วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๓.๑๐ จะตัดใจจากคนรักเก่าได้อย่างไร?

ถาม : ตัดใจจากแฟนเก่าไม่ได้มานานหลายปี ควรทำอย่างไร?
รับฟังทางยูทูป http://youtu.be/Y9nlyPXHV6k


[ ดังตฤณตอบ ]

ก็เป็นคำถามประจำโลกเลย การที่เราลืมคนรักไม่ได้ เราพูดถึงเรื่องของอดีตเรื่องของบุพเพสันนิวาสเรื่องของการเคยทำบุญร่วมกันมาได้นะ เพราะว่ามันมีส่วนอยู่จริงๆ บางคนเราคบกันมาตั้งหลายปี แต่พอเลิกกันปุ๊บไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่มีความคิดถึง ไม่มีความอาลัยไยดี แต่กับบางคนเจอกันแค่ไม่กี่วัน คุยกันแค่ไม่กี่ครั้ง ลืมไม่ได้ ลืมไม่ลง ไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะอะไร

ตอนที่เราไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรก็อาจจะดูความรู้สึกยึดติดถือมั่นที่เกิดขึ้นในใจของเราจริงๆว่ามันอาจจะเกิดจากบุญเก่าที่เคยทำกันมา หรือว่าความผูกพันที่ผูกกันมาแน่นแฟ้นหลายภพหลายชาติ เราไม่รู้หรอกระลึกไม่ได้ว่าเคยเดินทางร่วมกับเขามากี่ครั้ง เราระลึกไม่ได้หรอกว่าเคยไปทำบุญอะไรกับเขามาถึงได้มีความรู้สึกว่าใจไปจ่อไปเล็งมากมายขนาดนั้น

แต่มันมีอยู่จริงๆความรู้สึกยึดมั่นถือมั่น แยกตรงนี้ก่อนนะ ความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นมันมีอยู่ในเราจริงๆแล้วก็อาจจะเคยทำบุญร่วมกับเขามา อันนั้นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ทีนี้ถ้าเรามองพิจารณากันแบบชาวพุทธที่พิจารณาว่า ถ้าคู่กันแล้วแบบเป็นคู่บุญจริงๆหมายความว่าต่างฝ่ายต่างคิดดีต่อกันพูดดีต่อกันแล้วก็เคยอยู่ร่วมกันมาด้วยการกระทำที่ซื่อสัตย์ต่อกันเอื้อเอ็นดูต่อกันเกื้อกูลกันมาจนกระทั่งสิ้นชีวิตจากกัน เรียกว่าคู่บุญ ที่มีความแน่นอนซึ่งจะได้มาพบกันอีกในชาติถัดมา แล้วก็พบกันอีกบ่อยๆตามหลักของพุทธศาสนา

ที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่าถ้าหากจะได้เจอกันทั้งในชาตินี้ หมายถึงเคยอยู่ด้วยกันในชาตินี้ไปจนตายแล้วก็ไปเจอกันอีกในชาติต่อไปก็จะต้องมีความรัก ความรักเกิดจากอะไร? เกิดจากการที่เคยได้อยู่ร่วมกันมาด้วยดี แล้วก็มาเกื้อกูลกันในชาติปัจจุบัน แล้วก็ต้องมีศรัทธามีศีลมีจาคะและมีปัญญาเสมอกัน ถ้าหากว่ามีองค์ประกอบครบแบบนี้ ต่างฝ่ายต่างมีความเอื้อเอ็นดูต่อกันรักกัน เกิดใหม่ชาติใหม่ฉันใดก็จะต้องได้มาพบกันแล้วก็มาเป็นคู่กันอีกไปจนกระทั่งแยกย้ายจากกันไปตาย

ถ้ามันเกิดอยู่กับแค่ฝั่งเราฝั่งเดียวล่ะ มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่ว่าเคยทำบุญกับเขามา แต่เรามีใจเล็งถึงเขามากกว่าที่เขามีใจเล็งถึงเรา เขาอาจจะเคยช่วยเหลือเรามา อาจจะเป็นเจ้านาย อาจจะเป็นญาติพี่น้องที่ให้ความเกื้อกูลกับเรามาแล้วเรารักเขามาก แล้วเราได้รับความเกื้อกูลจากเขามา เป็นเหมือนกับความประทับใจ หรือว่ามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งแน่นแฟ้นมาก พอเราทำบุญร่วมกับเขาหรือว่าพยายามช่วยเหลือพยายามตอบแทนเขา มันก็กลายเป็นความรู้สึกด้านดีกลายเป็นกำลังบุญที่เกิดจากความประทับใจหรือว่าความเลื่อมใสความมีใจให้กับเขา พอเกิดใหม่มันก็อาจจะยังมีความรู้สึกยึดเหนียวแน่นแบบนั้นอยู่

ในขณะที่เขาเอง เขาไม่ได้มองเราเป็นคนรัก หรืออาจจะมองเราเป็นคนรัก แต่ว่าไม่ใช่คู่ที่ร่วมกันจนกระทั่งตายจากกัน เขาก็อาจจะมีคู่อื่นคนอื่นที่เขาผูกพันกันมากกว่า หรือว่ามีจุดตัดของเวลาที่เหมาะสมที่จะเป็นคู่กันในชาตินี้ในชีวิตนี้นะครับ มันมีเหตุผลที่ซับซ้อนลึกซึ้งมันไม่ใช่แบบในนิยาย หรือว่าในหนังที่เราเห็นนะว่าคู่กันแล้วไม่แคล้วกัน เคยอยู่ด้วยกันมาในชาติที่แล้วชาตินี้ประทับใจกันและกัน แล้วก็ต้องอยู่กันไปจนตาย มันไม่ง่ายแบบนั้น มันมีปม มันมีความเหมาะสมทั้งเงื่อนเวลา ทั้งเงื่อนบุคคล ทั้งเงื่อนเหตุการณ์ทั้งหลาย

แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของศรัทธา ถ้าหากว่าศรัทธาไม่ได้เล็งไปในทางเดียวกันนะ ก็ยากที่จะมาลงเรือลำเดียวกันได้ เพราะว่าเรือของแต่ละคนมันพากันไปคนละทิศ

ถามว่ามีวิธีใดที่จะทำบุญเพื่อจะตัดใจ เพื่อที่จะพ้นสภาวะแบบนี้? เข้าใจนะ มันเป็นเรื่องทรมานใจ ใครไม่เจอกับตัวอาจจะรู้สึกว่ามันจะอะไรกันนักกันหนา ก็แค่คนครั้งเก่าที่จากกันไปแล้วก็ตัดใจไปสิ ก็พยายามที่จะเอาใจมาผูกอยู่กับคนของเราคนใหม่สิ หรือว่าพยายามพิจารณาไปว่าเขาไม่ใช่คนของเรา เขาเป็นอนัตตา เขาเป็นอะไรต่อมิอะไร แต่คนที่เจอมาจะเข้าใจว่าอาการที่รู้สึกยึดติดถือมั่น รู้สึกว่าไม่ลืมสักทีแล้วก็ทรมานใจ บางทีนอนกระสับกระส่าย เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า ชีวิตนี้ปล่อยให้ใครบางคนหลุดมือไปหรือเปล่า รู้สึกเสียดายรู้สึกเสียใจ หรือรู้สึกเหมือนกับยังเป็นเจ้าของ เรายังเป็นเจ้าของอยู่เขายังเป็นของๆเราอยู่

ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นจะวิจิตรพิสดารวิลิศมาหราอะไรสักแค่ไหนก็ตาม ขอให้มองมันมาลงอยู่ที่คำๆเดียวคำเดิมนั่นแหละ ยึดติดถือมั่น มันเป็นอาการของใจอย่างหนึ่งที่เราเอาไว้ดูได้ว่าอย่างนี้หน้าตาของความยึดติดถือมั่น มันเป็นความร้อยรัด อาการร้อยรัดเป็นยังไง? มันรู้สึกแน่นเข้ามามันรู้สึกจุกเข้ามาในอก มันรู้สึกเหมือนเรากำลังกอดอะไรไว้ แต่ไม่ได้กอดด้วยอ้อมแขนเป็นอ้อมใจ เป็นความรู้สึกทางใจที่มันยังร้อยรัด ถามว่าความรู้สึกร้อยรัด ความรู้สึกเหมือนยางเหนียวเป็นยังไง? มันไม่ต้องไปพยายามแปลเป็นภาพอะไรเลย เอาความรู้สึกในขณะนั้นนั่นแหละเป็นตัวตั้งเป็นตัวหลัก รู้สึกยังไงยอมรับไปอย่างนั้นว่าเป็นความรู้สึกเหนียวแน่นเป็นความรู้สึกผูกพัน ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรให้กำกับคำลงไปเลย นั่นแหละเรียกว่ายึดติดถือมั่น นั่นแหละยางเหนียว

พอเรามีคำที่ชัดเจนให้กับความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ มีคำชัดเจนที่จะเอาไว้ใช้เรียกสภาวะทางใจที่เกิดขึ้น ซ้ำๆซ้ำๆ กี่ปีกี่เดือนมันก็ยังเหมือนเดิม นั่นเป็นเรื่องดีนะ

ในทางการเจริญสติแล้ว อะไรก็แล้วแต่ที่ปรากฏอยู่บ่อยๆ ปรากฏอยู่เป็นประจำ ปรากฏแบบที่เหมือนกับเป็นแขกประจำที่เข้ามาเยี่ยมให้เราเห็นหน้าบ่อยๆไม่ไปไหนสักที มีประโยชน์อย่างไร? มีประโยชน์ในแง่ที่ว่าถ้าอะไรเกิดบ่อยอะไรแบบนั้นเราจะจำได้ง่าย เราจะเห็นได้ชัด เราจะไม่ต้องไปจินตนาการถึงมัน แต่สามารถรู้สึกได้ทันทีว่านี่มาอีกแล้วแขกเจ้าประจำ คุณไม่จำเป็นต้องไปพยายามขับไล่แขกประจำ เพราะว่ายังไงๆก็จะมาอยู่ดี ถึงเราไม่เชื้อเชิญ ถึงเราไม่อยากให้เขาเข้ามา แต่มันก็เหมือนกับว่าเขารู้ทางรู้ประตูรู้ช่องที่จะเข้าถึงบ้านเราแล้ว บ้านเราก็คือจิต

ในเมื่อไหนๆเขามาแล้วเราก็ใช้เขาให้เป็นประโยชน์ แทนที่จะเอาน้ำท่าหรือว่าเอาข้าวปลามาต้อนรับขับสู้ เราดูเขาว่าเขามาแล้ว ดูเขาว่ามาให้เห็นชัดๆดูหน้าให้ชัดๆเลยว่าหน้าตาเป็นยังไง หูแหลมๆตาแหลมๆจมูกโด่งๆปากเป็นยังไง เวลาเราสังเกตใครด้วยความพิจารณาอย่างไร ก็ให้สังเกตอาการยึดมั่นถือมั่นด้วยลักษณะแบบเดียวกันนั้น ดูว่ามันมีความเป็นอย่างไร เพื่อให้จดจำได้ชัดๆพอจดจำได้ชัดๆแล้วเกิดอะไรขึ้น พอภาวะแบบนั้นหายไป เราก็จะเห็นได้ทันทีว่ามันหายไป ก็มันจำได้แล้วไงว่าหน้าตาเป็นยังไง เหมือนกับแขกคนหนึ่งที่เข้ามา

วันๆเราอาจจะต้อนรับแขกหลายคนแต่แขกคนนี้เราจำไว้เป็นพิเศษว่าหน้าตาแบบนี้รูปร่างแบบนี้ พอเขาปรากฏตัวเราจำได้ทันที พอเขาหายไปเราก็จำได้ทันทีว่าหายไปแล้ว ฉันใดฉันนั้น

เมื่อฝึกที่จะพิจารณาว่าแขกมาเองแล้วไปเองเราจะสามารถรู้สึกว่าที่เหมือนกับเป็นความยึดติดถือมั่นที่ไม่เคยเสื่อมคลายที่ไม่เคยเลิกรา ไม่จริง มันมาๆแล้วก็ไปๆ ไม่มีความรู้สึกแบบที่คั่งค้างถาวรหรอกว่านี่ยึดติดเหลือเกิน ยึดติดเหลือเกิน พอเวลาผ่านไปไม่กี่นาทีความรู้สึกมันจะคลายลง แล้วเดี๋ยวกลับมาใหม่ นี่คือความจริงที่คนไม่สังเกต เพราะอะไร? เพราะว่ามัวแต่ไปสังเกตว่าเรายังรักเขาอยู่ เรายังหลงเขาอยู่ เรายังติดเขาอยู่ มันเป็นอย่างนี้

พระพุทธเจ้าตรัสเลยนะเวทนาใดที่ถูกรู้ เวทนานั้นจะแสดงความไม่เที่ยง แต่ถ้าเมื่อไรเวทนาเกิดขึ้นแล้วเราไม่สังเกตโดยความเป็นของไม่เที่ยง มันจะกลายเป็นความรู้สึก เป็นนิจจสัญญา นิจจสัญญาคือมีความรู้สึกว่าเที่ยง พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้แล้วเราสามารถประยุกต์ใช้ได้ในเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ในชีวิตจริงๆทุกวัน

ลองสังเกตดูไม่ว่าจะเป็นความพอใจไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์ ถ้ามันมีความแรงมากๆชั่วขณะนั้นใจจะหลงไปว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ มันอยู่กับเราจริงๆ และมันจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป ที่คนเราทรมานใจกันก็เพราะว่ารู้สึกว่าความทุกข์ถ้าเกิดแล้วมันจะไม่หายไปไหน มันจะรบกวนจิตใจไปเรื่อยๆ มันจะไม่นึกถึงการสูญหายไป มันจะไม่นึกถึงการที่ว่าวันหนึ่งมันจะเปลี่ยนแปลงไป มันจะมีแต่ความรู้สึกอึดอัดทรมานว่ามันจะขังเราไว้กับความเร่าร้อนกระวนกระวายอย่างนี้ไม่เลิก นี่คือความจริงนะครับ

เอาล่ะลองไปสังเกตดูว่า ถ้าเห็นหน้าตาความยึดมั่นถือมั่นแล้ว อีก ๑๐ ปีมันก็ไม่หาย ไม่เป็นไร อาจจะเป็นเพราะว่าเราทำบุญกับเขาไว้เยอะ แต่เราจะได้ใช้ประโยชน์ในอีก ๑๐ ปีที่จะมาถึงก็แล้วกันว่า ความยึดมั่นถือมั่นที่เกิดขึ้นในใจมันมาแล้วก็ค่อยๆลดระดับลง เดี๋ยวมันกลับมาใหม่ เหมือนแขกเจ้าประจำ แล้วเราก็จะรู้สึกว่า สิ่งที่เราได้จากการเห็นมันก็คือการเรียนรู้การเจริญสติที่เป็นประโยชน์มากๆอย่างหนึ่ง แล้วในที่สุดถึงวันหนึ่งมันจะรบกวนจิตใจเราไม่ได้จริงๆนะ พอเรามีอนิจจสัญญาคือความรู้สึกว่าไม่เที่ยง รู้สึกว่าความยึดติดถือมั่นเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่เที่ยง ตรงนั้นมันจะรบกวนจิตใจเราไม่ได้จริงๆ


ขอให้ทดลองดูเถอะอาจจะใช้เวลา กินเวลาสักหลายเดือน หรือหลายปีก็แล้วแต่ แต่มันคุ้มจริงๆที่จะฝึกแบบนี้ เราไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์จริงๆ

** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น