ดังตฤณ : เรื่องนี้ผมเคยเขียนไปหลายครั้ง
พูดหลายครั้ง ตอบสรุปง่ายๆ เลยนะ ในโลกของรูปธรรม เราเห็นกันได้ด้วยตา
ถ้าไม่มีสะกิดกันนี่ ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายมาถึง บางทีมาข้างหลังมาสะกิด ถึงได้หัน
อ้อ เจอกัน บอกว่าไปไหนมาล่ะ มาที่นี่เหมือนกันเลย จะมาทำธุระอะไร
แบบนี้เรียกว่าเป็นการเจอกันทางกาย ต้องสะกิดกันด้วยกาย ถึงจะรู้สึก แล้วก็ทราบว่าอีกฝ่ายหนึ่งปรากฎตัวอยู่ตรงนั้น
แต่ในโลกของจิตวิญญาณนี่นะ
ไม่ได้มีขอบเขตของการสะกิดกัน ด้วยมือไม้ แต่เข้าถึงกันด้วยสายใยความผูกพัน
อย่างสมมติว่า คุณไม่รู้จัก มิสเตอร์จอห์น ที่อยู่อเมริกา อยู่สวีเดน อะไรแบบนี้
แล้วคุณจะไปส่งจิตถึงเขา พยายามเท่าไหร่ๆ เขาก็ไม่รู้เรื่องหรอก
คุณเห็นภาพเขาอยู่แค่คนเดียว มันไม่มีสื่อเชื่อมความผูกพัน ความสัมพันธ์
ไปคิดถึงเขาๆก็ไม่เห็นหน้าคุณหรอก นึกถึงหน้าคุณไม่ออก ยกเว้นแต่คุณเป็นผู้ทรงฌาน
มีกำลังจิตที่แรงจริงๆ คือคลื่นของจิตคุณเป็นคลื่นใหญ่มาก มีความเข้มข้นมาก
สามารถที่จะไปปรากฎตัว ไปเข้าฝันได้อะไรแบบนั้น จนเขานึกว่าเป็นวิญญาณมาจากโลกอื่น
จริงๆ ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้แหละ
ในคนธรรมดาทั่วไป ถ้าหากไม่รู้จักกัน
ไม่มีความผูกพันกัน มันไม่มีสื่อ ไม่มีตัวกลางที่จะเชื่อมความคิดถึงให้เห็นเป็นภาพ
หรือให้รับรู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งคิดถึง แต่ถ้าหากว่าเรามีความสนิทสนมอย่างเช่นคนในครอบครัว
ถ้าโอ๊ย วันนี้ห่วงคุณพ่อเหลือเกิน ความห่วงนั้นอาจไปปรากฎเป็นนิมิตฝันในคุณพ่อได้
เพราะมีสือ ผมเปรียบเทียบว่า เหมือนเรามีถนน มีสะพาน
หรือมีเส้นเชือกที่จะทำให้เกิดการเข้าถึง ทำให้เกิดการกระทบจากฝั่งหนึ่ง ไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้
มีคลื่นส่ง แล้วก็มีคลื่นรับที่พร้อม แล้วก็มีตัวกลาง
จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ที่คุณจะเปรียบเทียบ จะเป็นสะพาน จะเป็นเส้นเชือก
หรือสายใยแก้วอะไรก็ตาม
ทีนี้การที่คุณมีประสบการณ์ตรง
ในขณะลืมตาตื่นอยู่เลย นึกถึงคนๆหนึ่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คือกำลังกินข้าว
กำลังเดินอยู่ แล้วมีความนึกถึงแบบ
real-time เลยแล้วรู้สึกด้วยว่าเป็นความสะเทือนหรือ vibration จากภายนอก
ถ้ารู้ได้ขนาดนั้นก็ค่อนข้างชัดเจน
อย่างพอถามกับเจ้าตัวแล้วได้ผลว่าเขากำลังคิดถึงอยู่จริงๆ นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า
โลกของจิตวิญญาณ โลกทางใจ ไม่มีขอบเขต ไม่มีพรมแดน เป็นว่า อยู่ห่างกันกี่ฟุต
อยู่ห่างกันกี่เมตร จะต้องเข้ามาประชิดตัวในระยะหนึ่งฟุต ถึงจะเอื้อมสะกิดกันได้
ไม่ใช่แบบนั้น คุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ต่อให้อยู่บนโลกพระจันทร์ แต่ถ้าหากมีเส้นทาง
มีสายโยง สายใยเป็นสะพานเชื่อมระหว่างใจถึงใจอยู่
ก็สามารถที่จะส่งความคิดถึง หรือส่งสุข ส่งทุกข์ให้ถึงกันได้
อย่างเวลาที่บอกว่าทำบุญแล้วอธิษฐาน
ขออุทิศส่วนกุศล ให้กับญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วทำทุกครั้งนะ
ทำต่อเนื่องลองไปถามเขาดู จะมีความรู้สึกนึกถึงเราในทางดีขึ้นมาเป็นวูบๆ
จะมีความสุขขึ้นมา คือคนน่ะปกติจะรู้สึกเฉยๆ อยู่ใช่ไหม
ทีนี้จะมีบางทีเกิดความสุขขึ้นมาเป็นวูบๆ อยู่ๆ มีความสุขขึ้นมาเฉยๆ
เคยมีประสบการณ์แบบนี้กันไหม
บางคนถึงขนาดที่ว่า
มีความสุขขึ้นมาแล้วมีภาพของใครคนหนึ่งลอยขึ้นมาเป็นภาพรางๆ เป็นเหมือนกับมโนภาพ
เป็นเหมือนกับนิมิตของคนๆ นั้นที่ตัวเองรู้จักดี ตรงนี้ก็เป็นประจักษ์หลักฐาน
เป็นประจักษ์พยานอย่างหนึ่งว่าจิตถึงจิต สามารถเชื่อมกันได้โดยไม่จำกัดระยะทาง
แล้วอย่างนี้การอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้วก็ทำได้เช่นกัน
แต่ว่าที่เราส่งให้ได้จริงๆ เป็นความสุขนะ ทีนี้เขาจะรับบุญของเราได้หรือไม่ได้
ขึ้นกับเขามีความสามารถที่จะอนุโมทนาร่วมไปกับบุญของเราได้ไหม
อย่างบางคน นี่เลยพูดเลยมาเลย
ถือว่าต่อเนื่องกันนะ คือพอพูดถึงเรื่องหนึ่ง ผมก็ชอบนึกถึงประเด็นที่คนชอบถามกัน
ที่ถามกันมาบ่อยที่สุดคำถามหนึ่งก็คือว่า อุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้วเขาจะได้รับไหม
นี่เชื่อมโยงกัน มาตอบต่อเนื่องกันได้ ถ้าเขาอยู่ในภพ
อยู่ในภาวะที่สามารถรับรู้ สามารถจำได้ว่าเราเป็นญาติของเขา นี่ก็ถึงได้
แต่ถึงได้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าเราเคยทำบุญมาด้วยกันมากน้อยเพียงใด
มีความผูกพันกันมากน้อยเพียงใดด้วย
อย่างถ้าสมมติว่าเคยไปที่วัดด้วยกัน ทำสังฆทานด้วยกันด้วยความปลื้ม
ระดับเดียวกัน นี่เรียกว่าจิตมันจูนคลื่นเข้าหากัน มีสายใยแก้วที่เหนียวแน่นมากเลย
แล้วบุญที่เคยทำด้วยกันก็เหมือนกับสามารถที่จะสื่อให้กันและกันรับรู้ถึงบุญแบบนั้นได้
เคยไหมที่ว่าไปทำบุญร่วมกับใครแล้วมองหน้ากัน เออ เข้าใจนะว่ามีความสุขแบบเดียวกันเกิดขึ้นมา
นั่นแหละ ตัวนั้นแหละที่เป็นบุญ ที่จูนให้จิตของกันและกัน เกิดความเข้ากันได้
เกิดความรู้สึกเหมือนกับอยู่ในโลกใบเดียวกัน เกิดความรู้สึกเหมือนกับอยู่ในเขตความสว่างอันเดียวกัน
พอฝ่ายหนึ่งตายไป
อีกฝ่ายหนึ่งที่ยังอยู่ในโลกนี้ ทำบุญแบบเดิม หรือว่าทำบุญที่แตกต่างก็ตาม
แล้วบอกว่า ขอให้ได้รับด้วยนะ นี่เป็นอะไรที่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้มากที่สุด
คืออีกฝ่ายหนึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะไปอยู่สูงกว่าความเป็นมนุษย์ใช่ไหม แล้วก็จำได้
ระลึกได้ว่า ที่ได้ดีมีสุขอย่างนี้ก็เพราะว่าทำบุญอย่างนี้มา ร่วมกับคนนี้ด้วย
ร่วมกับญาติคนนี้ พอญาติคนนี้จุดประกายความสว่างแบบเดิมๆ ขึ้นมาอีก
ฝ่ายที่รู้อยู่แล้วว่าบุญให้ผลดีจริงๆ ก็เกิดความปลาบปลื้ม ก็เกิดความรู้สึก เออ อนุโมทนาด้วย
เป็นบุญใหม่ อันเกิดจากการได้อนุโมทนากับคนที่ยังอยู่ในโลกเก่า เพราะมันเข้าใจว่าบุญตรงนั้นเป็นอย่างไร
ได้ดีอย่างไร
แต่จะมีประเภทหนึ่ง คือ ญาตินี่นะ
พยายามชวนญาติด้วยกัน บอกไปทำบุญด้วยกันไหม หรือว่าฟังธรรมพระอาจารย์ท่านนี้ไหม
ฟังแล้วมีความสุขมาก แล้วญาติอีกคนปฏิเสธไม่เอาเลย เรียกว่า ทำหน้าบอกบุญไม่รับ
ทำหน้าปฏิเสธอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยมีใจร่วมยินดีด้วย ถ้าญาติคนนั้นที่ไม่เคยร่วมยินดีด้วยตายไป
เราพยายามอุทิศส่วนกุศลให้ ลองนึกดูนะ ใจมันก็ไม่รับ
ใจมันไม่มีความสามารถที่จะรับได้ มันนึกไม่ออกว่า หน้าตาของบุญ
หน้าตาของความสุขแบบนั้นเป็นอย่างไร
อันนี้ยกตัวอย่างสุดขั้วอีกด้านหนึ่งว่าทำไม
มีเหตุอะไรถึงได้ไม่สามารถที่จะอุทิศบุญกุศลให้กับคนบางคนได้
ต้องอยู่ในภาวะที่พร้อมจะอนุโมทนาด้วย แล้วก็มีเหตุปัจจัย
เคยเชื่อมโยงกันมาก่อนด้วยนะครับ
เรื่องของบุญกรรม เรื่องของจิต
เรื่องของความเชื่อมโยงระหว่างจิตกับจิตนี่ เป็นอะไรที่ลึกลับซับซ้อน
แล้วก็คาดเดาไม่ได้ด้วยความฉลาดทางการคิด แต่คุณจะค่อยๆ
สะสมความเข้าใจมากขึ้นได้เองถ้าหากว่าเห็น เห็นอะไรแบบนี้อย่างที่คุณถามมา ว่า
คนหนึ่งคิดถึงเราอยู่ เกิดความรู้สึกถึงคนนี้ขึ้นมา นี่เป็นประสบการณ์แล้ว พอไปถาม
ไปซักไซร้ว่าคิดถึงหรือเปล่า เวลาเท่านั้นเท่านี้ เออ คิดถึงอยู่จริงๆ
นี่คือทั้งคู่ได้เข้าสู่ความจริงทางเรื่องจิตว่าไม่จำกัดพื้นที่ไม่จำกัดระยะทางแล้ว
แล้วเราก็จะค่อยๆ เชื่อ เกี่ยวกับเรื่องของบุญ เรื่องของบาป!
______________
รายการ ดังตฤณวิสัชนา Live
ครั้งที่ 20
วันที่ 22 ม.ค. 2560
คำถามเต็ม : รู้สึกเหมือนมีคนคิดถึง
แล้วลองถามเขาดูว่าจริงไหม เขาตอบว่าจริง เขาคิดถึงจริงๆเหมือนกัน
อย่างนี้เรียกว่าจิตตรงกันใช่ไหม
ถอดความ : เอ้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น