ถาม : ตัดใจจากแฟนเก่าไม่ได้มานานหลายปี
ควรทำอย่างไร?
รับฟังทางยูทูป http://youtu.be/Y9nlyPXHV6k
[ ดังตฤณตอบ ]
ก็เป็นคำถามประจำโลกเลย
การที่เราลืมคนรักไม่ได้
เราพูดถึงเรื่องของอดีตเรื่องของบุพเพสันนิวาสเรื่องของการเคยทำบุญร่วมกันมาได้นะ
เพราะว่ามันมีส่วนอยู่จริงๆ บางคนเราคบกันมาตั้งหลายปี
แต่พอเลิกกันปุ๊บไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่มีความคิดถึง ไม่มีความอาลัยไยดี แต่กับบางคนเจอกันแค่ไม่กี่วัน
คุยกันแค่ไม่กี่ครั้ง ลืมไม่ได้ ลืมไม่ลง ไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะอะไร
ตอนที่เราไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรก็อาจจะดูความรู้สึกยึดติดถือมั่นที่เกิดขึ้นในใจของเราจริงๆว่ามันอาจจะเกิดจากบุญเก่าที่เคยทำกันมา
หรือว่าความผูกพันที่ผูกกันมาแน่นแฟ้นหลายภพหลายชาติ
เราไม่รู้หรอกระลึกไม่ได้ว่าเคยเดินทางร่วมกับเขามากี่ครั้ง
เราระลึกไม่ได้หรอกว่าเคยไปทำบุญอะไรกับเขามาถึงได้มีความรู้สึกว่าใจไปจ่อไปเล็งมากมายขนาดนั้น
แต่มันมีอยู่จริงๆความรู้สึกยึดมั่นถือมั่น
แยกตรงนี้ก่อนนะ ความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นมันมีอยู่ในเราจริงๆแล้วก็อาจจะเคยทำบุญร่วมกับเขามา
อันนั้นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ทีนี้ถ้าเรามองพิจารณากันแบบชาวพุทธที่พิจารณาว่า
ถ้าคู่กันแล้วแบบเป็นคู่บุญจริงๆหมายความว่าต่างฝ่ายต่างคิดดีต่อกันพูดดีต่อกันแล้วก็เคยอยู่ร่วมกันมาด้วยการกระทำที่ซื่อสัตย์ต่อกันเอื้อเอ็นดูต่อกันเกื้อกูลกันมาจนกระทั่งสิ้นชีวิตจากกัน
เรียกว่าคู่บุญ ที่มีความแน่นอนซึ่งจะได้มาพบกันอีกในชาติถัดมา
แล้วก็พบกันอีกบ่อยๆตามหลักของพุทธศาสนา
ที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่าถ้าหากจะได้เจอกันทั้งในชาตินี้
หมายถึงเคยอยู่ด้วยกันในชาตินี้ไปจนตายแล้วก็ไปเจอกันอีกในชาติต่อไปก็จะต้องมีความรัก
ความรักเกิดจากอะไร? เกิดจากการที่เคยได้อยู่ร่วมกันมาด้วยดี
แล้วก็มาเกื้อกูลกันในชาติปัจจุบัน
แล้วก็ต้องมีศรัทธามีศีลมีจาคะและมีปัญญาเสมอกัน ถ้าหากว่ามีองค์ประกอบครบแบบนี้
ต่างฝ่ายต่างมีความเอื้อเอ็นดูต่อกันรักกัน เกิดใหม่ชาติใหม่ฉันใดก็จะต้องได้มาพบกันแล้วก็มาเป็นคู่กันอีกไปจนกระทั่งแยกย้ายจากกันไปตาย
ถ้ามันเกิดอยู่กับแค่ฝั่งเราฝั่งเดียวล่ะ
มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่ว่าเคยทำบุญกับเขามา
แต่เรามีใจเล็งถึงเขามากกว่าที่เขามีใจเล็งถึงเรา เขาอาจจะเคยช่วยเหลือเรามา
อาจจะเป็นเจ้านาย อาจจะเป็นญาติพี่น้องที่ให้ความเกื้อกูลกับเรามาแล้วเรารักเขามาก
แล้วเราได้รับความเกื้อกูลจากเขามา เป็นเหมือนกับความประทับใจ
หรือว่ามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งแน่นแฟ้นมาก
พอเราทำบุญร่วมกับเขาหรือว่าพยายามช่วยเหลือพยายามตอบแทนเขา
มันก็กลายเป็นความรู้สึกด้านดีกลายเป็นกำลังบุญที่เกิดจากความประทับใจหรือว่าความเลื่อมใสความมีใจให้กับเขา
พอเกิดใหม่มันก็อาจจะยังมีความรู้สึกยึดเหนียวแน่นแบบนั้นอยู่
ในขณะที่เขาเอง
เขาไม่ได้มองเราเป็นคนรัก หรืออาจจะมองเราเป็นคนรัก
แต่ว่าไม่ใช่คู่ที่ร่วมกันจนกระทั่งตายจากกัน เขาก็อาจจะมีคู่อื่นคนอื่นที่เขาผูกพันกันมากกว่า
หรือว่ามีจุดตัดของเวลาที่เหมาะสมที่จะเป็นคู่กันในชาตินี้ในชีวิตนี้นะครับ
มันมีเหตุผลที่ซับซ้อนลึกซึ้งมันไม่ใช่แบบในนิยาย
หรือว่าในหนังที่เราเห็นนะว่าคู่กันแล้วไม่แคล้วกัน
เคยอยู่ด้วยกันมาในชาติที่แล้วชาตินี้ประทับใจกันและกัน แล้วก็ต้องอยู่กันไปจนตาย
มันไม่ง่ายแบบนั้น มันมีปม มันมีความเหมาะสมทั้งเงื่อนเวลา ทั้งเงื่อนบุคคล
ทั้งเงื่อนเหตุการณ์ทั้งหลาย
แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของศรัทธา
ถ้าหากว่าศรัทธาไม่ได้เล็งไปในทางเดียวกันนะ ก็ยากที่จะมาลงเรือลำเดียวกันได้
เพราะว่าเรือของแต่ละคนมันพากันไปคนละทิศ
ถามว่ามีวิธีใดที่จะทำบุญเพื่อจะตัดใจ
เพื่อที่จะพ้นสภาวะแบบนี้? เข้าใจนะ
มันเป็นเรื่องทรมานใจ ใครไม่เจอกับตัวอาจจะรู้สึกว่ามันจะอะไรกันนักกันหนา
ก็แค่คนครั้งเก่าที่จากกันไปแล้วก็ตัดใจไปสิ
ก็พยายามที่จะเอาใจมาผูกอยู่กับคนของเราคนใหม่สิ
หรือว่าพยายามพิจารณาไปว่าเขาไม่ใช่คนของเรา เขาเป็นอนัตตา เขาเป็นอะไรต่อมิอะไร
แต่คนที่เจอมาจะเข้าใจว่าอาการที่รู้สึกยึดติดถือมั่น
รู้สึกว่าไม่ลืมสักทีแล้วก็ทรมานใจ บางทีนอนกระสับกระส่าย เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า
ชีวิตนี้ปล่อยให้ใครบางคนหลุดมือไปหรือเปล่า รู้สึกเสียดายรู้สึกเสียใจ
หรือรู้สึกเหมือนกับยังเป็นเจ้าของ เรายังเป็นเจ้าของอยู่เขายังเป็นของๆเราอยู่
ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นจะวิจิตรพิสดารวิลิศมาหราอะไรสักแค่ไหนก็ตาม
ขอให้มองมันมาลงอยู่ที่คำๆเดียวคำเดิมนั่นแหละ ยึดติดถือมั่น
มันเป็นอาการของใจอย่างหนึ่งที่เราเอาไว้ดูได้ว่าอย่างนี้หน้าตาของความยึดติดถือมั่น
มันเป็นความร้อยรัด อาการร้อยรัดเป็นยังไง? มันรู้สึกแน่นเข้ามามันรู้สึกจุกเข้ามาในอก
มันรู้สึกเหมือนเรากำลังกอดอะไรไว้ แต่ไม่ได้กอดด้วยอ้อมแขนเป็นอ้อมใจ
เป็นความรู้สึกทางใจที่มันยังร้อยรัด ถามว่าความรู้สึกร้อยรัด
ความรู้สึกเหมือนยางเหนียวเป็นยังไง? มันไม่ต้องไปพยายามแปลเป็นภาพอะไรเลย
เอาความรู้สึกในขณะนั้นนั่นแหละเป็นตัวตั้งเป็นตัวหลัก
รู้สึกยังไงยอมรับไปอย่างนั้นว่าเป็นความรู้สึกเหนียวแน่นเป็นความรู้สึกผูกพัน
ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรให้กำกับคำลงไปเลย นั่นแหละเรียกว่ายึดติดถือมั่น
นั่นแหละยางเหนียว
พอเรามีคำที่ชัดเจนให้กับความรู้สึกที่ปรากฏอยู่
มีคำชัดเจนที่จะเอาไว้ใช้เรียกสภาวะทางใจที่เกิดขึ้น ซ้ำๆซ้ำๆ
กี่ปีกี่เดือนมันก็ยังเหมือนเดิม นั่นเป็นเรื่องดีนะ
ในทางการเจริญสติแล้ว
อะไรก็แล้วแต่ที่ปรากฏอยู่บ่อยๆ ปรากฏอยู่เป็นประจำ
ปรากฏแบบที่เหมือนกับเป็นแขกประจำที่เข้ามาเยี่ยมให้เราเห็นหน้าบ่อยๆไม่ไปไหนสักที
มีประโยชน์อย่างไร? มีประโยชน์ในแง่ที่ว่าถ้าอะไรเกิดบ่อยอะไรแบบนั้นเราจะจำได้ง่าย
เราจะเห็นได้ชัด เราจะไม่ต้องไปจินตนาการถึงมัน แต่สามารถรู้สึกได้ทันทีว่านี่มาอีกแล้วแขกเจ้าประจำ
คุณไม่จำเป็นต้องไปพยายามขับไล่แขกประจำ เพราะว่ายังไงๆก็จะมาอยู่ดี
ถึงเราไม่เชื้อเชิญ ถึงเราไม่อยากให้เขาเข้ามา
แต่มันก็เหมือนกับว่าเขารู้ทางรู้ประตูรู้ช่องที่จะเข้าถึงบ้านเราแล้ว
บ้านเราก็คือจิต
ในเมื่อไหนๆเขามาแล้วเราก็ใช้เขาให้เป็นประโยชน์
แทนที่จะเอาน้ำท่าหรือว่าเอาข้าวปลามาต้อนรับขับสู้ เราดูเขาว่าเขามาแล้ว
ดูเขาว่ามาให้เห็นชัดๆดูหน้าให้ชัดๆเลยว่าหน้าตาเป็นยังไง
หูแหลมๆตาแหลมๆจมูกโด่งๆปากเป็นยังไง เวลาเราสังเกตใครด้วยความพิจารณาอย่างไร
ก็ให้สังเกตอาการยึดมั่นถือมั่นด้วยลักษณะแบบเดียวกันนั้น
ดูว่ามันมีความเป็นอย่างไร เพื่อให้จดจำได้ชัดๆพอจดจำได้ชัดๆแล้วเกิดอะไรขึ้น
พอภาวะแบบนั้นหายไป เราก็จะเห็นได้ทันทีว่ามันหายไป
ก็มันจำได้แล้วไงว่าหน้าตาเป็นยังไง เหมือนกับแขกคนหนึ่งที่เข้ามา
วันๆเราอาจจะต้อนรับแขกหลายคนแต่แขกคนนี้เราจำไว้เป็นพิเศษว่าหน้าตาแบบนี้รูปร่างแบบนี้
พอเขาปรากฏตัวเราจำได้ทันที พอเขาหายไปเราก็จำได้ทันทีว่าหายไปแล้ว ฉันใดฉันนั้น
เมื่อฝึกที่จะพิจารณาว่าแขกมาเองแล้วไปเองเราจะสามารถรู้สึกว่าที่เหมือนกับเป็นความยึดติดถือมั่นที่ไม่เคยเสื่อมคลายที่ไม่เคยเลิกรา
ไม่จริง มันมาๆแล้วก็ไปๆ
ไม่มีความรู้สึกแบบที่คั่งค้างถาวรหรอกว่านี่ยึดติดเหลือเกิน ยึดติดเหลือเกิน
พอเวลาผ่านไปไม่กี่นาทีความรู้สึกมันจะคลายลง แล้วเดี๋ยวกลับมาใหม่
นี่คือความจริงที่คนไม่สังเกต เพราะอะไร? เพราะว่ามัวแต่ไปสังเกตว่าเรายังรักเขาอยู่
เรายังหลงเขาอยู่ เรายังติดเขาอยู่ มันเป็นอย่างนี้
พระพุทธเจ้าตรัสเลยนะเวทนาใดที่ถูกรู้
เวทนานั้นจะแสดงความไม่เที่ยง
แต่ถ้าเมื่อไรเวทนาเกิดขึ้นแล้วเราไม่สังเกตโดยความเป็นของไม่เที่ยง
มันจะกลายเป็นความรู้สึก เป็นนิจจสัญญา นิจจสัญญาคือมีความรู้สึกว่าเที่ยง
พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้แล้วเราสามารถประยุกต์ใช้ได้ในเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ในชีวิตจริงๆทุกวัน
ลองสังเกตดูไม่ว่าจะเป็นความพอใจไม่พอใจ
ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์
ถ้ามันมีความแรงมากๆชั่วขณะนั้นใจจะหลงไปว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ มันอยู่กับเราจริงๆ
และมันจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป ที่คนเราทรมานใจกันก็เพราะว่ารู้สึกว่าความทุกข์ถ้าเกิดแล้วมันจะไม่หายไปไหน
มันจะรบกวนจิตใจไปเรื่อยๆ มันจะไม่นึกถึงการสูญหายไป
มันจะไม่นึกถึงการที่ว่าวันหนึ่งมันจะเปลี่ยนแปลงไป
มันจะมีแต่ความรู้สึกอึดอัดทรมานว่ามันจะขังเราไว้กับความเร่าร้อนกระวนกระวายอย่างนี้ไม่เลิก
นี่คือความจริงนะครับ
เอาล่ะลองไปสังเกตดูว่า
ถ้าเห็นหน้าตาความยึดมั่นถือมั่นแล้ว อีก ๑๐ ปีมันก็ไม่หาย ไม่เป็นไร
อาจจะเป็นเพราะว่าเราทำบุญกับเขาไว้เยอะ แต่เราจะได้ใช้ประโยชน์ในอีก ๑๐
ปีที่จะมาถึงก็แล้วกันว่า
ความยึดมั่นถือมั่นที่เกิดขึ้นในใจมันมาแล้วก็ค่อยๆลดระดับลง เดี๋ยวมันกลับมาใหม่
เหมือนแขกเจ้าประจำ แล้วเราก็จะรู้สึกว่า
สิ่งที่เราได้จากการเห็นมันก็คือการเรียนรู้การเจริญสติที่เป็นประโยชน์มากๆอย่างหนึ่ง
แล้วในที่สุดถึงวันหนึ่งมันจะรบกวนจิตใจเราไม่ได้จริงๆนะ
พอเรามีอนิจจสัญญาคือความรู้สึกว่าไม่เที่ยง รู้สึกว่าความยึดติดถือมั่นเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่เที่ยง
ตรงนั้นมันจะรบกวนจิตใจเราไม่ได้จริงๆ
ขอให้ทดลองดูเถอะอาจจะใช้เวลา
กินเวลาสักหลายเดือน หรือหลายปีก็แล้วแต่ แต่มันคุ้มจริงๆที่จะฝึกแบบนี้
เราไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์จริงๆ
** IG **
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น