ถาม : ควรใช้ชีวิตคู่อย่างไรถึงจะไม่ยึดติดในตัวคนรัก
แต่ก็ไม่ละเลย?
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/ViCzvYhDRiw
ดังตฤณ:
สำหรับคำว่ารักแบบไม่ยึดติดอาจจะเป็นคำพูดเท่ๆ
เก๋ๆ มากกว่าที่จะเอามาใช้อธิบายภาวะทางใจในโลกความเป็นจริงได้
คือความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวก็เป็นอาการที่จิตยึดติดกับสิ่งที่เราชอบใจหรือบุคคลที่เราพิศวาสเสน่หาอยู่แล้ว
ทีนี้ระดับความรักของแต่ละคนมันก็ไม่เท่ากัน
บางคนบอกว่าฉันรักแบบไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไรมากมาย
อันนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้พิศวาสไม่ได้เสน่หาคนรักของเรามากนักก็ได้
แต่ถ้าหากคนรักของเรามีแต่ความน่าพิศวาสน่าใคร่น่ารักน่าชื่นชมน่าคิดถึง
ไม่มีข้อบกพร่องหรือว่าข้อติใดๆ อาการของใจที่พุ่งเข้าไปยึดแบบโลกๆ
ด้วยอำนาจของกิเลสมันก็จะทำให้จิตมีอาการร้อยรัดเต็มที่ เต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย
เป็นไปไม่ได้ที่ถ้าหากว่าเราอนุญาตให้ใจตัวเองผูกยึดอยู่กับใครด้วยความพิศวาสเชิงชู้สาวแล้ว
จะรักแบบไม่ยึดติด
คำว่ารักแบบไม่ยึดติดน่าจะเป็นแค่ปรัชญา
หรือคำที่เอาไว้พูดกันเล่นๆ มากกว่า ถ้าพูดถึงอาการทางใจ
นี่เราพูดถึงเรื่องที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกความเป็นจริง ไม่พูดเอาหรู
ไม่พูดเอาเท่ ทีนี้คำถามว่าหน้าที่ของคนรักควรจะมีให้กันอย่างไรถึงจะเรียกว่าไม่ละเลย? พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้นะครับ
ท่านจะพูดถึงสามีภรรยาเลย ไม่พูดถึงแฟน สมัยก่อนไม่ค่อยคบกันเป็นแฟน
ถ้าคบกันก็จองตัวกันเลย หมั้นหมายกันและแต่งงานกัน
พระพุทธเจ้าท่านเลยไม่ได้มีธรรมะสำหรับฆราวาสที่เป็นแค่แฟนกันเฉยๆ
แต่ท่านจะพูดถึงสามีภรรยากันเลย ก็ต้องดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
สามีในสมัยก่อนก็มีหน้าที่หาเงินเลี้ยงดูภรรยา
แล้วก็ซื้อของให้ภรรยาตามที่ควรแก่ฐานะ ไม่ละเลยการเอาใจใส่ภรรยา
ส่วนภรรยาก็ต้องดูแลปรนนิบัติสามีให้มีความสุขความสบาย มันแล้วแต่สังคมด้วย
พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสถึงสังคมแบบสมัยพุทธกาล
ทีนี้ถ้าสมัยนี้ก็คือถ้าชายหญิงมีสิทธิ์เท่าเทียมกันตามกฎหมาย
แล้วก็มีภาวะของความเสมอภาคระหว่างชายหญิง เป็นยุคที่ชายหญิงไม่มีเส้นแบ่งกัน
ก็ควรที่จะรับผิดชอบซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ฝ่ายชายจะต้องซื้อของให้ฝ่ายหญิงเสมอไป
ฝ่ายหญิงสมัยนี้ก็ซื้อของให้ฝ่ายชายได้ และถ้าเราพูดกันถึงสามัญสำนึก
พูดถึงสิ่งที่มันควรจะรู้สึก ฝ่ายชายก็ควรที่จะเป็นที่พึ่ง ปกป้องดูแล
เอาใจใส่กับความเป็นอยู่โดยทั่วไปของภรรยาในฐานะของหัวหน้าครอบครัว
ส่วนภรรยาเองก็จะต้องมีความเอาใจใส่ดูแลชีวิตรายละเอียดที่ขาดไปของฝ่ายชาย
ผู้ชายจะขาดเรื่องของความละเอียดรอบคอบหรือความพิถีพิถันในชีวิตประจำวัน
ฝ่ายหญิงก็ควรที่จะเข้ามาชดเชย เข้ามาเสริมเติมให้ชีวิตของฝ่ายชายเต็ม
ส่วนฝ่ายชายก็ควรที่จะมีความหนักแน่น
เพราะบางทีเราก็ต้องยอมรับว่าฝ่ายหญิงจะมีความน้อยใจง่าย คิดมาก
ฝ่ายชายก็ควรที่จะมาเสริมส่วนที่ฝ่ายหญิงขาดตรงนั้นไป
อย่างบางทีเรามักจะเถียงกันว่าฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงเมื่อเท่าเทียมกันแล้ว
จะให้ชีวิตคู่มันเป็นยังไง เราเอาความเป็นจริงเถอะ เราเอาสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ
กัน ถ้าฝ่ายชายเป็นคนคิดมาก เป็นคนขี้น้อยใจเหมือนผู้หญิงนะ
มันอยู่กันแล้วมีแต่ความทุกข์ลองคิดดู แต่ถ้าหากฝ่ายชายมีความหนักแน่น
มีความใจเย็น มีความสามารถที่จะทำให้ผู้หญิงเกิดความรู้สึกมั่นคง
มีความอบอุ่นปลอดภัยได้
ชีวิตคู่ก็จะอยู่ในสมดุลเพราะว่าต่างฝ่ายต่างเสริมในส่วนที่ขาดให้แก่กันและกัน
หรือคิดในอีกทางหนึ่ง ถ้าฝ่ายหญิงไม่พิถีพิถันไม่ละเอียด มองไม่เห็นจุดเล็กจุดน้อยในชีวิตประจำวันที่ฝ่ายชายไม่ค่อยจะมี
ต่างฝ่ายต่างหละหลวมในการดำเนินชีวิตพร้อมๆ กันมันก็ไม่ไหว
มันเหมือนเอาเด็กมาอยู่ด้วยกัน
หรือว่าเอาคนที่ไม่มีความพร้อมจะสร้างบ้านสร้างเรือนมาอยู่อาศัยในใต้ชายคาเดียวกันนะครับ
ในฐานะของคนรักถ้าหากว่าเราคบกันเป็นแฟน
ยังไม่ได้เป็นสามีภรรยา คำว่าละเลยคนรักก็คือละเลยหน้าที่ของตนเองที่ควรจะเป็นไป
ถ้าหากว่าฝ่ายชายไม่พยายามหาจุดหมายของชีวิตให้ได้
ไม่พยายามที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวให้มีความมั่นคง
อันนั้นก็เรียกว่าละเลยในฐานะของคนรักตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ยังไม่ทันต้องไปใช้ชีวิตร่วมกัน
มันดูได้เลยถ้าฝ่ายชายยังไม่มีความมั่นคงในชีวิต
โอกาสที่จะไปรับผิดชอบหรือว่าไปเอาใจใส่ผู้หญิงมันแทบจะเป็นศูนย์เลย
ส่วนฝ่ายหญิงถ้าหากว่าไม่เอาใจใส่การบ้านการเรือน ไม่มีความละเอียดรอบคอบ
ไม่มีความพิถีพิถัน ไม่มีความสะอาด ไม่มีความดูแลเอาใจใส่สิ่งรอบตัว
บางทีอาจจะไม่มีคนทำหน้าที่ตรงนั้น
อีกคำถามหนึ่งก็คือเราจะทราบได้อย่างไรว่าไม่ได้เข้าไปยึดติดในตัวคนรัก
ถ้าในแง่ของพุทธศาสนาเราจะพูดกันในแง่ของการเจริญมรณสติ
คือมันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ยึดติดในแบบที่ว่าอยู่ๆ
ฉันไม่แคร์หรอกว่าเธอจะเป็นจะตายยังไง หรือว่าเธอจะทิ้งฉันไปเมื่อไร
ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย อยู่ๆ เราไปคิดเอามันไม่ได้
แต่ว่าพุทธศาสนายื่นข้อเสนอมาว่ามีวิธีหนึ่งที่เราจะไม่ยึดติดกันและกันมากเกินไปได้นั่นก็คือเจริญมรณสติ
แค่ว่าคุยกันเล่นๆ คุยกันง่ายๆ บ่อยๆ นะว่าถ้าใช้ชีวิตกันไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งถ้าหากว่ามีอันต้องล้มหายตายจากกันไป
อาจจะพูดเรื่องพินัยกรรม พูดเรื่องว่าถ้าป่วยจะให้ทำยังไง
ไปฝังที่ไหนอะไรแบบนี้นะคือคุยกันเล่นๆ แต่พอคุยกันเล่นๆบ่อยๆ
มันกลายเป็นความรู้สึกจริงๆขึ้นมาว่าวันหนึ่งเราสามารถที่จะตายจากกันได้
ขอให้มันติดอยู่ในใจเถอะว่าเราไม่ใช่จะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป
แค่นี้ก็เรียกว่าไม่เข้าไปยึดมากเกินไปแล้วตามแนวทางของพุทธศาสนา
มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะอยู่กับใครสักคนหนึ่งด้วยความพิศวาส
ด้วยความเสน่หา แล้วจะไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อเขาจะต้องล้มหายตายจาก
มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่มันเป็นไปได้ที่เราจะอาศัยกันและกันเป็นเครื่องฝึก
เป็นการพูดถึง
ถ้าสมมติว่าทั้งฝ่ายสามีภรรยาฝ่ายชายฝ่ายหญิงสนใจพุทธศาสนาด้วยกันทั้งคู่มันก็ง่ายหน่อย
มันมีศรัทธาตรงกัน พอมีศรัทธาตรงกันแล้ว พูดกันมันสามารถที่จะทำความเข้าใจได้
นี่ไม่ใช่เรื่องอัปมงคล นี่ไม่ใช่เรื่องของการที่จะมาสาปแช่งกัน
แต่เป็นเรื่องที่พุทธศาสนาสนับสนุนให้หมั่นระลึกทำให้เกิดการระลึกถึง
นั่นก็คือมรณสติ ถ้าหากว่าคนที่เรารักที่สุดปฏิบัติต่อกันอย่างดีทุกอย่าง
มีความพิศวาสมีความเสน่หาอะไรทุกอย่าง เรามาคุยเรื่องความตายกันได้บ่อยๆ
ตรงนี้ก็กลายเป็นเครื่องฝึกไป เป็นเครื่องฝึกให้ไม่ยึดติดสิ่งใดๆ ในโลก บุคคลใดๆ
ในโลกนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น