วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เจริญสติจนเป็นสุข นึกถึงผู้ที่ตายไปแล้วจะได้รับไหม มีผลเสียไหม


ดังตฤณ : ผลเสียไม่มีนะครับ ไม่ต้องไปฟังใครพูดอะไรทั้งสิ้น ผลเสียไม่มีนะ
เวลาเราตั้งใจจะส่งความสุขให้ใครนะครับ สุขที่มีอยู่ในเราจริงๆ ก็เหมือนกับเอาเปลวเทียนในจิตวิญญาณของเรา ไปต่อให้กับจิตวิญญาณดวงอื่นสว่างขึ้น ไม่มีแสงที่ลดลงนะ มีแต่แสงที่เพิ่มขึ้นนะครับ

ส่วนที่ว่าจะไปถึง หรือไปไม่ถึงนี่ ไม่ใช่อาศัยแค่เงื่อนไขฝ่ายเราฝ่ายเดียว ต้องอาศัยเงื่อนไขฝ่ายเขาด้วย อย่างในพุทธศาสนาเราที่พูดกันมากที่สุดก็คือว่า ถ้าหากเขาอยู่ในภาวะที่มีความพร้อมจะอนุโมทนาสาธุการ หรือปลื้มไปด้วยกับความสุขของเรา อันนั้นแหละ คือเขาสามารถรับความสุขจากเราได้

อย่างเช่น พวกเปรตที่เป็นญาติ แล้วก็จ้องอยู่ว่า ญาติของเราจะเผื่อแผ่อุทิศส่วนกุศล หรืออุทิศสุขไปให้เขาหรือเปล่า พวกที่จ้องอยู่แล้วก็สามารถรับรู้ได้ว่า เออนี่เขาส่งความสุขมาให้เราโดยเฉพาะ ก็จะเกิดความรู้สึกชุ่มชื่น เหมือนคนที่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์กินอาหารในจานนี้ เป็นจานที่ญาติจัดมาให้โดยเฉพาะ อาหารนั่นก็คือความชุ่มชื่น
มันอาจปรากฎในโลกวิญญาณนะครับ โลกของเปรตโดยความเป็นน้ำ หรือโดยความเป็นอาหารทิพย์ที่ทำให้เกิดความรู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นมา หรือแม้กระทั่งว่าไม่รู้สึกว่าเป็นอาหารแต่รู้สึกว่าเป็นพลังเข้ามาตรงๆ เลย มีพลังเพิ่มขึ้นนะ
ส่วนเทวดา ถ้าหากว่าเขายังมีสายตาที่มองลงมาจากสวรรค์ ด้วยความรู้สึกห่วงใย ถ้าหากว่าเขาเห็นเราทำบุญอะไรแล้วอุทิศให้เขา เขาก็จะอนุโมทนา คือยินดีด้วย เหมือนกับรู้ว่ามีแก่ใจ คือเขาไม่ได้ ได้ดีอะไรขึ้นมาเท่าไหร่หรอก แต่ว่า ปลื้มที่เรายังนึกถึงเขาอยู่ ก็มีความสุขในอีกแบบหนึ่ง

คือการที่เราอุทิศส่วนกุศลไป แล้วเขามีภาวะที่พร้อมจะรับรู้ได้ จะมีความสุขมากขึ้นเสมอ ถ้าเรามีความสุขจริงนะ แล้วเขารู้สึกได้ว่าความสุขของเรามีความชุ่มชื่น มีความสว่าง ตัวนี้ คีย์สำคัญเลย มีความชุ่มชื่น มีความสว่าง และเป็นความชุ่มชื่นที่ออกมาจากความรู้สึกเป็นสุขจากใจจริงๆ ไม่ใช่แกล้งยิ้ม แกล้งทำใจให้มีความสุขเหลือเกินอะไรแบบนั้น เขาจะรู้สึกถึงอาการฝืน อาการแกล้ง อาการเสแสร้ง

ส่วนพวกที่ไปเกิดใหม่ ไปเข้าท้องคน หรือว่าไปอยู่ในนรก หรือว่าไปเข้าท้องสัตว์ ไปอยู่ในไข่ ไข่ปลา ไข่ไก่ ไข่อะไรก็แล้วแต่ พวกนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับความชุ่มชื่นจากบุญที่เราอุทิศไปให้ เพราะว่าอยู่ในสภาพที่ คือตัดขาดจากช่องทางเดิม ภพเดิม หรือว่า เหมือนเปลี่ยนกรงขังแล้วน่ะ เหมือนเปลี่ยนแดน คือภพภูมิหรือโลกวิญญาณ ถ้าเราเข้าใจนะ จากการเห็น จากการสัมผัส จะรู้ได้ว่า มันไม่เหมือนกับการเปลี่ยนห้องจากห้องนี้ ไปอีกห้องหนึ่งนะ มันเหมือนย้ายคุก เหมือนย้ายแดน ที่อยู่ห่างออกไป ไม่ใช่เปิดประตูไปแล้วไปถึงกันได้ง่ายๆ

อย่างบางคน ย้ายไปอยู่ในที่ๆ คล้ายๆ เปรียบเทียบนะ เป็นมนุษย์ล่องหน สามารถที่จะกลับมารับรู้ได้ทุกอย่างว่าใครพูดถึงตัวเองว่าอย่างไร หรือใครมีเบื้องหลัง อย่างแบบว่า ตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ปฏิบัติแบบหนึ่ง พอตัวเองสิ้นชีวิตไปแล้ว คนข้างหลัง ดี๊ด๊า ไปหาคนนั้นคนนี้ ก็เกิดความพะวง

เนี่ย จิตวิญญาณนะ ถ้าตายไม่ดี ตายไปอยู่ในภพที่ไม่ได้พ้นขาดออกจากพื้นพิภพนี้ไป กลับมาเห็นอะไรๆ บางทีก็ทรมานใจ ทรมานหัวจิตหัวใจ แต่เสร็จแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ กลับมาหึงหวง กลับมาอาละวาดแบบเดิมไม่ได้ ตัวนี้ท่านถึงบอกว่า ถ้าหากจะตายนี่นะ ก่อนตายควรจะซ้อมไว้ ที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโลกนี้ ให้คงอยู่ในโลก ไม่ต้องเอาตามตัวไป ตามจิตตามวิญญาณของตัวเองไป

แล้ววิธีที่ดีที่สุดที่จะทิ้งได้ก่อนตาย ก็คือฝึกทิ้งก่อนที่จะตายนานๆ ไม่ใช่ไปฝึกเอาตอนที่ใกล้จะม้วยมรณาอยู่แล้ว สองสามนาที แล้วจะมาภาวนา จะทิ้งๆ นี่จิตไม่ยอมหรอกนะ ต้องฝึกพิจารณาว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มีใครเป็นของๆเราจริง มีแต่คนที่เป็นของๆ ตัวเองนั่นแหละ เป็นของๆความทุกข์ของแต่ละคน โดยที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของใครจริง ฝึกพิจารณาอย่างนี้ตั้งแต่ยังมีโอกาสที่จะพิจารณานานๆ หลายๆ สิบปี มันถึงจะทิ้งได้จริงก่อนตายนะ

แล้วพอตายไป ญาติข้างหลังไม่มีใครทำบุญชนิดที่ทำให้ทิ้งอุปาทาน หรือว่าทิ้งความยึดติด ที่อึ้งหนักอยู่ในจิตวิญญาณของตัวเองไปได้ มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะปลดล็อคตัวเองนะครับ พูดกันตรงไปตรงมานะ
อย่าไปหวังว่าเราทำบุญอะไรไปแล้วจะทำให้ญาติที่ล่วงลับ มีความสุขสบายกลายเป็นเทวดา กลายเป็นนางฟ้าอะไรขึ้นมา
ขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละคนที่ทำไว้เองทั้งนั้นนะครับ!
_______________

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ภาวนาพุทโธถึงมรรคผลได้อย่างไร?
16 พฤษภาคม 2563
คำถามเต็ม : เมื่อเราเจริญสติจนกระทั่ง สงบนิ่งและเป็นสุข แล้วเรานึกถึงผู้ที่ตายไปแล้ว จะช่วยให้เขามีความสุขได้ไหม และจะมีผลเสียอะไรไหมคะ?
ถอดความ : เอ้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น