ดังตฤณ : อันนี้ผมไม่ได้เป็นคนพูดนะ
แต่พระพุทธเจ้าท่านเป็นคนตรัสนะครับ คือการตัดตัณหาไม่ใช่ว่าระงับอกระงับใจ
ห้ามอกห้ามใจ ไม่ให้ไปเสพความบันเทิง หรือกามคุณทั้ง ๕ ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ
คำว่า
‘ตัณหา’ จริงๆแล้ว มีนัยยะที่ลึกซึ้งมากๆนะครับ เดี๋ยวจะทำให้ดูคลิปหน้า
แต่ว่าตอนนี้อธิบายไว้คร่าวๆก่อนก็แล้วกัน
ตัวตัณหาเนี่ย
รวมไปถึงความยินดี แม้กระทั่งในการมีจิตนะครับ ตอนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ท่านท้อพระทัยเพราะเห็นว่า ขืนพูดไปก็คงไม่มีคนฟัง คนในโลก ๙๙.๙๙
เปอร์เซ็นต์เลยก็แล้วกัน มีความติดใจอยู่ในกายใจนี้ มีความติดใจอยู่ในผัสสะที่ได้จากกายใจนี้
แล้วถ้าหากไปบอก
กายใจนี้มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นแค่คุกที่ขังผู้ที่หลง
ผู้ที่ยังมีโมหะเอาไว้นะครับ โดยอาศัยกาว คือตัณหามาผูกมายึดมาเป็นแรงหนืด
ที่ทำให้หลุดออกไปจากอุปาทานไปไม่ได้เนี่ย คือพูดไปก็ไม่มีใครฟัง
แต่เสร็จแล้วท่านกลับมาพิจารณาด้วยพระญาณนะครับว่า
เออจริงๆเนี่ยมีเวไนยสัตว์ หรือผู้ควรแก่การฟังธรรม ผู้ควรแก่การหลุดพ้น ผู้มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงนิพพานได้
จากการที่สะสมมา ทั้งในเรื่องของบุญในการให้ทาน สละออกด้วยการให้ทรัพยทาน
ด้วยการให้อภัยทาน ด้วยการที่มีน้ำจิตน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นๆ
เนี่ยเป็นขั้นตอนของการสละออก แล้วก็มีพาวเวอร์ในการห้ามใจตัวเองไม่ให้ผิดศีลผิดธรรม
ไม่เอาบาปเอากรรมที่มันจะทำให้ลงต่ำ นี่อันนี้ก็เป็นการสละออกเช่นกัน
เป็นการบ้วนทิ้งซึ่งเสมหะ ที่มันสกปรก ที่มันเป็นยางเหนียวนะครับ
แล้วถึงที่สุดแล้ว เออมีอีกเยอะที่เคยเจริญสติไว้ก่อน เคยที่จะทำกรรมฐาน
เคยนั่งสมาธิ เคยปรารถนาการพ้นทุกข์กันมา
เนี่ยพระองค์เล็งเห็นว่ามีเวไนยสัตว์เหล่านี้อยู่ ก็เลยโอเคยอมเหนื่อย
พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์นะครับ
พอตรัสรู้ธรรมได้เป็นพระอรหันต์เนี่ย จะท้อพระทัยกันหมด บอกว่า โอ้โหนี่เป็นธรรมที่ละเอียดสุขุมมาก
ยากมาก มันเป็นไปไม่ได้เลย สำหรับคนทั่วไปที่จะมาอยากฟัง
แต่พอพระองค์พิจารณาว่า
เหล่าสัตว์มีหลายแบบ หลายระดับนะครับ พวกที่พร้อมจะพ้นจากอำนาจของกิเลส ตัณหา
อุปาทาน ก็มีอยู่ ก็เลยก่อตั้งพุทธศาสนาขึ้นมา แล้วก็ตรัสอย่างนี้แหละ
ตรัสแสดงให้เห็นนะครับ กรรมเหมือนไร่นา วิญญาณเหมือนพืชที่ลงมาปลูกในไร่นา
แล้วตัณหาเหมือนยาง ที่จะเอาไปปลูกต่อได้ เนี่ยพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้นะชัดเจน
ถ้าหากว่าเราสามารถดับตัณหาได้
ก็คือเราจะเทียบเท่ากับเราไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงที่จะฝากไว้ในเมล็ดพันธุ์พืช
เอาไปปลูกต่อไม่ได้แล้วนะครับ อันนี้ก็เหมือนกัน ท่านตรัสเทียบไว้กับหลายอย่าง
อย่างตาลยอดด้วนไม่สามารถที่จะงอกขึ้นมาใหม่อะไรแบบนี้เนี่ยนะครับ
ความหมายก็คือว่า
ถ้าเราละความยินดี ถอนความยินดีได้ แม้กระทั่งการมีจิต พระอนาคามีเนี่ยถอนไม่ได้
ถอนจากอัตตามานะไม่ได้ ความรู้สึกว่า มีเขา มีเราเนี่ย ยังมีอัตตวาทุปาทานอยู่
ก็เพราะว่า ยังหวงจิตที่สูงส่ง ถ้ายังมีนันทิ ความยินดี อันนั้นก็เรียกว่า มีตัณหา
มียางเหนียวแล้ว
ถ้าละความยินดีได้หมด
แล้วก็เห็นจะแจ้งว่า ทั้งหลายทั้งปวงเป็นความปรุงแต่งชั่วคราว อันนั้นน่ะ ที่มันจะตัดตัณหาได้จริง
คือตัดตัณหาขั้นสุดท้ายเนี่ย ดับตัณหาขั้นสุดท้าย
คือการเกิดอรหันตผลขึ้นมาล้างผลาญตัวอุปาทาน หรือว่าโมหะขั้นสุดท้าย ที่เรียกว่าอวิชชา
ความไม่รู้ที่มันปิดบัง ที่มันห่อหุ้มจิต ที่มันกั้นจิตไม่ให้รู้ซึ้งว่า อะไรๆทั้งปวงไม่ใช่ตัว
ไม่ใช่ตนจริงๆ ไม่เหลือเชื้อเลย ไม่เหลือความติดค้างแม้เท่ายองใย
อันนี้แหละที่พระอรหันต์ท่านบอกว่า แสนสุข แสนสบายกันได้เนี่ยก็เพราะว่า
ท่านดับตัณหาได้สนิทนั้นเองนะครับ
--------------------------------------
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์ ๕
พฤษภาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม ถ้าเราอยากหลุดพ้น
แค่ตัดตัณหาจริงหรือคะ?
ระยะเวลาคลิป ๕.๕๗ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=Y1RWw33Cp4c&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=10** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น