วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ถ้าทำบาปมาเยอะจนไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้จนไม่เหลือกำลังใจใดๆมายึดเหนี่ยวได้แล้ว ในหัวคิดวนแต่อยากตาย ทำบาปต่อบุพการีนี่บาปหนักจริงๆ หนูรู้ตัวเองทำชั่วไว้เยอะ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี มันมืดไปหมดควรทำอย่างไรดีคะ แม้จะพยายามต่อสู้กับความคิดแล้ว แต่ก็ยังวนเวียนหนีไม่พ้นเลยค่ะ?


ดังตฤณ :  เอาเป็นว่านะครับ ขอให้พิจารณาว่า บาปเนี่ยอันดับแรกจดไว้เลยนะครับ

(๑) ข้อแรก บาปที่ทำไปแล้วมันย้อนเวลากลับไปแก้ไม่ได้ อันนี้ทำไว้ในใจเป็นอันดับแรก ถ้าทำไว้ในใจอันดับแรกข้อนี้ แล้วเกิดความว้าวุ่น เกิดความรู้สึกทุกข์ทรมานใจว่า มันแย่มันย้อนกลับไปไม่ได้ เนี่ยไอ้นี่แหละที่เสียใจที่สุด

(๒) ก็ให้พิจารณาว่า ใจของเรา ณ ขณะนี้มันเป็นคนละพวกกับในอดีตที่ทำไปแล้ว ไม่ต้องย้อนเวลากลับไป เอาตอนนี้เลย ไอ้ที่เสียใจเนี่ย มันแปลว่าเป็นคนละพวกกันแล้ว มันเป็นตรงกันข้ามกันแล้ว พิจารณาอย่างนี้ก่อน คือถ้ามันยังเป็นข้างเดียวกันอยู่ ยังเป็นพวกเดียวกันอยู่ มันต้องไม่รู้สึกเสียใจ ต้องไม่รู้สึกอะไรเลยนะครับ ยังรู้สึกว่าฉันเก่ง ฉันทะนงได้ ฉันเจ๋ง ฉันไม่กลัวเหมือนเดิม ฉันไม่กลัวบาป ไม่กลัวกรรม ไม่เชื่อหรอกว่ามีผลอะไรต่อมิอะไรต่างๆที่มันรออยู่ แต่ตอนนี้เราเป็นคนละพวกกัน วัดได้จากความรู้สึกเสียใจ ความละอายต่อบาป เมื่อตระหนักว่า จิตมันเป็นคนละพวกกันแล้ว เราก็มาพิจารณาเริ่มเขยิบขึ้นมา

(๓) ข้อสามนะครับ นี่บอกสอนให้เป็นขั้นๆเลยนะครับ พอเรารู้สึกว่า ตัวตนเนี่ยเป็นคนละพวกกันแล้วกับเมื่ออดีต ก็ให้พิจารณาต่อข้อสามว่า ตัวของเราที่มันเป็นคนละพวกคืออะไรนะครับ ตัวที่เป็นตัวจริงๆเนี่ยก็คือจิต เมื่อก่อนตอนที่ยังทำบาปอยู่เนี่ย จิตมันเป็นอกุศล จิตมันดำมืด จิตที่มันดำมืดเนี่ยมันดับไปแล้ว เป็นคนละดวงกันแล้วกับจิตตอนนี้ จิตตอนนี้เนี่ยมันสว่างขึ้น มันรู้ดีรู้ชั่วมากขึ้น

จำไว้ว่าถ้ามีความละอายต่อบาป จำไว้ว่าถ้ามีความรู้สึกผิด จำไว้ว่าถ้าหากว่าเราเสียใจกับสิ่งที่ทำไป นั่นแหละตรงนั้นแหละ เป็นมโนสำนึกแบบมนุษย์ที่มีความสว่าง เมื่อพิจารณาว่าจิตขณะนี้สว่างขึ้น มีความเป็นกุศลมากขึ้น แต่ยังหม่นหมองอยู่ด้วยความปรุงแต่งเสียใจว่าฉันทำลงไปได้ยังไง ไอ้ตัวนี้แหละส่วนเกินของกุศล ให้พิจารณาว่า ความรู้สึกละอายต่อบาป ความรู้สึกเสียใจที่เคยทำอะไรผิดลงไป เป็นสัญญาณบอกว่า ความดี ความเป็นมนุษย์กลับมาสู่จิตวิญญาณของเราแล้ว ให้ดูแค่ตรงนั้น

ไอ้ความเสียใจที่เราเคยไปทำอะไรต่างๆผิดพลาดไปพลั้งไป แล้วไปด่าทอตัวเองต่างๆเนี่ย ไอ้นั่นคือส่วนเกิน พอเราพิจารณาอย่างนี้ได้ เราก็จะเห็นว่าไอ้ส่วนเกินนั้นน่ะ มันหายไปจากใจเราง่ายๆเลย หายไปเดี๋ยวนี้เลย เหลือแต่ความรู้สึกว่า เออไอ้ความเป็นมนุษย์ที่มันมีความละอายต่อบาปเนี่ย มันเป็นความสว่างอยู่ดีๆแล้ว เราไม่ต้องไปเพิ่มความหม่นหมองให้กับมันด้วยความรู้สึกผิดที่ตอกย้ำซ้ำเติมแบบไม่รู้จบ

(๔) ข้อสี่ ข้อสุดท้ายให้พิจารณาว่า จิตที่มันมีความสว่างแบบมนุษย์ จิตที่มีมโนสำนึกแบบมนุษย์เนี่ยนะครับ เราสามารถที่จะเอาไปต่อยอด เอาไปพัฒนาเป็นการเจริญสติ ซึ่งเป็นบุญขั้นสูงสุด เป็นศักยภาพที่แท้จริง อันเป็นที่สุดของมนุษย์

เราสามารถมองเห็นได้ว่า ความสว่างอันเกิดจากการละอายต่อบาป ณ ขณะนี้เนี่ย แป๊บนึงเดี๋ยวมันก็มีความหดหู่เศร้าหมองเคลื่อนกลับมาเกาะกุมอีก

เพราะว่าคนที่เศร้ามานานๆเนี่ยนะครับ เรื่องที่เศร้านั้นน่ะ มันจะคอยเคลื่อนกลับมาครอบงำ แล้วก็เกาะกุมหัวใจของเราอยู่ไม่ขาด อันนี้ให้ถือว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะได้สังเกต พอเรานึกได้ ระลึกได้ขึ้นมาที มีสติขึ้นมาทีเห็นว่า เออเนี่ยมันจิตคนละดวงกันแล้ว ตอนนี้กับเมื่อก่อนเนี่ยไม่ใช่ตัวเดียวกัน มันเป็นคนละดวง ตอนนี้กำลังสว่างอยู่ดีๆ เราก็ดูเนี่ยเออตอนสว่างใจมันว่างๆจากบาป ใจมันว่างๆจากอกุศล ใจมันใสๆ สบายๆ

เสร็จแล้วแป๊บนึง อยู่ๆโดยไม่เชื้อเชิญ ก็เกิดความเศร้าโศกเสียใจกับเรื่องเดิมๆย้อนกลับมาอีก ดูอยู่อย่างนี้เนี่ย เรียกว่าเป็นการเจริญสติแล้ว เรียกว่าเป็นการกำลังทำบุญขั้นสูงสุดแล้ว โดยอาศัยบาปนั่นเองมาเป็นตัวตั้ง มาเป็นเครื่องมือในการเจริญสติ มาเป็นเครื่องมือในการทำบุญขั้นสูงสุด

ทำไมถึงเรียกว่าเป็นการทำบุญขั้นสูงสุด ก็เพราะว่าบุญแบบนี้เนี่ย พาเราออกจากสังสารวัฏได้ พ้นทุกข์อย่างถาวรได้ แล้วก็เป็นจุดประสงค์ที่พระพุทธเจ้าท่านสถาปนาพุทธศาสนาขึ้นมา ก็เพื่อสิ่งนี้เลย เพื่อที่จะมอบสิ่งนี้ให้ ท่านบอกเลยนะ นี่คือบุญขั้นสูงสุด

ฉะนั้น เมื่อใดก็ตามที่เรากำลังเกิดความเศร้าโศกเสียใจ เหมือนกับเมฆหมอกดำๆเนี่ย มันเคลื่อนกลับมาห่อหุ้มหัวใจใหม่ แล้วเรารู้ได้ว่านี่มันกลับมาแล้ว เสร็จแล้วเราก็พิจารณาว่า มันกลับมาห่อหุ้มได้แป๊บนึง ถ้าเราพิจารณาว่า ตอนนี้จิตของเราเนี่ย เป็นผู้ละอายต่อบาปแล้ว ก็ไม่ต้องไป .. ไม่เห็นจะต้องไปเศร้าโศกเสียใจกับจิตคนละดวงที่มันเคยเกิดขึ้นเมื่อในอดีต

อย่างนี้มันก็จะเป็นการมีสติเตือนตัวเอง ให้เกิดความสว่างขึ้นมาได้ทุกครั้ง แล้วก็เกิดสติเห็นได้ทุกครั้งเช่นกันว่า ความเศร้าโศกเสียใจที่เข้ามาครอบงำจิตใจของเราเนี่ย มันมาได้ครู่เดียวเท่าที่เรายังไม่มีสติ แต่เมื่อไหร่ที่เราเกิดสติขึ้นมาแล้ว เมื่อนั้นความมืดมันก็สลายตัวไป เนี่ยดูอย่างนี่ เรียกว่าเป็นการเจริญสติ เรียกว่าเป็นการทำบุญขั้นสูงสุด

ตกลงก็คือว่า บาปในอดีตที่ผ่านมา มันกลายเป็นบุญขั้นสูงสุดในปัจจุบันแล้ว ไม่มีอะไรต้องเสียใจอีก แล้วในทางปฏิบัติแบบโลกๆ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังอยู่ อันนี้ไม่ทราบนะว่ายังอยู่รึเปล่า ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังอยู่ ก็ไปพยายามทำให้พวกท่านมีความสุข

เหมือนกับเมื่อก่อนเนี่ย เราจะทำบาปอะไรเข้าไปก็แล้วแต่ ให้นึกว่าเป็นก้อนเกลือซักก้อนนึง เสร็จแล้วเราตั้งใจว่า จะทำให้พ่อแม่มีความสุข เหมือนกับเราเติมน้ำลงไป เติมลงไปได้แก้วนึง ความเค็มของเกลือมันก็ลดลงนิดนึง ยังเค็มปี๋อยู่

แต่ถ้าเติมลงไปได้หนึ่งถัง มันก็เริ่มเจือจางลง แล้วถ้าเติมลงไปได้หนึ่งโอ่ง ความสุขของพ่อแม่ที่เปรียบเหมือนมีปริมาณน้ำหนึ่งโอ่ง ที่ชนะความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจในครั้งอดีตที่เราเคยทำไม่ดีกับพวกท่าน เคยทำชั่วๆไว้เนี่ย มันกลายเป็นเกลือก้อนเล็กๆก้อนเดียว ทำให้ได้มากขนาดนั้น ตราบเท่าที่ยังไม่สิ้นชีวิตนะครับ ตราบนั้นเรามีโอกาสที่จะละลายเกลือก้อนเดียวด้วยน้ำหนึ่งโอ่งเสมอนะครับ

----------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ถ้าทำบาปมาเยอะจนไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้จนไม่เหลือ
                              กำลังใจใดๆมายึดเหนี่ยวได้แล้ว ในหัวคิดวนแต่อยากตาย 
                              ทำบาปต่อบุพการีนี่บาปหนักจริงๆ หนูรู้ตัวเองทำชั่วไว้เยอะ 
                              แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี  มันมืดไปหมดควรทำอย่างไรดีคะ 
                              แม้จะพยายามต่อสู้กับความคิดแล้ว แต่ก็ยังวนเวียนหนีไม่พ้นเลยค่ะ?
ระยะเวลาคลิป           ๙.๐๙  นาที
รับชมทางยูทูบ              https://www.youtube.com/watch?v=kVl_7t1eojo&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=6


** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น