วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๒.๓๕ ศีลบริสุทธิ์หมดจดทำได้จริงไหม?

ถาม : วิธีระหว่างผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์กับศีลด่างพร้อยนี่ต่างกันมากมั้ย สำหรับตัวเองข้อ ๑ และข้อ ๔ ทำยากที่สุดเลย บางทีหลีกเลี่ยงไม่ได้?  หนูเคยอ่านคำตอบมาหลายที่แล้วค่ะ ว่าถ้าเราไม่มีเจตนาก็ถือว่ายังไม่ขาด แต่หนูสงสัยว่าแล้วจะมีมั้ยคะในโลกนี้ที่มีคนที่มีศีลบริสุทธิ์หมดจด?

รับฟังทางยูทูบ https://youtu.be/rUy38sDYmvk

ดังตฤณ :   
ข้อ ๑ กับข้อ ๔ นี่ก็คือสงสัยจะตบยุงแล้วก็โกหกนะ ถ้าเดาไม่ผิด เพราะว่าข้อ ๑ นี่คือปาณาติบาต ข้อ ๔ ก็คือมุสาวาทนะครับ บอกว่าข้อ ๑ กับข้อ ๔ นี้ สำหรับผู้ถามท่านนี้ทำยากที่สุดเลย บางทีหลีกเลี่ยงไม่ได้

ศีลบริสุทธิ์กับศีลด่างพร้อยเนี่ย เอาเป็นเปรียบเทียบแบบสุดโต่งก่อนก็แล้วกัน คนที่รักษาศีลได้บริสุทธิ์หมายความว่า เป็นคนที่มีความตั้งใจไว้ล่วงหน้าว่า เจอสิ่งยั่วยุขนาดไหน ก็จะไม่ละเมิดศีล ไม่ประพฤติธรรมอันเป็นมลทินนะ ไม่ก่อบาปก่อกรรมด้วยการเบียดเบียนชีวิตอื่น ด้วยการฆ่า ด้วยการขโมย ด้วยการผิดลูกผิดเมีย ด้วยการไปโกหกมดเท็จเค้า แล้วก็ตลอดจนกระทั่ง ไม่เบียดเบียนตัวเองก่อนด้วยการกินเหล้า เพื่อที่จะมีโอกาสไปเบียดเบียนคนอื่นในภายหลัง เมื่อสติถูกบั่นทอน

อย่างนี้นะถ้าหากว่าเราตั้งใจไว้ล่วงหน้า ยังไงๆนะ เราจะยอมตายดีกว่าขายศีลนะ อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนที่มีความเด็ดเดี่ยว มีความตั้งมั่นอยู่ในสิ่งที่ถูกต้อง นึกออกมั้ย พอเราตั้งใจมั่นคงอยู่กับความถูกต้อง เส้นทางที่มันมีความสว่างเนี่ย เราก็จะอยู่ในโลกที่ไม่มีความเบียดเบียน คือมันคู่ควรกับการไปอยู่ในโลกที่ไม่มีการเบียดเบียนกัน

ส่วนคนที่ไม่สนใจเรื่องศีลเลย อยากทำอะไรก็ทำนะ เป็นคนที่มีโอกาสถูกกิเลสชักชวนให้เข้าสู่ทางอันดำมืด ได้ตลอดเวลา ได้ทุกสถานการณ์

อย่างนี้นะ เห็นชัดๆที่มันจะต่างกันเลยนะ ก็คือว่านะ คนที่รักษาศีล ตั้งใจรักษาศีลเนี่ย คือชีวิตเค้าจะลำบากแค่ไหนไม่รู้นะ แต่ว่าจิตใจเค้าจะสบาย เค้าจะมีความโปร่งโล่ง มีความไม่เดือดเนื้อร้อนใจ อันนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าเน้นย้ำเลย คือคนบางทีไม่เชื่อเรื่องว่าตายไปแล้วไปไหนนะ รักษาศีลจะได้เสวยผลที่สวรรค์ชั้นไหนอะไรยังไงเนี่ย มันต้องรอกันบางทีหลายสิบปี กว่าจะรู้ว่าจริงหรือไม่จริงนะ แต่ที่คดโกงกันวันนี้แล้วรวยวันนี้เลยเนี่ย อันนี้มันเห็นชัด มันก็เลยเหมือนกับว่า เอาที่เห็นได้ง่ายๆก่อนแล้วกัน ที่มีหลักฐานก่อนก็แล้วกันนะ ไม่ต้องถือหรอกศีลนะ

ทีนี้ถ้าเราพิจารณาตรง เอ่อ ไม่ใช่หลักฐานภายนอกอย่างเดียวว่าโกงแล้วรวย หรือว่าซื่อแล้วจนอะไรต่างๆนะ มาพิสูจน์หลักฐานทางใจกัน ถึงจะมีชีวิตยากแค้นยังไง แต่ถ้าหากว่าเราระลึกขึ้นมาว่า เราไม่ใช่ผู้ที่เบียดเบียนคนอื่น เราเป็นผู้ที่มีจิตตั้งมั่นแล้วนะในการรักษาศีล อย่างนี้มีความสบายใจทันทีตลอด ๒๔ ชั่วโมง คือระลึกขึ้นมาเมื่อไหร่ มันสบายใจขึ้นมาเมื่อนั้น

เนี่ยหลักการง่ายๆเลย เวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านจะสอนทำสมาธิเนี่ยนะ ให้สำรวจศีล วันนี้ศีลเราบกพร่องมั้ย พอมีความรู้สึกขึ้นมาเท่านั้นแหละ เออ วันนี้เรารักษาศีลได้ดี มีสิ่งยั่วยุ มีเครื่องล่อใจอะไรแค่ไหน ก็ยังมีความสามารถจะควบคุมตัวเองนะ ห้ามปาก ห้ามการกระทำทางมือไม้ได้ ใจมันจะคิดยังไงช่างมัน แต่ห้ามปากกับห้ามมือไม้ไว้ได้ ไม่ผิดศีล ไม่มีการด่างพร้อย มันเกิดความรู้สึกชื่นใจขึ้นมาทันที ความชื่นใจนั่นแหละ จะทำให้เกิดความพร้อม จะนั่งสมาธิต่อ นี่แสดงว่ามีผลกับจิตใจอย่างใหญ่หลวงเลย

คนที่เลือกที่จะรักษาศีลเนี่ยนะ มีความพร้อมจะนั่งสมาธิได้ ส่วนคนที่ไม่สนใจรักษาศีล สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือนะ ถึงมีความสะใจ ถึงมีความสนุกในวันนี้ที่ได้ละเมิดศีลนะ ที่ได้เป็นจุดเด่น โก้เก๋ในวงเพื่อนฝูงนะ ไม่น้อยหน้าใครเค้า ที่เค้าก็กินเหล้าเมายาหยำเปเหมือนกันนะ เที่ยวผู้หญิงเหมือนกัน หมายถึงว่าเที่ยวไปมีอะไรกับลูกเมียคนอื่น โดยที่เค้าไม่อนุญาตอะไรแบบเนี่ยนะ อย่างนี้คือถึงแม้ว่าสนุกทางกาย แต่ระลึกขึ้นมาแล้วมันสะดุ้ง มันสะดุ้งใจอยู่ว่า เออ เรากำลังทำอะไรอยู่หนอ ถูกหรือผิดกันแน่นะ ทำไมถ้าหากว่าตอนลืมตาตื่นอยู่ทำเรื่องสนุกๆแล้ว เวลาหลับทีไรมันเกิดความรู้สึกวุ่นวายใจ มันเกิดฝันร้าย มันเกิดความรู้สึกเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม เหมือนกับมีความว้าวุ่น จะต้องมีอะไรสักอย่างเร่งให้ไปทำเรื่องผิดๆซ้ำแล้วซ้ำเล่านะ ทำไมมันไม่ได้หยุด ได้หย่อนซะที เกิดความสะดุ้งใจขึ้นมาทั้งชีวิต

นั่นแหละ ถ้าใครถามขึ้นมาเนี่ยว่าคุณทำผิดอะไรหรือเปล่า มันสะดุ้งใจขึ้นมา มีใครถามว่าคุณเชื่อเรื่องนรกสวรรค์หรือเปล่า มันสะดุ้งใจขึ้นมา บอกปากแข็งนะ บอกว่าไม่เชื่อ โอ้ย !มันเรื่องเหลวไหลไร้สาระ สมัยนี้ใครถือศีลก็บ้าแล้วนะ มันจะปากแข็งไปเถียงเค้าแบบนี้เนี่ย แต่ว่าใจเนี่ย ใจจริงๆเนี่ยนะ มันสะดุ้งอยู่ มันมีความหวั่นไหวอยู่ข้างใน

เชื่อเถอะ ไม่ว่าใครนะ ต่อให้เป็นนักเลงอันธพาล ตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊กอะไรมานานแค่ไหนเนี่ย ก็มีความหวั่นไหวอยู่ ยกเว้นแต่พวกที่บาปหนา พอกหนาจริงๆแล้วไม่คิดถึงเรื่องนรกสวรรค์อะไรอีกเลยนะ ก็อย่างพวกที่ทำอนันตริยกรรมมา หรือว่าเป็นโจรตลอดชีวิตนะ เบียดเบียนผู้อื่นตลอดชีวิต โดยไม่สนใจว่าใครเค้าจะเดือดร้อนอะไรยังไง จนกระทั่งนะจิตใจเนี่ย มันด้านชากับความรู้สึกถึงบาปบุญคุณโทษ แบบนี้ก็จะเป็น ยกเว้นไว้อีกกรณีหนึ่ง นอกนั้นเนี่ย มันมีความสะดุ้งกลัวกับสิ่งที่ตัวเองทำบาปทำกรรมลงไปกันทั้งนั้นแหละ นี่คือความแตกต่างอย่างที่สุดนะ

ถามว่ามีใครบ้างมั้ยที่ไม่เคยผิดศีลเลย มันไม่มีหรอกนะ อย่างพระอานนท์ท่านก็เคยบอก บอกว่า ไม่ว่าตัวท่านเองนะ มองไปอดีตชาติหรือว่ามองใครนะ สัตว์ไหนๆที่อยู่ในโลกเนี่ยนะ ลงมาในโลกนี้แล้วเกิดเป็นมนุษย์แล้ว มันได้หลงผิดกันหมดแหละ ท่านใช้สำนวนท่านก็คือว่า พวกเรานะมีตัวอันชุ่มบาป คือมันเหมือนนะ บาปเนี่ยเป็นหนองน้ำ และผู้คนเนี่ยก็เอาตัวจุ่มลงไป จุ่มมิดหัวเลย

ไม่ต้องไปหาหรอก คนที่ไม่เคยทำบาปทำกรรมนะ ชาตินี้อาจจะดีเพราะว่า แรงผลักดันจากชาติก่อน ยังให้ผลในทางที่เหมือนกับเกิดมาเจอชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ว่าชาติก่อนๆหน้านั้นน่ะ มันไม่มีใครหรอก ที่ไม่เคยลงนรก ไม่มีใครหรอก ที่ไม่เคยไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีใครหรอก ที่ไม่เคยไปเป็นเปรต ทั้งนี้ก็เพราะว่านะ ได้พลาดทำกรรมนะ ทำบาป ก่อบาป ในเรื่องของ โดยเฉพาะในเรื่องของการผิดศีลเนี่ยมาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นนะ ทำด้วยความไม่รู้ว่าเสร็จแล้วมันจะเกิดผลอย่างไร จะต้องไปเป็นสัตว์นรก จะต้องไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือว่าจะต้องไปเป็นเปรตยังไง

ถ้าหากว่าธรรมชาติใจดีเปิดเผยให้รู้นะ ว่าผิดศีลแล้วจะได้รับผลยังไง จะต้องถูกลงโทษลงทัณฑ์ยังไง จะไม่มีใครในโลกนี้เลยที่ทำผิดศีล ไม่มีแม้เลยคนเดียว แต่นี่เพราะไม่รู้ เพราะอวิชชาปกปิดอยู่นะ สัตว์ทั้งหลายจึงประพฤติผิดศีลกันเป็นอาจิณนะ

เพื่อที่เราจะเป็นผู้ที่เลือกทางใหม่ได้ ก็มีทางเดียวคือ จะต้องมีแรงบันดาลใจ จะต้องมีคำสอนของพระพุทธเจ้านะ เป็นหลักให้เกิดความรู้ แนวทางว่าสมควรทำอย่างไร แล้วก็มีความตั้งใจนะ ความตั้งใจนี่ก็เรียกว่าการสมาทานนะ ตั้งใจถือปฏิบัติ ตั้งใจว่าจะผิดข้อไหน ถ้าต้องทำผิดข้อไหนเป็นประจำเนี่ย เราเอาข้อนั้นก่อนเลย คือถ้าไม่สามารถละขาด อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้เพลาๆลงบ้างนะ

เรื่องตบยุงเนี่ย อย่างสมมติว่าตบทุกครั้ง รำคาญปุ๊ปตบปั๊ปนะ ๑๐ ครั้งเนี่ย ก็ลดหย่อนลงมา เหลือสัก ๕ ครั้งก็แล้วกัน และจากนั้นเนี่ย ๕ ครั้งก็ตั้งใจแค่เขี่ยๆเอานะ ค่อยๆลด ค่อยๆถอย จากถอยจิต ถอยกาย ออกมาจากการกระทำ จากการยึดมั่นในเรื่องของการละเมิดโดยไม่บันยะบันยังนะ เปลี่ยนเป็นว่ามีความยับยั้งชั่งใจบ้าง มีเบรกบ้าง มีการใส่เบรกบ้าง

นั่นแหละ ตรงนั้นแหละ หลังจากที่รู้สึกว่า เออ มันมีการใส่เบรกบ้างเนี่ยนะ จิตมันจะแตกต่างไป คือ สำนึกหรือว่าความรู้สึกผิด หรือว่าความรู้สึกสะดุ้งบาป สะดุ้งกลัวกับบาปกรรมเนี่ย มันจะค่อยๆมากขึ้นๆจนกระทั่งถึงวันนึง เรารู้สึกว่าที่แต่ก่อนมันไม่รู้สึกสะดุ้งกลัว ทำได้โดยไม่ยั้งคิดเนี่ย เพราะอำนาจความเคยชินอย่างเดียว อำนาจความเคยชินพอพอกหนาแล้วเนี่ย มันเอาชนะความสะดุ้งกลัวได้ แต่พอเราสะสมอำนาจความเคยชินแบบใหม่ในอีกขั้วหนึ่ง จากทำแบบไม่ต้องคิด กลายเป็นทำแบบยั้งคิดบ้าง แล้วก็ตั้งใจไม่ทำเลย คิดที่จะไม่ทำเลยเนี่ย

พอจิตใจมันเริ่มเข้าข้างศีล มันเริ่มเข้าฝ่ายศีลนะ ศีลจะทำให้จิตใจของเราสะอาด ศีลจะมีอำนาจปรุงแต่งให้จิตของเราเนี่ยนะ เกิดความโล่ง เกิดความสบาย แล้วก็เกิดความเห็นชีวิตเป็นอีกแบบหนึ่งนะ ชีวิตไม่ควรเบียดเบียนชีวิต ชีวิตเค้าก็มีความรู้สึกรู้สา มีความทุกข์ มีความกระวนกระวาย มีความกลัวตายได้เหมือนเรานะ

ถ้าหากว่า เราสามารถรู้สึกถึงความเป็นชีวิตเราชีวิตเค้าได้นะ มันจะมีความสะดุ้งกลัว กับการไปทำลายชีวิตเค้า นี่ตรงนี้ไงมันเป็นจุดเริ่มต้นของการถือศีลที่ดีนะ แล้วจากนั้นเรามาลองตั้งใจว่า เออ วันนี้จะงดเว้น เอาเฉพาะวันนี้วันเดียวนะ สมมติเป็นวันพระก็แล้วกัน เอาวันพระเป็นตัวตั้งเนี่ย ตั้งใจที่จะไม่โกหก ไม่มุสานะ เอ่อ ถึงจำเป็นแค่ไหน เราก็จะพยายามอย่างที่สุดที่จะเลี่ยงการโกหก โกหกแบบตรงๆ อาจจะเหมือนกับชักแม่น้ำทั้งห้า หรือว่าเล่าไม่ครบอะไรก็ว่าไป แต่ว่าจะต้องไม่มีการโกหก พอมีความสามารถที่จะทำตามความตั้งใจได้มากๆเราจะพบว่า เรื่องที่มาบีบคั้นให้ต้องโกหกเนี่ย มันจะค่อยๆน้อยลง คือมันจะไม่หมดไปซะทีเดียวนะ แต่ว่าจะมีเรื่องที่ต้องทำให้กระอักกระอ่วนใจน้อยลงไปเรื่อยๆแล้วใจของเราก็จะมีความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆว่า ต้องเสียศักดิ์ศรีขนาดนี้ทีเดียวเหรอนะ ยอมได้เงิน ยอมขายศีล เพื่อที่จะแลกกับเงินแค่ไม่กี่ร้อย ไม่กี่พันหรือไม่กี่หมื่น และค่าของเงินมันจะแพงขึ้นเรื่อยๆนะ ที่มันจะซื้อเราไม่ให้โกหกได้เนี่ย มันจะเพิ่มขึ้นเป็นแสนเป็นล้าน แล้วจนกระทั่งที่สุด ถึงที่สุดของการถือศีลสำเร็จก็คือว่าจะเอาเงินมากองแค่ไหน เราก็จะไม่ขายศีลเป็นอันขาดนะ

แต่ถ้าไม่มีการเริ่มต้นมันก็ไม่มีการต่อยอดนะ ถ้าไม่มีฐานมันก็ไม่มีทางที่จะถึงยอด เพราะฉะนั้นต้องเริ่มครับ จากแรงบันดาลใจ แล้วก็เริ่มจากการตั้งใจเล็กๆน้อยๆเนี่ยแหละ เอาเรื่องเล็กๆน้อยๆให้ได้ก่อน แล้วจะค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปเองนะ ถึงระดับที่เรารู้สึกว่าชีวิตของเราโล่งแล้ว สบาย ปลอดภัยแล้วนะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น