วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ความรักคือการให้ ต้องฝึกอย่างไร จึงจะไม่ทุกข์ พูดง่ายๆว่าเราเป็นฝ่ายให้อยู่ฝ่ายเดียว


ดังตฤณ : ความรักที่จะไม่ก่อให้เกิดทุกข์เนี่ยนะครับ จะต้องเป็นความรักในลักษณะที่จิตใจมีการเปิด มีการแผ่ มีกระแสของความสุขรินออกมาก่อน รินนำออกมาก่อน ไม่ใช่ฝืนใจให้ความรัก

การฝืนใจให้ความรัก เป็นลักษณะหนึ่งของคนที่มีความคาดหวังอยู่ มีความคาดหมายว่า ความรักที่ให้ออกไป จะต้องได้รับการสนองตอบกลับมา แต่ความรักในลักษณะของเมตตาแบบพุทธ จะเป็นความรักในลักษณะของการ .. สังเกตที่ใจก็แล้วกัน การเปิดออกไป แผ่ออกไปรินความสุขออกไป โดยไม่ได้หวังให้จิตมันม้วนกลับคืนมา

ลองสังเกตนะครับ ถ้าหากว่าคุณมีความสุขอยู่ อาจจะจากการสวดมนต์ อาจจะจากการใส่บาตรพระ หรือว่าอาจจะไปสงเคราะห์เด็ก ลักษณะของจิตมันจะมีการแผ่ออกไปแล้วไม่ม้วนกลับ มันมีการแผ่ มันมีการขยายออกไปปราศจากการที่เราจะมีความรู้ดึงคืนกลับมา

แต่ถ้าหากว่า เราเกี่ยวข้องกับคนในครอบครัว จะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง หรือว่าจะเป็นแฟน หรือว่าจะเป็นเพื่อนสนิทอะไรก็แล้วแต่ ความรักที่เราให้ออกไป มันจะเป็นลักษณะของการแผ่ออกไป แล้วม้วนกลับมาเหมือนกับบูมเมอแรง

ถ้าหากว่าเรามอบความรักให้ใครไป ลักษณะของใจมันจะไม่เปิดออกไปแบบเต็มร้อย มันจะมีลักษณะครึ่งๆกลางๆ ด้วยความรู้สึกคาดหวัง หรือด้วยความรู้สึกถ้าเราให้เขาไปแค่นี้ เขาจะเห็นกำลังใจของเราที่ให้เขาไปมั้ย

หรือว่าถ้าให้เขาไปแล้ว เขาจะเหลิงมั้ย หรือว่าให้เขาไปแล้ว เขาจะเกิดความรู้สึกว่า เรายอมเขาทุกอย่าง เสียเปรียบไปทุกอย่าง แล้วเขาจะต้องเป็นฝ่ายได้เปรียบอะไรต่อมิอะไรต่างๆนาๆนะครับ

ลักษณะของความคิด หรือว่าจิตที่เพ่งเล็งในการได้คืน เป็นลักษณะของจิตที่ให้ความรักไม่เต็มที่ ให้ไปแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งมีความคาดหวังในการรับตอบ เพราะฉะนั้นวิธีฝึกนะครับ ง่ายๆเลย สังเกตเล็งเข้าไปที่กระแสของใจเนี่ยแหละ เวลาที่ให้อะไรกับใครไป หรือว่าเรานิยามความรู้สึกของเราว่าเป็นความรัก ความรักชนิดนั้นมันให้ออกไปแค่ครึ่งๆกลางๆ หรือว่าแผ่ออกไปแบบไม่มีประมาณ

สังเกตได้ง่ายๆเลยนะครับ ตอนที่แผ่ออกไปแบบไม่มีประมาณ ใจมันจะสบายและไม่ติดค้าง มันจะรู้สึกว่า ให้ไปแล้วไม่นึกถึงหน้าของผู้รับ ไม่นึกถึงผลตอบแทนที่เราจะได้รับกลับมา แม้กระทั่งความรักที่เท่ากัน หรือว่าจะเป็นความผูกมัดอะไรก็แล้วแต่นะครับ ใจมันจะไม่เล็งอยู่ที่หน้าของเขา

แต่ใจของเราจะอยู่กับความรู้สึกทางใจ กระแสทางใจที่มันออกไปแล้วมีความสุขจริงๆ นั่นน่ะลักษณะของจิตแบบนั้น เป็นจิตของผู้ที่แผ่เมตตาเป็น

ผู้ที่แผ่เมตตาเป็นเนี่ย ก่อนอื่นก็ต้องมีทุน

ทุนคือการทำทาน รู้จักให้ทานโดยไม่หวังผลตอบแทน เรียกว่ารู้จักในการให้เปล่า ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุดนะครับ ถ้าหากเราเคยเห็นหมาแมวน่าสงสาร แล้วเรามีอาหาร เศษอาหาร มีน่องไก่ มีอะไรที่เรากินทิ้งๆขว้างๆ แล้วอยากให้มัน เนี่ยเรียกว่าให้เปล่า ใจในลักษณะนั้นพอให้เสร็จนะ จะไม่นึกถึงหมานึกถึงแมว แต่มันจะนึกถึงแต่ความสุข ความอิ่มที่ใจของเราเนี่ย มันกำลังเต็มตื้นอยู่นะครับ

ลองสังเกตดูก็แล้วกัน ถ้าหากว่าช่วงแรกๆยังทำไม่ได้ ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องไปพยายามสร้างกระแสของความรู้สึกเมตตาอย่างไม่มีประมาณขึ้นมา 

แต่ให้หัดสังเกต สังเกตไป ซึ่งวิธีสังเกตก็ต้องใช้ของจริง ออกไปให้ของจริง จะเป็นหมาเป็นแมวรึว่าจะเป็นเด็กอนาถา หรือว่าจะเป็นสถานสงเคราะห์คนชรา หรือว่าจะเป็นวัดที่เรารู้สึกว่า ไม่มีชื่อเสียงนะแต่เราอยากไป เพราะว่าอยากให้พระได้มีของฉัน ของขบฉันของใช้ปัจจัย ๔  เพราะว่าไม่ค่อยมีใครมาถวายกัน อะไรแบบนี้เนี่ยนะ คือแบบที่เป็นลักษณะจิตให้เปล่า แล้วลักษณะจิตให้เปล่าเนี่ย จะสาธิตให้คุณได้เห็นตัวอย่างของจิตที่มีเมตตาแบบแผ่ไป แล้วไม่ม้วนคืนกลับมานะครับ

---------------------------------------


ผู้ถอดคำ           แพร์รีส แพร์รีส
ที่มา                รายการดังตฤณวิสัชณา ตอนที่ ๔
วันที่                ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
ความยาวคลิป : ๕.๓๒ นาที
รับชมทางยูทูบ : https://www.youtube.com/watch?v=16IX7LI004w

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น