ถาม : พี่เชื่อในเรื่องดวงไหม
การที่คนเราจะมีโชคหรือดวงที่ดีได้ ขึ้นอยู่กับอะไร? สามารถแสวงหาได้เองไหม? ผมเห็นบางคนทำงานหาเงินหาทอง
ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรวย แต่บางคนไม่ได้ทำอะไร อยู่ๆก็มีโอกาสเข้ามาในชีวิต
ทำให้ตัวเองกลายเป็นเศรษฐีเสียอย่างนั้น หรือว่ามันขึ้นอยู่กับช่วงเวลา
หรือตามที่หมอดูชอบดูกันว่า อายุเท่านั้นเท่านี้ถึงจะดวงดี มีโชค
หรือว่ามันขึ้นอยู่กับกรรมเก่า? แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่ากรรมเก่าผมทำอะไรมามากน้อยแค่ไหน
ในชาตินี้ผมต้องทำมากน้อยแค่ไหน? ไม่ได้ถามเพราะต้องการที่จะรวยหรอกครับ
แต่ถามเพราะอยากรู้จริงๆ
รับฟังทางยูทูป : http://
(ที่มา : ดังตฤณวิสัชนา บริษัทเชฟรอน, ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๓)
ดังตฤณ:
เอาละ ถามเรื่องความเชื่อก็บอกว่า
ไม่ได้เชื่อก็แล้วกัน แต่ว่าศรัทธาเลยนะ เปลี่ยนสักนิดหนึ่ง เปลี่ยนจากคำว่า
ถามว่าพี่เชื่อเรื่องดวงไหมนี่ ถามว่าเชื่อเรื่องวิบากกรรมไหม อันนี้ชัดเจนเลยนะ
ศรัทธาในเรื่องของวิบากกรรม ถ้าถามถึงเรื่องความเชื่อส่วนตัวนี่ ก็ได้มีการพิสูจน์
พิสูจน์ทราบหลายๆเรื่องด้วยตนเอง ด้วยชีวิตของตัวเอง
เอาชีวิตของตัวเองเป็นตัวตั้งว่า นี่มันคือวิบากหรือเปล่า รูปร่างหน้าตาแบบนี้
เพศแบบนี้ สติปัญญาแค่นี้ ฐานะแค่นี้ แล้วก็เจอชะตากรรมอะไรแบบต่างๆ
แบบที่มันบีบคั้นให้ต้องเข้าไปจนตรอกบ้าง บีบคั้นให้เข้าไป ซวย น่ะ
คือพูดง่ายๆเจอเรื่องร้ายๆ หรือว่าเรื่องไม่เกี่ยวกับเรา
แต่มันกลายเป็นเรื่องของเรา หรือบางช่วงบทวิบากดีมันจะให้ผลขึ้นมา มันเป็นความประจวบเหมาะอะไรหลายๆอย่าง
คือถ้าหากว่าพูดถึงเรื่องของวิบากกรรมให้ผลนี่ มันมีวิธีพิสูจน์อยู่หลายๆวิธีเลย
ลองเข้าไปอ่าน มีชีวิตที่คิดไม่ถึงในเว็บ http://www.dungtrin.com อ่านทั้งเล่มได้ฟรีเลยนะ
ผมจะตีโจทย์ในเรื่องของวิบากกรรมนี่
มาเป็นเรื่องของคะแนน คะแนนในชีวิตนี้ว่า เรารู้สึกอย่างไรในช่วงต้นๆของชีวิต ไปเจอครูดี หรือไม่ดี
มีพ่อแม่ที่เอาใจใส่แค่ไหน
ทิศทางของชีวิตมันเป็นไปในทางที่จะทำให้เชื่อเรื่องการเบียดเบียน
หรือว่าเชื่อเรื่องการเกื้อกูลอะไรแบบนั้น นับเป็นคะแนนหมดแล้ว
ก็มาพิสูจน์ทราบกันด้วยเรื่องของการทำกรรมใหม่ ว่ามันเข้ากับของเดิม
หรือว่ามันสวนทางกับของเดิมนะ ความสังเกตของคนที่เห็นว่า
คนรู้จักบางคนพยายามแทบตาย ทำดีแทบตายแต่ไม่ได้ผลดี ส่วนบางคนมันชั้วชั่ว
มันก็เสวยสุขเอา เสวยสุขเอาอยู่นั่นแหละ
นี่มันทำให้เราไม่อยากจะเชื่อเรื่องกรรมวิบากกัน ธรรมชาตินี่ใจร้ายนะ กรรมวิบากนี่เป็นของจริงที่สุด
เป็นกฎเหล็กที่มันเป็นอมตะที่สุด แต่ว่าเขามีวิธีการให้ผล จะช้าเร็วต่างกัน
คือไม่ได้ให้ผลทันที บางทีนี่กว่าจะเห็นผลชัดเจน มันข้ามชาติ ไปลบความจำของทุกคนไว้หมดตั้งแต่เกิด
ขั้นตอนเก้าเดือนที่อยู่ในท้อง เป็นภวังค์เสียเยอะ แล้วก็ออกมาก็ร้องอุแว้ๆอยู่กับอึกับฉี่ตัวเอง
แล้วก็จะต้องร้องไห้เรียกหา อะไรแบบเบลอๆมันไปลบความจำเสียหมดแหละ
ที่เคยทำอะไรมาไว้ นี่ธรรมชาติเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เราเชื่อเรื่องกรรมวิบากนะ
เขาตั้งใจที่จะทำให้เราไม่เชื่อ! เริ่มต้นตั้งแต่ลืมก่อนเลย เสร็จแล้วเกิดมานี่ก็มาเห็นบางคนดีกว่าเรา
เหนือกว่าเรา บางคนแย่กว่าเรา โดยที่ต่างคนต่างเหมือนกับไม่ได้ทำอะไรเลย
เกิดมาก็อยู่กับพ่อแม่ที่ร่ำรวยเงินทอง
เหมือนคาบช้อนเงินช้อนทองออกมาจากท้องแม่อยู่แล้ว
บางคนก็อยู่กับผ้าขี้ริ้วมาตั้งแต่เด็กจนแก่ ไม่ได้ไปไหน ไม่ว่าจะทำอะไรอย่างไร
บางคนพยายามทำตัวดีอย่างไรก็เจอแฟนไม่ดีอยู่ดี มันทำให้กำลังใจของเราถดถอย
ทำให้เราไม่อยากเชื่อว่าวิบากกรรมมีจริง ทีนี้พอมาเจอหมอดู
หมอดูที่ทั่วโลกเลยนะไม่ว่าจะเป็นชาติไหนภาษาไหน ก็มีหมอดูกันทั้งนั้นแหละ
และก็ใช้คำง่ายๆบอกว่ามันเป็นเรื่องของดวง มันเป็นเรื่องของฤกษ์เกิด
มันเป็นเรื่องของดาวที่กำหนดชะตาชีวิตไว้ และศาสตร์เกี่ยวกับการดูหมอก็มีหลากหลาย
บางศาสตร์นี่แม่นถึงขนาดจับวาง บอกได้เป็นวินาที บอกได้เป็นนาทีเลยว่า
ถ้าหากคนคนหนึ่งไปอยู่ ณ ที่นั้น ที่นี้ จะมีการตัดสินใจที่เป็นกุศล หรือว่าอกุศล
ในสมัย มันมีอยู่ในบันทึกของไทย
รัชกาลอะไรที่ผมจำไม่ได้ หมอดูแม่นขนาดถึงที่บอกได้ว่า หนูตกลงมาตายกี่ตัว
ทั้งๆที่ยังไม่เห็นนะ ยังมองไม่เห็นว่ามีอะไร คือกษัตริย์จะลองภูมิดูว่า
คือพระองค์เห็นว่ามีหนูตกลงมาตายจากเพดาน ท่านก็สั่งให้คนเอาขัน
หรือเอาอะไรมาครอบไว้ แล้วให้หมอดูมาทายว่ามีอะไรอยู่ในนี้
หมอดูก็บอกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตห้าตัว สี่ตัวหรือห้าตัว ผมจำตัวเลขไม่ได้ชัด
คือหลังจากที่คำนวณจับยามสามตา หรือใช้หลักวิชาอะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
ตอนแรกกษัตริย์ กับข้าราชบริพารก็หัวเราะกันบอกว่า รู้แล้วว่าทายผิด
เพราะว่าเห็นกับตาว่ามีหนูตกลงมาตายตัวเดียว
พอเปิดขันออกมาปรากฏว่ามีห้าตัวจริงๆเพราะว่าหนูตัวนั้นมันท้อง
สิ่งที่อยู่ในท้องมันก็ตรงกับ คือบวกกันนี่แล้วมันได้สิ่งมีชีวิต
ไม่ใช่สิ่งที่ตายไปแล้วอย่างเดียว อันนี้เป็นเกร็ด
แล้วทุกวันนี้ก็ยังมีศาสตร์ที่มันแม่นยำอะไรขนาดนี้ เพราะฉะนั้นคือเรื่องของหมอดู
เรื่องของดวงนี่ มันเลยกลายเป็นของตั้งแต่
ที่ทำให้เป็นของคู่บ้านคู่เมืองระดับกษัตริย์
ระดับประเทศชาติก็ยังมีการคำนวณดวงเมืองอะไรกัน
แล้วก็มันจะมีประเภทหมอเดา ๙๙ เปอร์เซ็นต์ของหมอดูที่อยู่ในท้องตลาดนี่ มันครึ่งรู้ครึ่งเดา มันก็จะกระเดียดไปทางเดาเสียมาก เพราะฉะนั้น ศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของโหร เกี่ยวกับเรื่องของหมอดู มันเลยกลายเป็นเรื่องของการหลอกลวงกันไป หรือต่อให้แม่นจริง หมอดูก็ไม่สามารถบอกได้ตามตำราว่า ไอ้ชะตาที่มันเกิดขึ้นในแต่ละช่วงชีวิต มันมาจากกรรมแบบไหน เคยไปทำอะไรมา ฉะนั้นการไปดูหมอมันก็เลยกลายเป็นเรื่องของการงมงาย คือไม่เข้าใจเหตุไม่เข้าใจผล รู้แต่ว่า เออ มีอะไรบางอย่างที่บีบบังคับหรือว่าควบคุมชะตาชีวิตของเราไว้จริงๆ มันจะต้องเจอแบบนั้นแบบนี้ นี่ถ้าได้คำอธิบายแบบพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะว่า กรรมเก่านี่มันให้ผลจริงๆ มันบีบคั้นแบบที่ว่า บางชนิดจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ จะต้องตายไม่ดีแน่ๆ จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีซ้ำซากแบบนั้นแบบนี้ เพราะว่าเคยไปทำเขาไว้มาก เคยไปทำเขาไว้ทั้งชาติในลักษณะนั้น แต่กรรมส่วนใหญ่ที่คนเราทำกันมา มันมียืดหยุ่น คือทำแบบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวดีบ้าง เดี๋ยวร้ายบ้าง ไม่ได้ใจร้ายอย่างเดียว ไม่ได้ใจดีอย่างเดียว เวลากรรมเผล็ดผลมันก็เลยมีโอกาสยืดหยุ่นให้แก้ตัว ถ้าหากว่าเรามีพลังของกรรมใหม่มากพอ มีความหนักแน่น มีความรุนแรง มีความใหญ่ ที่จะเอาชนะวิบากเก่าได้ มันก็จะสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเปลี่ยนจากดีเป็นร้าย หรือว่าเปลี่ยนจากร้ายเป็นดีนะ
แล้วก็มันจะมีประเภทหมอเดา ๙๙ เปอร์เซ็นต์ของหมอดูที่อยู่ในท้องตลาดนี่ มันครึ่งรู้ครึ่งเดา มันก็จะกระเดียดไปทางเดาเสียมาก เพราะฉะนั้น ศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของโหร เกี่ยวกับเรื่องของหมอดู มันเลยกลายเป็นเรื่องของการหลอกลวงกันไป หรือต่อให้แม่นจริง หมอดูก็ไม่สามารถบอกได้ตามตำราว่า ไอ้ชะตาที่มันเกิดขึ้นในแต่ละช่วงชีวิต มันมาจากกรรมแบบไหน เคยไปทำอะไรมา ฉะนั้นการไปดูหมอมันก็เลยกลายเป็นเรื่องของการงมงาย คือไม่เข้าใจเหตุไม่เข้าใจผล รู้แต่ว่า เออ มีอะไรบางอย่างที่บีบบังคับหรือว่าควบคุมชะตาชีวิตของเราไว้จริงๆ มันจะต้องเจอแบบนั้นแบบนี้ นี่ถ้าได้คำอธิบายแบบพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะว่า กรรมเก่านี่มันให้ผลจริงๆ มันบีบคั้นแบบที่ว่า บางชนิดจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ จะต้องตายไม่ดีแน่ๆ จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีซ้ำซากแบบนั้นแบบนี้ เพราะว่าเคยไปทำเขาไว้มาก เคยไปทำเขาไว้ทั้งชาติในลักษณะนั้น แต่กรรมส่วนใหญ่ที่คนเราทำกันมา มันมียืดหยุ่น คือทำแบบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวดีบ้าง เดี๋ยวร้ายบ้าง ไม่ได้ใจร้ายอย่างเดียว ไม่ได้ใจดีอย่างเดียว เวลากรรมเผล็ดผลมันก็เลยมีโอกาสยืดหยุ่นให้แก้ตัว ถ้าหากว่าเรามีพลังของกรรมใหม่มากพอ มีความหนักแน่น มีความรุนแรง มีความใหญ่ ที่จะเอาชนะวิบากเก่าได้ มันก็จะสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเปลี่ยนจากดีเป็นร้าย หรือว่าเปลี่ยนจากร้ายเป็นดีนะ
คำถามที่ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่ากรรมเก่าผมเคยทำอะไรมามากน้อยแค่ไหน?
คำถามนี้ลองรบกวนให้เข้าไปอ่านดู ‘มีชีวิตที่คิดไม่ถึง’
ในเว็บ http://www.dungtrin.com ก็จะมีหลักวิธี มีหลักเกณฑ์
ให้ค่อนข้างละเอียดเลย เพราะพูดกันแค่ครึ่งชั่วโมงไม่จบหรอก เรื่องของวิบากกรรม
และแม้แต่หนังสือมีชีวิตที่คิดไม่ถึง
ก็พูดไม่ได้ละเอียดมากถึงขนาดที่จะครอบคลุมกับทุกคน แต่ให้หลักการคร่าวๆไว้
เราจะสังเกตชีวิตอย่างไร ตีความตีค่าออกมาเป็นแต้มได้อย่างไร
และก็จะทำกรรมใหม่แบบไหน ในเรื่องของทาน ในเรื่องของศีล หรือในเรื่องของการเจริญสติให้คะแนนนี่มันเกินกัน
และวัดกันที่ความรู้สึกว่าชีวิตมีความสุขมากขึ้นนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น