วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

จิตลบหลู่ครูบาอาจารย์ จนรำคาญใจ

ดังตฤณ : นี่ก็เป็นคำถามประจำอีกคำถามหนึ่งนะ บอกว่า จะมีจิตคิดลบหลู่ครูบาอาจารย์ หรืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือ ทำให้เกิดความทรมานใจมาก มันไม่ใช่แค่รำคาญใจหรอก
อันนี้ทราบได้นะ เพราะว่า ... คือคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ ในยุคที่เหมือนกับมีตาข่ายสีดำนะครับห่อหุ้มโลก แล้วก็คอยจะฉุดให้คนลงต่ำอยู่ตลอดเวลานี่นะ ต่อให้พยายามดิ้นรนที่จะตะเกียกตะกายขึ้นที่สูง ก็จะมีอะไรบางอย่างมาฉุดขา มายื้อให้ลงเหวไปให้ได้ กำลังเป็นกันโดยมากเลย

ก็ขอให้พิจารณานะครับว่า จิตที่มันคิดไม่ดี จิตที่คิดร้าย จิตที่คิดหยาบคาย ก็มาจากเชื้อของการพูดการจาที่เรายังมีอยู่นั่นแหละ ถ้าวันๆ เรายังพูดจาหยาบคาย ยังเล่นหัวกับเพื่อนด้วยคำที่ ด่าพ่อล่อแม่อะไรแบบนี้ นั่นแหละ ก็เป็นเชื้อแล้วให้เกิดความคิดที่ไม่ดี ที่จะลบหลู่
อย่างคุณเคยไหม ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายนะ ชื่อเพื่อนมีให้เรียกดีๆ ไม่เรียก เรียกชื่อพ่อชื่อแม่ แล้วก็ใช้คำที่มันเป็นของต่ำทางเพศ มาแสดงความสนิทสนมกัน คำพวกนี้เราบอกว่า พูดเล่น ไม่ได้คิดอะไร มันสนิทกัน แต่แท้ที่จริงนี่ มันไปฝังอยู่
พระพุทธเจ้าถึงตรัสบอกว่า แม้แต่คำหยาบคาย แม้แต่คำที่มีความรุนแรง อย่าพูดเลย ไม่พูดเลยดีที่สุด ไม่พูดเลยก็ไม่เป็นมุสาวาท

มุสาวาท ไม่ได้มีแต่โกหกอย่างเดียวนะ มีพูดคำหยาบ มีพูดแบบนินทาว่าร้าย ประทุษร้าย หรือว่าพูดเพ้อเจ้ออะไรพวกนี้ คำพวกนี้ มันมาฝังอยู่ในจิตในใจนะครับ มาบันทึกอยู่ในระบบของสมอง โหมดการทำงานของสมองจะสวิตช์เข้าโหมดแบบตกต่ำ อยู่ดีๆ เอามาโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะครับ แล้วก็ไปคิดอะไรหยาบๆ คายๆ หรือว่าอะไรที่เป็นเหตุให้เกิดความทรมานใจนี่นะ ก็เพราะว่ามีพื้นอยู่

ถ้าหากว่าเราตั้งใจถือศีลนะครับ เราจะงดการพูดอะไรที่มันหยาบๆ ร้ายๆ อะไรที่ระคายโสตทั้งหลาย ไม่เอาเลย นี่ก็เป็นขั้นต้นแล้ว ที่จะทำให้เกิดการออกห่าง ปลีกตัวออกห่างมาจากวิถีแห่งจิตที่พร้อมจะตกต่ำนะครับ

นอกจากนั้น ก็ควรที่จะมีสติพิจารณาว่า แต่ละครั้งที่เกิดความคิดร้ายๆ ขึ้นมาในหัวนี่ เราไม่ได้เชื้อเชิญมา แล้วเราก็ไม่มีความสามารถที่จะไปกำหนดได้ว่า จงมา ณ เวลา หกโมงเช้านะ จงออกไป ณ เวลาหกโมงหนึ่งนาที แบบนี้ไม่ได้ มันเข้ามาได้ ก็เพราะมันไม่ใช่เรา มันไม่ได้อยู่ในอำนาจของเราที่จะเชื้อเชิญมันมา หรือขับไล่มันไป เราพิจารณาอยู่อย่างนี้ แล้วเกิดสติว่า เออ ตกลงความคิดร้ายๆ ไม่ใช่เรานี่ มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา อันนี้ก็จะเกิดความสบายใจขึ้นมา

หรือพัฒนาขึ้นไปกว่านั้น เรามองว่า เวลาเกิดคำอะไรที่มันหยาบๆ คายๆ ร้ายๆ ขึ้นมาในหัวเราในใจเรา เหมือนหนามที่ทิ่มตำ ให้เกิดความเจ็บที่จิตวิญญาณ เสร็จแล้วหนามนั้น เราจะเลี้ยงไว้ด้วยความทรมานใจ เอามาทิ่มตำตัวเองต่อ หรือ จะมีสติเห็นว่า มันทิ่ม แล้วถ้าเราไม่เอามากอดไว้ ไม่มานึกว่าเป็นของเรา มันก็ทิ่มแป๊บหนึ่ง แล้วก็สลายตัวหายไป
เห็นอย่างนั้นบ่อยๆ ได้ ก็เกิดความรู้สึกว่า เออ ตัว ธรรมารมณ์ หรือความคิดอะไรหยาบๆ ที่เป็นอกุศลดำมืด ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มาแสดงความไม่เที่ยง แล้วจิตของเราเองมีความทุกข์เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบออกมา ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งเป็นคนละข้างกัน เป็นคนละส่วนกัน แล้วก็แสดงความไม่เที่ยงเหมือนกัน
ธรรมารมณ์ คือความคิดหยาบๆ มันมาแป๊บหนึ่ง แล้วก็ลอยหายไป ถ้าเราไม่เลี้ยงมันไว้ ส่วนความทุกข์ อันเกิดจากความทิ่มตำของหนามแหลม คือความหยาบนั้น มันทุกข์แป๊บหนึ่ง ถ้าเราไม่ได้ไปคิดอะไรต่อ ไม่ได้ไปทรมานใจอะไรมาก ไม่ได้ไปหลงนึกว่ามันเป็นตัวเรา มันก็กลายเป็นความว่าง กลายเป็นความสลายของความทุกข์ไปนะ
ความสุขอันเกิดจากการสลายทุกข์นั่นแหละ คือความเบา คือความรู้สึกว่า เออ ทุกข์ และสุข ไม่เที่ยงจริงๆนะครับ!
_____________

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ภาวนาพุทโธถึงมรรคผลได้อย่างไร?
16 พฤษภาคม 2563
คำถามเต็ม : จะมีจิตลบหลู่ครูบาอาจารย์ หรือ อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เรานับถือ หรือทั่วไป ทำความรำคาญใจมากเลยครับ ทำไงดีครับ
ถอดความ : เอ้
ชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=v94qJT8nb2M



** Post in page 19 May 20 **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น