ดังตฤณ : มีสองแบบ ขอให้ท่องไว้แม่นๆว่า
ที่เรานั่งสมาธิ ทำอานาปานสติ หรือว่าเดินจงกรมก็แล้วแต่
เราต้องการให้จิตมันเห็นความไม่เที่ยง หรือเห็นความไม่ใช่ตัวตนของอารมณ์สมาธิ
ทีนี้เราก็ต้องพิจารณาว่า
ณ ขณะนั้นเนี่ย จิตมีความพร้อมที่จะเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏโดยความเป็นอะไร
ระหว่างสิ่งที่ถูกรู้กับสิ่งที่มันกำลังจะพร่าเลือนมองไม่ชัดจิตยังไม่โฟกัส
ถ้าหากว่าจิตยังไม่โฟกัสดีนะครับ
ตอนนั้นแสดงว่า ความฟุ้งซ่านมีกลุ่มก้อนหนาแน่น เราต้องเอาชนะความฟุ้งซ่านก่อน
ยกตัวอย่างในคำถามนี้
ถ้าเราเดินจงกรมแล้วเกิดความคิดขึ้นมา
เราจะดูอะไรระหว่างฝ่าเท้ากระทบกับดูความคิดโดยความเป็นของไม่เที่ยง คำตอบคือ ถ้าความฟุ้งซ่านมันยังเกาะกลุ่มหนาแน่นนะครับ
ให้กลับมาดูที่ฝ่าเท้ากระทบ เพื่อที่จะแย่งพื้นที่ความฟุ้งซ่านให้ได้ก่อน
จิตมันยังไม่พร้อมที่จะเห็นความไม่เที่ยงหรอก
จิตยังไม่มีความสามารถมากพอที่จะแยกออกไปเป็นผู้รู้ว่า
ความฟุ้งซ่านมันเป็นแค่ภาวะความไม่เที่ยงอย่างนึงนะ
เราต้องเอาความสงบให้ได้ก่อน
พูดง่ายๆเอาสมถะให้แข็งแรงก่อน อย่างเดินๆๆๆไปรู้สึกถึงเท้ากระทบ แปะๆๆๆไปเนี่ย
แล้วมีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นมาหนาแน่นเลยนะครับ แล้วก็เราดูความฟุ้งซ่านนั้นไม่ออก เราก็กลับมาซอยเท้าเร็วขึ้น
เดินเร็วขึ้น เพื่อให้ผัสสะกระทบมันมาแย่งพื้นที่
แล้วถ้าหากว่า
เรารู้แบบไม่เร่ง รู้เท้ากระทบแบบไม่เร่งไม่เหมือนกับรีบร้อนนะครับ
เราก็จะรู้สึกว่าเท้ากระทบที่มันกระทบไปแปะๆๆนั้นเนี่ย มันกลับมาชัดขึ้น
แต่ถ้าเราเร่งร้อนนะ
อาการเร่งร้อนมันจะชัดแทนเท้า ลองสังเกตตรงนี้ดีๆนะครับ
ถ้าเราใจร้อนแล้วก็อยากรู้เท้ากระทบ แทนที่ทำให้ความฟุ้งซ่านมันหายไปทันที
มันจะกลายเป็นความรู้สึกว่ามันมีอาการแข็งๆทื่อๆแปลกๆ
นั่นแหละตัวนี้แหละที่เกิดขึ้นจากการที่เราเผลอไปเร่งร้อนใจร้อนที่จะรู้เท้ากระทบ
ทีนี้ถ้าเรารู้เท้ากระทบได้พอดี
มันจะมีความรู้สึกว่าใจเนี่ย มันเร่งๆขึ้นมาแป๊บนึง แล้วสงบลงได้
กายเนี่ยมันอาจจะแข็งๆเกร็งๆขึ้นมา แล้วก็อ่อนผ่อนคลายลง กล้ามเนื้อผ่อนคลายลง
นี่คือจุดสังเกต
พอเรารู้สึกถึงเท้ากระทบได้นานพอ
มันจะมีความรู้สึกทรงๆตัว นิ่ง แล้วก็เห็นออกมาจากข้างใน
คือมันเริ่มเกิดนิมิตขึ้นมาจากใจที่นิ่ง เห็นเป็นกายเนี่ย ที่กำลังก้าวเดินกระทบๆๆอยู่
เห็นจากข้างใน ไม่ใช่เห็นจากสายตาภายนอก
พอเราเริ่มรู้สึกว่า
ใจมันว่างกว่าเดิม ความฟุ้งซ่านมันเบาบางลงกว่าเดิม
อันนี้แหละที่เริ่มพร้อมที่จะเห็นความฟุ้งซ่านในขณะเดินจงกรมนะครับ
กล่าวคือ
เมื่อใจเรานิ่งอยู่กับเท้ากระทบเป็นหลัก แปะๆๆๆไป ใจไม่เคลื่อนไปไหน อยู่ไปได้ตั้งสองรอบ
สามรอบ หรือเป็นสิบรอบ ยี่สิบรอบ ใจเนี่ยไม่เคลื่อนเลย มีแต่ความเบา มีแต่ความนิ่ง
มีแต่ความสงบนะครับ รู้สึกถึงเท้ากระทบที่อ่อนสลวย ไม่มีความแข็ง ไม่มีความเกร็งกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง
ใจแบบนั้นแหละ ที่เริ่มมีความพร้อมมากพอ ที่จะไปรู้ความฟุ้งซ่านโดยความเป็นของไม่เที่ยงได้
กล่าวคือ
พอมีสักรอบหนึ่งใจเรามันเริ่มเคลื่อน
มันจะรู้สึกไงว่าเคลื่อนจากโฟกัสที่มันนิ่มๆนวลๆสบายๆรู้สึกถึงเท้ากระทบอย่างอ่อนสลวยไปเนี่ยนะครับ
ใจมันเงียบๆ แล้วเสร็จแล้วมีอยู่รอบนึงที่มันเริ่มมีอะไรผุดขึ้นมา เป็นความฟุ้ง
เป็นความกระจาย เป็นความรู้สึกว่า อยากจะแล่นออกไปข้างนอก อยากจะออกไปหาอาหารอันโอชะของจิต
นั่นคือเรื่องราวที่เกี่ยวกับกามคุณ ๕ หรือว่าความบันเทิงที่เราติดใจตรึงใจ
พอเรารู้สึกแวบขึ้นมา
ณ ขณะที่ใจกำลังว่าง ใจกำลังใหญ่ ใจกำลังมีกำลัง
ความฟุ้งซ่านตรงนั้นจะเป็นเหมือนกับเศษผงที่ปลิวเข้ามาให้รู้นะว่า
เนี่ยมันเกิดขึ้น ณ ขณะก้าวกระทบก้าวไหน ก้าวกระทบก้าวนั้น มันจะเลือนๆพร่าๆไป
กลายเป็นความฟุ้งซ่านในหัวขึ้นมาแทน เหมือนกับตอนแรกเนี่ย เราอยู่ในหุ่น อยู่ในโพรงอะไรว่างๆใสๆ
เสร็จแล้วมีภาวะขุ่นๆอะไรผุดขึ้นมาแทน พอรู้ได้อย่างที่มีสมาธิ
มีจิตที่อ่อนโยนเป็นพื้นฐานเนี่ย ไอ้ฝุ่นฟุ้งที่มันผุดพรายขึ้นมา
มันจะกลายเป็นแค่ของชั่วคราว ที่ผุดขึ้นมาแล้วไม่ติดจิต ไม่ย้อมจิต ไม่ครอบงำจิต
มันจะอยู่แป๊บนึงแล้วหายไปให้ดู เสร็จเท้ากระทบที่มันยังเป็นศูนย์กลางสติอยู่มันก็ไม่หายไปไหน
แต่มันจะกลับชัดขึ้น นี่คือสิ่งที่มันจะเป็นไปแบบเป็นขั้นเป็นตอน
---------------------------------------
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์ ๙
พฤษภาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม เดินจงกรมแล้วมีความคิดผุดขึ้น
ทำให้การสังเกตฝ่าเท้าไม่ต่อเนื่อง
ควรสังเกตความไม่เที่ยงของความคิด
หรือไม่ต้องสนใจความคิดนั้น
แล้วกลับมาทำความรู้สึกที่ฝ่าเท้าเลยทันที?
ระยะเวลาคลิป ๗.๕๔ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=h0fPxxCSfIo&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=24
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น