ดังตฤณ : ในแง่สมถะ คือแผ่เมตตา ในแง่วิปัสสนา คือเห็นความไม่เที่ยงของความเจ้าคิดเจ้าแค้น
การแผ่เมตตา
คือการที่เราฝึกที่จะให้ทาน เริ่มต้นขึ้นมาเลยฝึกที่จะให้ทาน สวดมนต์แล้วมีความสุข
อยากให้ความสุขนี้เป็นทานแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง แล้วพิสูจน์ด้วยการที่
เราสามารถจะให้ส่วนเกิน จะเป็นทรัพย์ส่วนเกิน เงินส่วนเกินแก่ผู้มาขอ
หรือว่าผู้ต้องการ หรือว่าผู้ที่สมควรได้รับ
ลักษณะของทาน
ลักษณะของการให้ของส่วนเกิน เป็นการแผ่เมตตาขั้นต้น
การแผ่เมตตาที่ยากขึ้นกว่านั้นอีกนิดนึงคือ
เวลาเราโกรธใคร เวลามีคนมาทำให้เราโกรธด้วยเรื่องที่มันไม่ยุติธรรมกับเรา
ไม่ใช่เราโกรธเขา เพราะเขาไม่ได้อย่างใจเรานะ มีคนมาทำให้เราขัดเคือง มีคนมาคดโกง
มีคนมายั่วแหย่กระเซ้า หรือว่ามาด่าว่าด้วยคำหยาบคาย ด้วยคำนินทาอันเผ็ดร้อน
แล้วเราคิดว่านั่นเป็นบาปของเขา เราไม่อยากจะไปเพิ่มบาปให้เขาแล้วก็ตัวเราเอง
ก็ให้คืนบาปนั้นสู่ความว่างเปล่าไป ไม่ไปเอาเรื่องเอาราวเขา
นั่นเรียกว่าให้อภัยเป็นทาน นี่ก็เป็นการแผ่เมตตา
นี่ก็เป็นการอยากให้ความสุขของเรา ไปเป็นความสุขของเขาด้วย
ไม่ไปมัวคิดถึงเรื่องความยุติธรรม ไม่ยุติธรรม คิดแค่ว่าเราไม่เบียดเบียนเขา
แค่นี้ก็คือทำให้เขามีความสุขได้พอสมควรแล้ว ไม่เบียดเบียนเขาคืน แล้วก็ไม่เบียดเบียนตนเองให้ต้องมีจิตใจคับแคบกระสับกระส่าย
อันนี้เรียกว่าเป็นสมถะ
ส่วนในแง่ของวิปัสสนาคือ
เรารู้อยู่ เห็นอยู่ว่า เกิดความรุ่มร้อนขึ้นอย่างไร ยอมรับตามจริง
ไม่ใช่ไปพยายามที่จะสาดน้ำเย็นโครมให้ดับไฟร้อนให้มันมอดไปทันที
ไม่ใช่พยายามแบบนั้น แต่ยอมรับตามจริงว่า ขณะนั้นไฟโกรธมันลุกโพลง
มันลุกฮืออยู่ขนาดไหน มันรู้สึกเหมือนเร่าร้อน เหมือนกับจะมีใครมาเผาเรามาจากข้างใน
มีความรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อทุกมัด
มันพร้อมที่จะไปทำงานประสานกัน เป็นอาการชกต่อยเตะตี เพื่อที่มาทำให้คนที่ทำเราไม่พอใจเนี่ย
ได้รับความเจ็บปวดมากที่สุด รู้ไปว่าอาการทางกายเกิดขึ้นอย่างไร
อาการทางใจเกิดขึ้นอย่างไร ยอมรับไปตามนั้นเพื่อให้เห็นว่า ลักษณะ ณ
ขณะนั้นทางกายทางใจ มันกำลังปรากฏอยู่อย่างไร
พอยอมรับได้
พอเห็นได้ว่า ลักษณะทางกายทางใจปรากฏอยู่อย่างไร ในอึดใจต่อมาก็จะสามารถเห็นได้ว่า
ลักษณะแบบนั้นๆมันเปลี่ยนแปลง มันไม่สามารถคงที่อยู่ได้
ต่อให้เรารู้สึกเหมือนกับจุกแน่น ไม่สามารถทนได้ถ้าหากว่าไม่ไปทำร้ายกลับ
ไม่ทำร้ายคืน ภาวะมันจะสุดขีดที่จะกลั้นแค่ไหนก็ตามนะครับ ขอแค่เราสามารถที่จะยอมรับได้ตามจริงว่า
มันกำลังมีความเป็นอย่างไรอยู่
ความเป็นอย่างนั้น
มันจะแสดงความไม่เที่ยงให้เห็นในเวลาไม่นาน นี่เรียกว่าวิปัสสนา
แต่คนที่จะทำแบบนั้นได้เนี่ย
คนที่จะสามารถเห็นอย่างนั้นได้ ต้องมีอภัยเป็นทานมาก่อน ต้องมีทุนมาก่อน
ต้องมีสุขพอสมควร ต้องมีจิตเป็นกุศลพอสมควร ไม่ใช่ว่าใครๆก็ทำได้
--------------------------------------------
ผู้ถอดคำ
แพร์รีส แพร์รีส
ที่มา
รายการดังตฤณวิสัชณา ครั้งที่ ๓๖
วันที่
๑๑ เมษายน ๒๕๕๕
ความยาวคลิป : ๔.๒๑
นาที
รับชมทางยูทูบ : https://www.youtube.com/watch?v=kb8LXdnXv1s&list=PLmDLNhxScsWMM1allIJvz4ti1c_bMrj09&index=8&t=5s** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น