกครั้ง หลังจากที่ได้คุยกันเรื่องอานาปานสติ คุยกันเรื่องเทคนิคที่จะปรับระยะสายตา แล้วรู้สึกว่า ทำแล้วมีกำลังใจขึ้นมาว่าได้ผล 

ทีนี้ เริ่มมีคำถามว่า เราจะทราบได้อย่างไร ว่าช่วงไหนเหมาะกับการปฏิบัติ หรือว่า ช่วงไหนที่พูดง่ายๆ เลย เอาภาษาชาวบ้านเลยก็คือว่าเป็นช่วงดวงตก ที่ทำสมาธิไม่ขึ้น

ส่วนใหญ่คนไทยโดยพาะอย่างยิ่งที่เริ่มปฏิบัติภาวนา ในแบบที่เราเชื่อกันเรื่องบุญเรื่องบาปนะครับ อย่างขึ้นต้นมา หลายคนเลยที่เข้าสู่การเรียนรู้ การศึกษาวิธีปฏิบัติธรรม ภาวนาอะไรต่างๆ มาจากการที่มีคนแนะนำว่า ช่วงนี้กำลังดวงตก ช่วงนี้กำลังมีถึงคราวเคราะห์อะไรแบบนี้ แล้วคนที่ให้คำแนะนำบางทีก็ดูน่าเชื่อถือ

ส่วนคนไทยเราก็จะมีประเภทที่ว่า ปีไหน หรือว่าช่วงไหน เดือนไหน ที่เหมือนกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ความซวยเรียงคิวกันเข้ามา เหมือนผีซ้ำด้ำพลอย ก็จะเริ่มเชื่อกันขึ้นมาว่า เรื่องดวงมีจริง แล้วก็มักจะมีคนให้ไปทำสังฆทานบ้าง หรือว่าไปปฏิบัติธรรมที่วัดโน้น วัดนี้ แล้วก็พบว่า ดวงดูเหมือนจะดีขึ้นจริงๆ มีการบอกต่อกันแบบนี้ ก็เลยกลายเป็นการสืบทอดความเชื่อ หรือความศรัทธา ที่จะปฏิบัติธรรมภาวนา เพื่อที่จะยกระดับดวง หรือว่าทำให้เจ้ากรรมนายเวร ให้อภัยอะไรแบบนั้น ทำนองนั้น ก็เป็นความเชื่อ

จริงๆ แล้ว ถ้าพูดว่าเป็นความเชื่อที่ดีไหม ในแง่ที่ถ้าลากจูง ชักจูงกันมาปฏิบัติธรรมภาวนา ก็โอเคนะ บางคนก็ถึงขนาดที่ว่า ไม่เคยเชื่อมาก่อน
กลายมาเป็นเชื่อ แล้วไปบวชพระ บวชชี ก็มีไม่น้อยทีเดียวนะครับ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อนั้นนำไปสู่การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แล้วก็รู้สึกว่าดวงดีขึ้นจริงๆ อันนั้นก็น่าอนุโมทนาสาธุการ

แต่ทีนี้ถ้าเราจะไม่หยุดอยู่แค่ที่ความเชื่อ หรือที่ความศรัทธา แต่ทำความเข้าใจกันจริงๆ ว่าปฏิบัติธรรมแล้วดวงขึ้น มีเหตุปัจจัยอะไรที่อธิบายได้บ้างไหม

ความหมายของอธิบายได้นี่ก็คือว่า เป็นที่ประจักษ์กับตนเอง คือสิ่งที่เป็นประสบการณ์ภายใน หรือว่าสภาพของจิต หรือว่ากระบวนการ วิธีคิดอะไรต่างๆ ที่ ถ้าเราสังเกตเข้าไปแล้ว สามารถจะเอามาอธิบายไหมว่า ตรงนี้ จุดนี้ จุดใหญ่ใจความอยู่ที่ตรงนี้ ที่ยกระดับดวงขึ้นมา ทำให้ดวงดีขึ้นมาได้

เราก็มาคุยกันคืนนี้ เรื่อง ดวงตก กับ จิตตก มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เหมือนกันหรือเปล่า หรือว่ามีความแตกต่างอะไรที่เป็นที่น่าสนใจ แล้วถ้าเราสามารถจับจุดถูก จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ ในแบบที่จับต้องได้เป็นจริงเป็นจังตลอดชีวิตเลยไหม

ถ้าดวงไม่ตก คนก็ไม่ปฏิบัติธรรมกัน หรือถ้าดวงไม่ตก คนก็ไม่นึกอยากทำบุญกันเหมือนกับว่า ศาสนาพุทธมีไว้แก้กรรม หรือช่วยคนดวงตกอะไรแบบนั้น

เราลองมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ดวงตก ในทางพุทธมีจริงไหม มีจริงนะ แต่ต้องทำความเข้าใจเป็นแบบนี้ ดวงตก ก็คือ วิบากไม่ดี เป็นช่วงที่วิบากไม่ดีให้ผล ส่วน จิตตก คือเราทำใจไม่ถูก ทำความเข้าใจอย่างนี้

การที่ในอดีต เราทำทั้งบุญ ทั้งบาป ก็มีการสะสม เป็นกองบุญกองบาป มีรายละเอียดของการทำบุญทำบาปอะไรต่างๆ ที่กลายเป็นการสร้างแผนที่ให้กับชีวิตใหม่ เหมือนกับออกแบบมาว่า ทางเดินในชีวิตใหม่จะขึ้นเขา ลงห้วยอย่างไร

ช่วงที่ดวงตก ที่เรามาใช้กันว่าดวงตก ก็คือช่วงที่วิบากไม่ดีให้ผล มีทั้งวิบากดี วิบากไม่ดี วิบากที่เกิดจากบุญ กับวิบากที่เกิดจากบาป คอยจ้องจะให้ผลอยู่ แล้วถ้าว่ากันตามหลัก ก็คือเขาออกแบบไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะให้ได้ดี หรือตกยากในช่วงไหน จะให้มีคนที่ดีๆ เข้ามา หรือว่าคนที่ร้ายๆ มาทำให้จิตตก มาทำให้เกิดความรู้สึกว่าช่วงนี้ชีวิตไม่ดีเอาเสียเลย ย่ำแย่ไปต่างๆ นานา

ทีนี้ ถ้าเรามองในแง่ของการเจริญสติ ถ้าหากว่าช่วงไหน ดวงตก จำเป็นจะต้องจิตตกตามไปด้วยไหม นี่คือโจทย์สำคัญ ที่ ถ้าเราได้คำตอบอย่างชัดเจน เราจะแยกออกอย่างชนิดที่ว่าจำขึ้นใจไปตลอดชีวิตเลยว่า ดวงตก กับ จิตตก มีความสัมพันธ์ หรือมีความเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร

ถ้าดวงตก ส่วนใหญ่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ มาทำให้จิตตก เป็นธรรมดา อันนั้นคือธรรมชาติของมนุษย์ที่เมื่อเจออะไรที่ไม่ดี ก็ย่อมรู้สึกไม่ดี รู้สึกเป็นทุกข์ แล้วที่รู้สึกย่ำแย่อยู่หนักๆ อันนั้นที่เรียกว่า จิตตก คือหมายความว่าคิดอะไรดีๆ ไม่ออก แล้วก็ทำใจให้เหมือนกับเบิกบานหรือว่า มีความสุข มีสมาธิที่จะจดจ่ออยู่กับลมหายใจอะไรต่างๆ หรือว่ามีแก่ใจจะมาเจริญสติ เดินจงกรม จะไม่ไหว จะมีความรู้สึกว่า ช่วงนี้เกินกว่าที่จะไปเอาดีอะไรกับเขา นั่นแหละ ที่เรียกว่าจิตตก

ในทางการเจริญสติ เขาเรียกว่าเป็นการทำใจไม่ถูก คือถ้าทำใจไว้ถูก วางจิตไว้ดี มีสติได้ในขณะที่กำลังเกิดทุกขเวทนา หรือว่าเกิดความเศร้าหมอง ก็จะมีสติแบบหนึ่ง มองว่าความรู้สึกเป็นทุกข์หรือว่าคามเศร้าสร้อย ความเศร้าหมองอะไรทั้งหลาย เป็นเพียงภาวะของจิตอย่างหนึ่ง

ความแตกต่าง จะแตกต่างจากมุมมอง แตกต่างจากความรู้สึกแบบคนธรรมดาทั่วไปที่ เวลาเกิดเรื่อง มีเรื่องมากระทบ ให้จิตเกิดความรู้สึกสะเทือน ให้เกิดความเศร้าหมองนี่ จะยึดเรื่องที่มากระทบนั้นเป็นจริงเป็นจัง แล้วก็ยึดภาวะเศร้าหมองของตัวเองเป็นเสียงบอกว่า ชีวิตช่วงนี้มันแย่ ความรู้สึกเศร้านี่เหมือนมีเสียงในตัวเอง ที่คอยบอก คอยย้ำ แล้วก็ พูดง่ายๆ ตอกย้ำตลอดเวลาว่าเราไม่มีทางผ่านความรู้สึกตรงนี้ไปได้ง่ายๆ

ตอนที่ความเศร้า ตอนที่ความทุกข์เกาะกุม แล้วเหมือนกับขยับมือขยับเท้าไม่ได้ ไม่มีแก่จิตแก่ใจที่จะพูดจาอะไรดีๆ กับใคร หรือว่า ไม่มีแก่จิตแก่ใจที่จะมองทางออก ตรงนั้นที่เขาเรียกว่า เป็นการดวงตกของจริง
คือนอกจากดวงจะตกแล้ว เรายังปล่อยให้จิต ตกลงมาแตกอีกด้วย หรือว่าตกลงไปจมอยู่ในหนองน้ำของความเศร้า โผล่ขึ้นมาไม่ได้ นี่คือดวงตกของจริง

แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักพุทธศาสนา รู้จักการเจริญสติ คำว่าดวงตกของจริง จะไม่มี มีแต่ดวงตกเล่นๆ ข้างนอก แต่ว่าใจข้างใน จะไม่ตกตาม เพราะอะไร เพราะว่าเราจะมองการกระทบกระทั่ง ความทุกข์ที่เกิดขึ้น หรือว่าความเศร้าหมองที่เกาะกุมจิตใจอยู่ เป็นเพียงภาวะแบบหนึ่ง ที่เราสามารถวัดค่าความไม่เที่ยงของมันได้ ถ้าเรามีกำลังสติ มีทุนรอนมากพอ

แน่นอนครับ คือถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป ไม่มีทุนรอน ไม่เคยเจริญสติไว้ก่อน จะมาเจริญสติเอาตอนที่กำลังเศร้าหมอง จะรู้สึกทำไม่ไหวแน่นอน
แต่เราพูดถึงคนที่เจริญสติเป็นบ้างแล้ว มีทุนรอนบ้างแล้ว เคยเจริญ อานาปานสติมาบ้างแล้ว เคยนับดูลมหายใจมีกี่ลมหายใจ ขึ้นต้นมามีความเศร้า แล้วความเศร้านั้นอยู่ได้กี่ลมหายใจถึงค่อยสลายตัวไป ฝึกเอาจากความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ ก่อน
เสร็จแล้วพอเจอเรื่องเจอราวที่กระหน่ำ ซ้ำ ตอกย้ำให้เกิดความรู้สึกทุกข์จุกอกจริงๆ ตอนนั้นเอาทุนเก่ามาใช้ได้ โดยใช้วิธีเดิมนั่นแหละ มีสติ อย่างน้อยนึกขึ้นมา เออ เราเจริญสติเป็น เราเคยเจริญสติ นับลมหายใจมาก่อนว่า เกิดความทุกข์อกกลัดหนองขึ้นมาแล้ว อยู่ได้กี่ลมหายใจ ถึงค่อยๆ สลายตัวไป

ถ้าแค่นึกได้แค่นี้ แล้วลองมาสังเกตลมดู นาทีแรกที่รู้เรื่อง ที่ทำให้ทุกข์สาหัส มันหายใจสั้น หายใจห้วน หายใจไม่ดี หายใจหยาบๆ แต่ต่อมา นึกขึ้นได้ ว่าลมหายใจที่ผ่านไป ไม่ได้ผ่านไปอย่างเดียว มันพาเอาความทุกข์ความเศร้าให้ค่อยๆ ลอยตามไปด้วย คือความทุกข์ความเศร้า หรือว่าความรู้สึกเหมือนกับอกกลัดหนอง ทนไม่ได้ทั้งหลาย ความรู้สึกจุกอก แน่นอะไรทั้งหลาย พอมีการระบายลมหายใจออก จะรู้สึกเลยว่า ปมความทุกข์ หรือก้อนความทุกข์ที่อึดอัดอยู่ข้างใน มันพลอยระบายออกมาด้วยเสมอ

และทุกครั้งที่เราสามารถหายใจได้อย่างสดชื่น หายใจช้าๆ หายใจอย่างมีความสุขที่จะหายใจ ก็คือทุกครั้งที่ความรู้สึกเป็นสุข จะเข้ามาแทนที่ปมทุกข์หรือว่าก้อนทุกข์ร้อนอะไรต่างๆ ที่ประดังอยู่ในใจ สุมอยู่ในใจนะ

การสังเกตเห็นว่าความทุกข์ไม่เที่ยง นี่แหละที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการที่จิตจะคล้ายกับโงหัวขึ้นมาจากหนองน้ำแห่งความเศร้าได้ จะมีอาการที่ เกิดสติ เลิกเชื่อ เลิกปักใจเชื่อว่า ฉันจะผ่านความทุกข์ตรงนี้ไปไม่ได้ เพราะมันแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา ทุกลมหายใจอยู่แล้ว
ถ้าสังเกต จะเห็นนะ การที่เราสังเกตเห็นว่าแต่ละลมหายใจ ความทุกข์ ระดับความทุกข์ไม่เท่าเดิม ตรงนี้แหละที่เรียกว่าเป็นวาสนา เป็นบุญ เป็นของใหม่ที่แท้จริง ที่ทำให้ดวงของเราตก ลงไม่สุด พอดวงบีบให้จิตตก ดวงบีบให้เกิดความทุกข์ มันทุกข์เดี๋ยวเดียว แล้วเกิดสติเห็นว่าความทุกข์ไม่เที่ยง เกิดความรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ที่เป็นทุกข์ เป็นแค่ภาวะชั่วคราวอย่างหนึ่ง เหมือบกับเวลาที่ถ้าเราหายใจสั้นๆ หายใจแผ่วๆ จนแทบไม่รู้สึกถึงลมหายใจ มันก็ทุกข์อยู่แล้ว คือมีความรู้สึกราวกับว่า หายใจไม่ทั่วท้อง หายใจไม่พอ หรือว่าห่อเหี่ยวตามร่างกาย

ถ้าร่างกายห่อเหี่ยว จิตใจก็จะพลอยมีความรู้สึกหดหู่ซึมเศร้าตามไปด้วย ไม่ต้องมีเรื่องราวอะไรเลย ไม่ต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งอะไรทั้งสิ้น จิตพร้อมจะตกได้อยู่แล้ว
ผมถึงบอกว่า ถ้าจิตตก จริงๆ แล้วคือทำใจไม่ถูก ต่อให้ไม่มีเรื่อง ก็จิตตกได้ ก็หดหู่ได้ เคยไหม บางทีอยู่ในท่านอนแบบอึดอัด แล้วรู้สึกเหมือนหายใจจะไม่ออก ตรงนั้นก็เป็นลักษณะหนึ่งของจิตเศร้าหมอง ตอนคนหายใจไม่ออก ตอนไม่มีความรู้สึกสดชื่นเป็นสุขกับการหายใจ นั่นน่ะ ใกล้ๆจะจิตตกอยู่แล้ว

ทีนี้ถ้ามีเรื่องกระทบกระทั่ง ภาษาปุถุชน เกิดความรู้สึกเหมือนกับจิตแตก เหมือนกับสติแตก ทนไม่ได้ ทนไม่ไหว นี่ยิ่งลืมหายใจเข้าไปใหญ่เลย แต่คนที่เจริญสติ คนที่เคยฝึกสังเกตลมหายใจแบบอานาปานสติมาก่อน จะเหมือนกับมีบุญหนุนอยู่มหาศาลเลย
ต่อให้เกิดเรื่องเกิดราวกับชีวิตแค่ไหน ก็สามารถสังเกตเข้ามาข้างในว่า ความทุกข์ความเศร้า จริงๆ เป็นแค่อาการทางกายทางใจชั่วคราว ตอนที่ยังไม่มีสติรู้เข้ามาว่านี่เป็นภาวะชั่วคราวทางกายทางใจ จะอยากตีอกชกหัว จะมีความรู้สึกเหมือนทนไม่ไหว รู้สึกเหมือนกับ ฉันผ่านไปไม่ได้แต่พอรู้ง่ายๆ ขึ้นมา เออ นี่หายใจครั้งนี้ มีความทุกข์เท่านี้ หายใจครั้งหน้า หายใจครั้งต่อไป มันยังทุกข์เท่าเดิมอยู่หรือเปล่า แค่สังเกตแค่นี้แหละ จิตจะดีขึ้นแล้ว และถ้าจิตดีขึ้นปุ๊บ ดวงข้างนอกจะดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่ ความรู้สึกของคุณจะคล้ายกับว่าโลกสว่างขึ้น

ที่โลกสว่างขึ้นเพราะอะไร เพราะจิตสว่างขึ้นนั่นเอง อะไรๆ เป็นไปตามจิต อย่างคนที่หดหู่ ฟุ้งซ่าน ซึมเซา รู้สึกว่าโลกมืด จริงๆ โลกไม่ได้มืดนะ พระอาทิตย์ยังทำงานเท่าเดิม แสงไฟตามท้องถนนยังสว่างเท่าเดิม แต่จิตใจมองไม่เห็นแสง มันปิดกั้นแสง มีอาการหรุบเข้าข้างใน มีอาการเหมือนกับเอาเมฆหมอก มาบังทัศนวิสัยของตัวเอง หรือว่าไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองเปล่งแสง มีแต่จับเจ่า แล้วก็จุกอกอยู่ นี่คือลักษณะของจิตหดหู่ซึมเศร้า ที่เรียกกันว่าจิตตก ทำให้โลกมืดไปหมด

แต่เมื่อไหร่ ที่ค่อยๆ สังเกตลมหายใจ ลมหายใจยาวก็ยังมีความสุขอยู่ได้นี่ ไม่ใช่ว่าต้องมาเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา ตามที่ปักใจเชื่อไปง่ายๆ ยิ่งมีความสดชื่น ยิ่งมีความรู้สึกว่าหายใจได้ยาวๆ แล้วมีความสุข มีความเปลี่ยนแปลงทางใจ
จากเดิมที่เหมือนกับหมกตัวอยู่ในห้องแคบ อยู่ในกล่องแคบเล็กๆ กลายเป็นออกจากกล่อง ออกจากห้อง มาเจอแสงสว่าง แสงสว่างไม่ใช่ แสงที่ออกมาจากแสงอาทิตย์ภายนอก แต่ว่ามาจากการเบ่งบานภายใน จากเดิมที่ปิด จะกลายเป็นเปิด แล้วการที่เปิด การที่รู้สึกสบายขึ้น ตรงนั้นแหละที่ดวงเริ่มดีแล้ว

ไม่ใช่ดวงที่ถูกกำหนดมาจากกรรมเก่าในอดีต แต่ถูกกำหนดขึ้นจากกรรมใหม่ในปัจจุบันนี้เลยนะ

ฉะนั้น สรุปว่า ดวงตก สำหรับปุถุชนทั่วไป ตามธรรมดาธรรมชาติ จิตจะตกตามไปด้วย มีความสัมพัทธ์ สัมพันธ์กัน แต่ถ้าหากว่าเรามีทุนรอน เรามีวาสนาพอได้เจอพระพุทธศาสนา รู้จักวิธีการเจริญสติแบบที่พระพุทธเจ้าสอน จะเป็นวิบากหนักแค่ไหน มืดเพียงใด ก็สามารถที่จะกอบกู้สถานการณ์ อย่างน้อยทำอะไรให้ดีขึ้น อย่างน้อยมีศรัทธามีความเชื่อเกิดขึ้นมาในใจว่า ทุกอย่าง สามารถดีขึ้นได้ด้วยการเจริญสติ คือจะไม่มีการปักใจเชื่อแบบ โมหะครอบนะ ว่า ไม่มีทางที่อะไรๆ จะดีขึ้น

เวลาโมหะครอบอย่างหนาแน่น จะคิดอย่างนี้จริงๆ ว่า ไม่มีทางที่อะไรจะดีขึ้น จะต้องจมจ่ออยู่อย่างนี้ แล้วก็จับเจ่าอยู่อย่างนี้ ทีนี้ จะมีปาฏิหาริย์ของจิตที่สามารถฟื้นฟูตัวขึ้นมาจากสภาพย่ำแย่ได้ จะมีปาฏิหาริย์บางอย่าง ที่เกิดขึ้น แล้วตรงนี้คนก็มักจะได้เอามาบอกเล่ากันนั่นแหละ

คืออย่างเวลาไปปฏิบัติธรรม ไปทำสังฆทาน ปล่อยนกปล่อยปลาอะไรทั้งหลาย คุณสังเกตเถอะ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ คือ มีความสุข และใจจะสว่างขึ้น
ตอนที่ใจเราสว่างขึ้น ตอนที่ใจเราสบายขึ้น มีความสุขมากขึ้น มีความสามารถที่จะเปิดออกรับแสงได้นานๆ นานกว่าหนึ่งนาทีนี่ ดวงเริ่มดีขึ้นแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่า ถ้าจิตดี ดวงก็เริ่มดีขึ้น แล้วคนก็มักจะพูดๆ กัน บอกเพื่อนๆ บอกญาติๆ ว่า นี่ไปปฏิบัติธรรมที่วัดนั้น วัดนี้แล้วดวงดีขึ้นจริงๆ

ลักษณะที่ดวงดี มาจากอาการทางใจนั่นแหละ ที่เปิด ที่เบิกบาน เปิดรับความสว่าง เปิดรับกุศลธรรม ตอนที่กำลังดิ่ง จะลงเหวอยู่ แล้วเชิดหัวขึ้นได้ด้วยพลังของกุศลธรรม ตรงนั้น จะเหมือนกับเราเอาชนะ เรางัดข้อกับแรงกระทำภายนอกได้

คือเขาพยายามบีบมา แล้วบีบไม่สำเร็จ จิตของเราเปิด สามารถที่จะชนะแรงบีบนั้นได้ ก็คล้ายๆกับเครื่องบีบพัง ยอมปล่อยตัว แล้วพอยอมปล่อยตัว ก็จะเกิดคล้ายๆกับโดมิโนล้ม พอมีโดมิโนล้มได้ตัวหนึ่ง ก็จะล้มต่อๆ ไป มีกระแสของผู้ชนะความเศร้าในตัวเอง ที่ทำให้เหตุการณ์ภายนอก พลอยเปลี่ยนแปลงไป หรือมีอะไรดีขึ้น โดยที่คนที่เกิดประสบการณ์แบบนี้จะงง แล้วก็พอไปที่วัดไหน หรือทำอะไรอย่างไร ด้วยวิธีไหนแล้วเกิดผลดีแบบนั้นได้ ก็จะจำว่า นี่ไปทำแบบนี้ ถึงได้เกิดผลดี หรือชะตาดีขึ้น เหมือนกับเจ้ากรรมนายเวรปล่อยตัว

จริงๆ แล้วทั้งหลายทั้งปวงมาจาก การที่จิตดีขึ้นนั่นเอง จิตอยู่ในรอบที่อกุศลวิบาก บีบให้ตกต่ำ มืด แล้วไม่ยอมตกต่ำดำมืด ไม่ยอมวิบากเก่า ทำให้สว่างขึ้นได้ อะไรๆ ก็พลอยดีขึ้นตามไปด้วย เพราะจิตมีความสัมพันธ์กับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวหมด

ง่ายที่สุด หน้าตาผิวพรรณ ตอนที่จิตตก จะซูบหมอง เต็มไปด้วยความดำคล้ำ ตาแดง ตาเหลือง แต่พอจิตฟื้นฟูขึ้นมาได้ ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นมาทันที บางคนราวกับว่าเปิดสวิทช์ไฟจากข้างใน แค่ชั่วข้ามคืน หรือชั่วข้ามวันที่เกิดสติ จิตเปลี่ยนจากมืดเป็นสว่างได้ ผิวหนังภายนอกพลอยสะท้อนตอบเลย มีฟีดแบกจากผิวหนังขึ้นมาทันที สว่างจ้าขึ้นมา

นี้เป็นตัวอย่างใกล้ที่บอกว่า จิตสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ คือร่างกาย และจะส่งแรงกระทำต่อสิ่งรอบตัว ทั้งใกล้และไกลที่เป็นเหตุปัจจัย
เดิม มีเหตุปัจจัยที่จะบีบให้จิตเป็นทุกข์ ตามวิบากเก่า แต่พอจิตไม่ยอม มีความสว่าง เปิด สดใสขึ้นมา สิ่งที่อยู่รอบตัวก็พลอยถูกทำให้สะเทือน พอมันทำอะไรเราไม่ได้ แพ้ไป ก็จะค่อยๆ เกิดผลอะไรบางอย่างที่มาเชื่อว่า เป็นความมหัศจรรย์ จริงๆ ก็คือเรื่องของอำนาจทางใจ จากเดิม เปลี่ยนจากมืด พลิกให้กลายเป็นสว่างได้ มีหลักฐาน มีร่องรอย บางสิ่งบางอย่างเป็นเครื่องตอบแทน เป็นเครื่องสมนาคุณ เป็นเครื่องทำให้เกิดกำลังใจว่า กุศลธรรมมีจริงเสมอนะ

สรุป ถ้าเรามองว่ากำลังดวงตก จะทำอย่างไรดี จะแก้กรรมอย่างไร
ถ้ามองกันแบบพุทธ เราแก้กันที่ใจ ทำอย่างไรให้ใจสว่าง ทำอย่างไรให้ใจมีสติ ตอนที่กำลังเศร้าที่สุด คือตอนที่สติขาดได้ง่ายที่สุด คือตอนที่เราจะไม่มีสติอย่างที่สุด ทีนี้ถ้าเราพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสทางธรรม วิกฤตทางโลก กลายเป็นโอกาสทางธรรม จะต่างไป แล้วใจของเราจะเป็นผู้ประจักษ์นะครับ!
______________


ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ดวงตก VS จิตตก

27 ตุลาคม 2561

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น