ดังตฤณ : บางคนมีความรู้สึกว่าตัวเองปากศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าแช่งใครไปแล้ว มักจะมีผลตามนั้น
อันนี้พอพูดถึงเรื่องนี้ มันต้องพูดถึงสิ่งลึกลับ ที่พิสูจน์เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้
แล้วก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ทราบได้เป็นสากล
เพราะว่า เราจับทุกคนเป็นมาเป็นตัวตั้ง
แล้วก็มาทดลองหาข้อสรุปกันไม่ได้แบบวิทยาศาสตร์นะครับ
แต่เราพูดอย่างนี้ก็แล้วกันว่า สิ่งใดก็ตามเราทำไปแล้ว
มันจะเกิดผลหรือไม่เกิดผลอะไรก็แล้วแต่ มันจะมีประสิทธิภาพน้อย หรือประสิทธิภาพมาก
ไปลบล้างไม่ได้
แต่มันสามารถเจือจางได้ ด้วยของใหม่คือ
ของเก่ากับของใหม่ผสมกันได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบเทียบ
เหมือนกับบาปเก่า เป็นก้อนเกลือ แล้วถ้าเราใส่น้ำเติมเข้าไป ยิ่งมากเท่าไหร่ หนึ่งแก้วมันก็เจือจางระดับหนึ่ง ยังเค็มอยู่
แต่ถ้าหนึ่งโอ่ง แม้เกลือจะยังอยู่เป็นก้อนเล็กๆนั้น แต่ก็แทบจะไม่ได้รสเค็ม
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าหากว่า เราไม่สบายใจ ที่เคยไปก่อบาปก่อกรรมอะไรไว้
เคยไปแช่งใครเขาไว้ ก็หัดที่จะชื่นชม หรือว่าอวยพร ทำในสิ่งที่มันเป็นตรงกันข้ามกัน
เคยทำบาปไว้อย่างไร
ก็ทำบุญให้เป็นตรงกันข้ามกันแบบนั้น อย่างถ้าคุณสวดอิติปิโสด้วยความเข้าใจว่า เราสรรเสริญ
เรากล่าวคำยกย่อง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่ามีคุณวิเศษอย่างไรบ้าง
ถ้าใจเกิดความเบิกบาน
เกิดความชุ่มชื่น เกิดความรู้สึกสว่างโล่ง ก็จำลักษณะจิตลักษณะใจแบบนั้น ไปอวยพร หรือว่าไปพูดดี
ให้เกิดความรู้สึกดีๆ กับคนที่เราเคยสาปแช่ง หรือว่าไม่ต้องเคยสาปแช่งก็ได้คนทั่วไปก็ได้
ทำให้มากๆ จนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่า เรามีฤทธิ์ เรามีอำนาจ ในการทำให้คนอื่นรู้สึกดี
เรามีความสามารถ ทำให้ชีวิตคนอื่น มีความสว่างขึ้นนิดหนึ่งทันทีที่เราพูดไป
ตัวนี้แหละ ที่มันเริ่มจะหมือนกับน้ำที่มาละลายเกลือ เหมือนกับความสามารถที่เป็นความสว่าง
มาขับไล่ของเดิมที่มันเป็นความมืดนะครับ
ยิ่งสว่างมากขึ้นเท่าไหร่
ความมืดยิ่งหายไปมากขึ้นเท่านั้น
อันนี้ก็เหมือนกับถ้าเรามีความสามารถในการอวยพรคนได้แล้ว เพื่อจะแก้ความรู้สึกผิด ก็อาจจะไปอวยพรให้เขาเกิดอะไรที่มันดี ที่มันเป็นไปในทางเจริญนะครับ
ทีนี้มาทำความเข้าใจกันในขั้นสุดท้ายว่า คนเราเนี่ยไม่เป็นไปตามปากของใคร ยกเว้นแต่ว่า บาปของเขา บุญของเขา
มันจะให้ผลตามนั้นอยู่แล้ว สอดคล้องกับคำอวยพร หรือคำสาปแช่งของเราอยู่แล้ว
การสาปแช่งของเรา
มันเป็นพลังชนิดหนึ่งในธรรมชาติ การอวยพรของเรา ก็เป็นพลังชนิดหนึ่งในธรรมชาติเช่นกัน
ธรรมชาติด้านมืด หรือธรรมชาติด้านสว่าง
ซึ่งมันไม่ได้มีผลขนาดที่จะเป็นมือไม้ไปบิดชีวิตของเขาให้มันเพี้ยนไป
หรือบิดเบี้ยวไปจากที่มันควรจะเป็นได้
แต่มันมีผลทางใจ
ที่ทำให้มันเกิดแรงอัด หรืออย่างถ้ามีวาจาสิทธิ์ อันเกิดจากการสะสม ตบะบารมีมา พูดคำไหน ทำคำนั้นได้ตลอดชีวิต คนพวกนี้ เวลาที่สาปแช่งใครอะไรออกไป บางทีมันเป็นพลัง
ซึ่งถ้าหากว่า ผู้รับพลังปะทะมีบุญอ่อน ไม่มีกำแพง บางทีมันก็อาจจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นมาได้จริงๆ
แต่อันนี้ส่วนใหญ่ต้องระดับที่ว่า
ผู้บำเพ็ญตบะมาทั้งชีวิต บำเพ็ญคุณงามความดีมา ในขณะที่ผู้ถูกสาปแช่ง ไม่ได้มีคุณงามความดีอะไรเลย ไม่ได้มีกำแพงที่จะมาขวาง
บางทีมันก็คล้ายๆกับเราชกด้วยหมัด
ถ้าหมัดของเรามีกำลัง แล้วคนที่รับหมัด ไม่ได้มีกำลังต่อต้าน บางทีมันก็ล้มไปได้ ก็เปรียบเทียบอย่างนั้นก็แล้วกัน
แต่ไม่ใช่ว่าเราพูดอะไรไป
มันจะเป็นไปตามนั้นได้ทุกครั้ง หรือว่าเป็นอย่างนั้นได้จริงเสมอไป
มันมีเหตุปัจจัยอะไรหลายๆอย่างนะครับ
ซึ่งคุณแค่ทำไว้ในใจว่า เราจะเป็นผู้รักษาศีล เป็นผู้ให้มหาทาน เป็นผู้ให้ความปลอดภัยแบบไม่จำกัด
ตรงนี้เนี่ย มันก็จะรู้สึกถึงพลังความปลอดภัย ที่ออกไปจากจากตัวเรา ไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยกับใคร แม้ด้วยพลังวาจาที่เป็นทุจริต อันนี้ถ้าทำตลอดชีวิตที่เหลือ มันก็จะช่วยให้ความรู้ผิด หรือว่าอะไรที่นึกว่า มันจะไปเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า มันเจือจางลงได้นะครับ มันหายไปได้ คืออย่าไปกังวลมาก
ตรงนี้เนี่ย มันก็จะรู้สึกถึงพลังความปลอดภัย ที่ออกไปจากจากตัวเรา ไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยกับใคร แม้ด้วยพลังวาจาที่เป็นทุจริต อันนี้ถ้าทำตลอดชีวิตที่เหลือ มันก็จะช่วยให้ความรู้ผิด หรือว่าอะไรที่นึกว่า มันจะไปเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า มันเจือจางลงได้นะครับ มันหายไปได้ คืออย่าไปกังวลมาก
--------------------------------------------------------------------------------------
ผู้ถอดคำ ครอบครัว กิติวิริยกุล
วันที่ไลฟ์ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม ถ้าเราเคยโกรธและสาปแช่งใคร แต่วันนี้เราให้อภัยแล้ว และไม่อยากให้เขา
ต้องเป็นไปตามคำแช่งของเรา เราจะทำยังไง กับคำพูดไม่ดีของเราในวันนั้น?
ระยะเวลาคลิป ๗.๒๗ นาที
รับชมทางยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=RLUO6XyGjj4&feature=youtu.be
*** IG ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น