วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ขณะปฏิบัติ จิตฟุ้งมากแล้วพยายามเอาจิตไปไว้ที่ลมหายใจ.. แต่หาลมหายใจไม่เจอ ควรเอาจิตไปไว้ที่ไหนดีคะ?


ดังตฤณ :  คือเวลาที่กำลังฟุ้งจัดๆ ไม่แนะนำให้คาดหวังว่า เราจะสามารถสงบลงได้ทันที ด้วยการเอาใจไปผูกไว้ด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้กระทั่งลมหายใจ อย่าใช้ลมหายใจเป็นเครื่องผูก ในขณะที่จิตมันมีแรงดิ้นเหมือนม้าพยศ แต่ว่ากำลังของเรามีแค่มือมนุษย์ แล้วก็เส้นเชือกบางๆที่มันไม่ได้หนา ไม่ได้มีความสามารถไปเอาชนะอะไรกับม้าพยศ

ขอให้เปรียบจิตนะครับเป็นม้าพยศ แล้วตัวคุณเป็นมนุษย์ที่มีความฉลาดกว่าม้าพยศ เราต้องรู้ทางคือไม่ใช่ว่า .. เราเป็นมนุษย์เนี่ยนะ สิ่งที่เรามีกำลังมากกว่าม้าพยศ ก็คือสติปัญญา หรือว่าวิธีการใช้เหตุผลที่มันเหนือกว่าสัตว์เดรัจฉาน

สัตว์เดรัจฉานเนี่ยมีกำลังมาก แต่มีความฉลาดน้อย ความฟุ้งซ่านก็เหมือนกัน มันมีกำลังมาก แต่มันก็เป็นของดิบๆอยู่อย่างนั้น ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของมัน เข้าใจทางลมนะว่า จะจัดการยังไง ให้มันค่อยๆอ่อนกำลังลงได้ ค่อยๆซาตัวลงได้ อันนี้แหละที่มันถึงปราบได้จริง ปราบความฟุ้งซ่านที่เหมือนม้าพยศได้จริง

แต่ถ้าหากว่า เราไม่เข้าใจธรรมชาติของมันนะครับ ไปพยายามใช้กำลังเข้าสู้ดิบๆเลย เหมือนกับมนุษย์ตัวจ้อยเนี่ย แล้วก็ไปสู้กับม้าพยศที่มีกำลังมากกว่า อย่างนี้ยังไงก็ไม่มีทางชนะ

วิธีที่จะกำราบจิตที่กำลังฟุ้งซ่านมากๆนะครับ ทางหนึ่งก็คือ ทำความเข้าใจว่า ความฟุ้งซ่านไม่ใช่ว่ามันจะมีกำลังแรงได้ต่อเนื่องยาวนานเสมอไป ในที่สุดมันจะต้องอ่อนกำลังลงเองถึงแม้ว่าเราจะไม่ไปจัดการ ไม่ไปขัดขวาง ไม่ไปขับไล่ไสส่งอะไรมันทั้งสิ้น

แล้ววิธีที่ดี ถ้าหากว่าจะใช้ลมหายใจนะ ก็คือให้สังเกตว่า มันฟุ้งซ่านได้กี่ลมหายใจถึงอ่อนกำลังลง พอตั้งข้อสังเกตไว้อย่างนี้นะครับ มันต่างไปแค่นิดเดียว ผิดองศาไปแค่นิดเดียว แต่ผลลัพธ์เนี่ย ห่างกันมหาศาลเลยนะครับ เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะตรึงความฟุ้งซ่านไว้ด้วยลมหายใจ แต่เราจะอาศัยลมหายใจ จำนวนครั้งของลมหายใจ เป็นเครื่องสังเกตว่า ความฟุ้งซ่านยังเข้มข้นอยู่ หรือว่าอ่อนกำลังลงแล้ว

เมื่ออาศัยจำนวนลมหายใจ เป็นเครื่องสังเกตความไม่เที่ยงของสิ่งใด สิ่งนั้นจะปรากฏโดยความเป็นของอื่น ที่มันแตกต่างจากลมหายใจนะครับ แล้วก็ที่เป็นของต่างหากจากจิตด้วย

คือจิตที่มีสติเนี่ย คือนับไป ตอนนี้ลมหายใจนี้ กำลังฟุ้งยุ่งเหยิงเลย มันไม่สามารถที่จะมารู้ลมหายใจได้ ก็ไม่เป็นไรรู้แค่นิดเดียว รู้แค่เนี่ยว่าลมหายใจนี้ เราตั้งต้นที่จะสังเกตว่า ความฟุ้งซ่านในลมหายใจนี้ มันปั่นป่วน มันอลหม่าน มันไม่สามารถคุมจิตได้ติด เรียกว่านี่เป็นการเห็นจิตที่ฟุ้งซ่านแล้วในลมหายใจนี้ ลมหายใจนี้เป็นลมหายใจแห่งความฟุ้งซ่านอย่างหนัก เสร็จแล้วปล่อยให้มันฟุ้งซ่านไป ไม่ไปพยายามบังคับอะไรมัน

พอจะต้องมีลมหายครั้งต่อไป เราค่อยสังเกตอีกทีนึงว่า ลมหายใจนี้เนี่ย ดูแล้วความฟุ้งซ่านมันเบาบางลงบ้างรึเปล่า หรือว่ายังเท่าเดิม ถ้ายังหนักเท่าเดิม ก็ไม่ต้องไปเสียใจ เราแค่มีแก่ใจที่สังเกตต่อว่า เออมันยังปั่นป่วน มันยังหนักหน่วงเป็นพายุทอร์นาโดอยู่

เสร็จแล้วดูไปอย่างนี้เรื่อยๆ พอครั้งที่ ๓ ครั้งที่ ๔ ครั้งที่ ๕ มันจะค่อยๆเกิดความตระหนักว่า ยิ่งเราอาศัยลมหายใจ เป็นเครื่องสังเกตความไม่เที่ยงของความฟุ้งซ่านมากขึ้นเท่าไหร่ ความฟุ้งซ่านยิ่งปรากฏแสดง โดยความเป็นของไม่ใช่อะไรที่เหมือนเดิมในแต่ละลมหายใจไปเรื่อยๆนะครับ จนกระทั่งถึงจุดนึงนะ จิตมีความรู้สึกว่า เริ่มมีกำลังของสติมากขึ้น ตรงนั้นกำลังของความฟุ้งซ่าน มันจะอ่อนลงจนเห็นได้ชัด นี่เรียกว่าเป็นการอาศัยลมหายใจมาช่วยสังเกตความไม่เที่ยงของความฟุ้งซ่าน ซึ่งมันจะเป็นไปได้จริงทุกครั้ง

ทุกครั้งที่คุณมีเข็ม มีทิศทางในการสังเกตที่ถูกต้อง คุณจะเห็นความไม่เที่ยงได้ทุกครั้ง และเมื่อไหร่ที่คุณเห็นความไม่เที่ยงของความฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านจะปรากฏเป็นต่างหากจากลมหายใจ ความฟุ้งซ่านจะปรากฏเป็นต่างหากจากจิต มีสติเป็นผู้รู้ผู้ดูว่า ความฟุ้งซ่านมันไม่เหมือนเดิม มันไม่เท่าเดิม รู้ไปเรื่อยๆ มันเกิดปัญญาขึ้น มันเกิดพุทธิปัญญา ตรงนี้เนี่ยคุณจะไม่ห่วงแล้วว่า เมื่อไหร่มันจะหยุดฟุ้งซ่านสักที คุณจะแค่ให้เวลากับจิต ให้เวลากับสติในการบ่มเพาะพุทธิปัญญาขึ้นมา จะเป็นกี่สิบลมหายใจ จะเป็นกี่ร้อยลมหายใจมันก็คุ้มนะครับ ขอให้ใจเย็นแล้วก็รู้หลักการที่ถูกต้องเป็นพอนะครับ

----------------------------------------

ผู้ถอดคำ           แพร์รีส แพร์รีส
นที่ไลฟ์           ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม              ขณะปฏิบัติ จิตฟุ้งมากแล้วพยายามเอาจิตไปไว้ที่ลมหายใจ.. 
                     แต่หาลมหายใจไม่เจอ ควรเอาจิตไปไว้ที่ไหนดีคะ?
ระยะเวลาคลิป  ๖.๕๐ นาที
รับชมทางยูทูบ             https://www.youtube.com/watch?v=JtADeZuLrbw&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=2

** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น