วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๓.๑๔ วิธีไม่ยึดติดคนรัก แต่ก็ไม่ละเลย?

ถาม : ควรใช้ชีวิตคู่อย่างไรถึงจะไม่ยึดติดในตัวคนรัก แต่ก็ไม่ละเลย?

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/ViCzvYhDRiw

ดังตฤณ: 
สำหรับคำว่ารักแบบไม่ยึดติดอาจจะเป็นคำพูดเท่ๆ เก๋ๆ มากกว่าที่จะเอามาใช้อธิบายภาวะทางใจในโลกความเป็นจริงได้ คือความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวก็เป็นอาการที่จิตยึดติดกับสิ่งที่เราชอบใจหรือบุคคลที่เราพิศวาสเสน่หาอยู่แล้ว ทีนี้ระดับความรักของแต่ละคนมันก็ไม่เท่ากัน บางคนบอกว่าฉันรักแบบไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไรมากมาย อันนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้พิศวาสไม่ได้เสน่หาคนรักของเรามากนักก็ได้ แต่ถ้าหากคนรักของเรามีแต่ความน่าพิศวาสน่าใคร่น่ารักน่าชื่นชมน่าคิดถึง ไม่มีข้อบกพร่องหรือว่าข้อติใดๆ อาการของใจที่พุ่งเข้าไปยึดแบบโลกๆ ด้วยอำนาจของกิเลสมันก็จะทำให้จิตมีอาการร้อยรัดเต็มที่ เต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย เป็นไปไม่ได้ที่ถ้าหากว่าเราอนุญาตให้ใจตัวเองผูกยึดอยู่กับใครด้วยความพิศวาสเชิงชู้สาวแล้ว จะรักแบบไม่ยึดติด

คำว่ารักแบบไม่ยึดติดน่าจะเป็นแค่ปรัชญา หรือคำที่เอาไว้พูดกันเล่นๆ มากกว่า ถ้าพูดถึงอาการทางใจ นี่เราพูดถึงเรื่องที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกความเป็นจริง ไม่พูดเอาหรู ไม่พูดเอาเท่ ทีนี้คำถามว่าหน้าที่ของคนรักควรจะมีให้กันอย่างไรถึงจะเรียกว่าไม่ละเลย? พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้นะครับ ท่านจะพูดถึงสามีภรรยาเลย ไม่พูดถึงแฟน สมัยก่อนไม่ค่อยคบกันเป็นแฟน ถ้าคบกันก็จองตัวกันเลย หมั้นหมายกันและแต่งงานกัน พระพุทธเจ้าท่านเลยไม่ได้มีธรรมะสำหรับฆราวาสที่เป็นแค่แฟนกันเฉยๆ แต่ท่านจะพูดถึงสามีภรรยากันเลย ก็ต้องดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน สามีในสมัยก่อนก็มีหน้าที่หาเงินเลี้ยงดูภรรยา แล้วก็ซื้อของให้ภรรยาตามที่ควรแก่ฐานะ ไม่ละเลยการเอาใจใส่ภรรยา ส่วนภรรยาก็ต้องดูแลปรนนิบัติสามีให้มีความสุขความสบาย มันแล้วแต่สังคมด้วย พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสถึงสังคมแบบสมัยพุทธกาล

ทีนี้ถ้าสมัยนี้ก็คือถ้าชายหญิงมีสิทธิ์เท่าเทียมกันตามกฎหมาย แล้วก็มีภาวะของความเสมอภาคระหว่างชายหญิง เป็นยุคที่ชายหญิงไม่มีเส้นแบ่งกัน ก็ควรที่จะรับผิดชอบซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ฝ่ายชายจะต้องซื้อของให้ฝ่ายหญิงเสมอไป ฝ่ายหญิงสมัยนี้ก็ซื้อของให้ฝ่ายชายได้ และถ้าเราพูดกันถึงสามัญสำนึก พูดถึงสิ่งที่มันควรจะรู้สึก ฝ่ายชายก็ควรที่จะเป็นที่พึ่ง ปกป้องดูแล เอาใจใส่กับความเป็นอยู่โดยทั่วไปของภรรยาในฐานะของหัวหน้าครอบครัว ส่วนภรรยาเองก็จะต้องมีความเอาใจใส่ดูแลชีวิตรายละเอียดที่ขาดไปของฝ่ายชาย ผู้ชายจะขาดเรื่องของความละเอียดรอบคอบหรือความพิถีพิถันในชีวิตประจำวัน ฝ่ายหญิงก็ควรที่จะเข้ามาชดเชย เข้ามาเสริมเติมให้ชีวิตของฝ่ายชายเต็ม ส่วนฝ่ายชายก็ควรที่จะมีความหนักแน่น เพราะบางทีเราก็ต้องยอมรับว่าฝ่ายหญิงจะมีความน้อยใจง่าย คิดมาก ฝ่ายชายก็ควรที่จะมาเสริมส่วนที่ฝ่ายหญิงขาดตรงนั้นไป

อย่างบางทีเรามักจะเถียงกันว่าฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงเมื่อเท่าเทียมกันแล้ว จะให้ชีวิตคู่มันเป็นยังไง เราเอาความเป็นจริงเถอะ เราเอาสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ กัน ถ้าฝ่ายชายเป็นคนคิดมาก เป็นคนขี้น้อยใจเหมือนผู้หญิงนะ มันอยู่กันแล้วมีแต่ความทุกข์ลองคิดดู แต่ถ้าหากฝ่ายชายมีความหนักแน่น มีความใจเย็น มีความสามารถที่จะทำให้ผู้หญิงเกิดความรู้สึกมั่นคง มีความอบอุ่นปลอดภัยได้ ชีวิตคู่ก็จะอยู่ในสมดุลเพราะว่าต่างฝ่ายต่างเสริมในส่วนที่ขาดให้แก่กันและกัน หรือคิดในอีกทางหนึ่ง ถ้าฝ่ายหญิงไม่พิถีพิถันไม่ละเอียด มองไม่เห็นจุดเล็กจุดน้อยในชีวิตประจำวันที่ฝ่ายชายไม่ค่อยจะมี ต่างฝ่ายต่างหละหลวมในการดำเนินชีวิตพร้อมๆ กันมันก็ไม่ไหว มันเหมือนเอาเด็กมาอยู่ด้วยกัน หรือว่าเอาคนที่ไม่มีความพร้อมจะสร้างบ้านสร้างเรือนมาอยู่อาศัยในใต้ชายคาเดียวกันนะครับ

ในฐานะของคนรักถ้าหากว่าเราคบกันเป็นแฟน ยังไม่ได้เป็นสามีภรรยา คำว่าละเลยคนรักก็คือละเลยหน้าที่ของตนเองที่ควรจะเป็นไป ถ้าหากว่าฝ่ายชายไม่พยายามหาจุดหมายของชีวิตให้ได้ ไม่พยายามที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวให้มีความมั่นคง อันนั้นก็เรียกว่าละเลยในฐานะของคนรักตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ยังไม่ทันต้องไปใช้ชีวิตร่วมกัน มันดูได้เลยถ้าฝ่ายชายยังไม่มีความมั่นคงในชีวิต โอกาสที่จะไปรับผิดชอบหรือว่าไปเอาใจใส่ผู้หญิงมันแทบจะเป็นศูนย์เลย ส่วนฝ่ายหญิงถ้าหากว่าไม่เอาใจใส่การบ้านการเรือน ไม่มีความละเอียดรอบคอบ ไม่มีความพิถีพิถัน ไม่มีความสะอาด ไม่มีความดูแลเอาใจใส่สิ่งรอบตัว บางทีอาจจะไม่มีคนทำหน้าที่ตรงนั้น

อีกคำถามหนึ่งก็คือเราจะทราบได้อย่างไรว่าไม่ได้เข้าไปยึดติดในตัวคนรัก ถ้าในแง่ของพุทธศาสนาเราจะพูดกันในแง่ของการเจริญมรณสติ คือมันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ยึดติดในแบบที่ว่าอยู่ๆ ฉันไม่แคร์หรอกว่าเธอจะเป็นจะตายยังไง หรือว่าเธอจะทิ้งฉันไปเมื่อไร ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย อยู่ๆ เราไปคิดเอามันไม่ได้ แต่ว่าพุทธศาสนายื่นข้อเสนอมาว่ามีวิธีหนึ่งที่เราจะไม่ยึดติดกันและกันมากเกินไปได้นั่นก็คือเจริญมรณสติ แค่ว่าคุยกันเล่นๆ คุยกันง่ายๆ บ่อยๆ นะว่าถ้าใช้ชีวิตกันไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งถ้าหากว่ามีอันต้องล้มหายตายจากกันไป อาจจะพูดเรื่องพินัยกรรม พูดเรื่องว่าถ้าป่วยจะให้ทำยังไง ไปฝังที่ไหนอะไรแบบนี้นะคือคุยกันเล่นๆ แต่พอคุยกันเล่นๆบ่อยๆ มันกลายเป็นความรู้สึกจริงๆขึ้นมาว่าวันหนึ่งเราสามารถที่จะตายจากกันได้ ขอให้มันติดอยู่ในใจเถอะว่าเราไม่ใช่จะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป แค่นี้ก็เรียกว่าไม่เข้าไปยึดมากเกินไปแล้วตามแนวทางของพุทธศาสนา

มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะอยู่กับใครสักคนหนึ่งด้วยความพิศวาส ด้วยความเสน่หา แล้วจะไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อเขาจะต้องล้มหายตายจาก มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่มันเป็นไปได้ที่เราจะอาศัยกันและกันเป็นเครื่องฝึก เป็นการพูดถึง ถ้าสมมติว่าทั้งฝ่ายสามีภรรยาฝ่ายชายฝ่ายหญิงสนใจพุทธศาสนาด้วยกันทั้งคู่มันก็ง่ายหน่อย มันมีศรัทธาตรงกัน พอมีศรัทธาตรงกันแล้ว พูดกันมันสามารถที่จะทำความเข้าใจได้ นี่ไม่ใช่เรื่องอัปมงคล นี่ไม่ใช่เรื่องของการที่จะมาสาปแช่งกัน แต่เป็นเรื่องที่พุทธศาสนาสนับสนุนให้หมั่นระลึกทำให้เกิดการระลึกถึง นั่นก็คือมรณสติ ถ้าหากว่าคนที่เรารักที่สุดปฏิบัติต่อกันอย่างดีทุกอย่าง มีความพิศวาสมีความเสน่หาอะไรทุกอย่าง เรามาคุยเรื่องความตายกันได้บ่อยๆ ตรงนี้ก็กลายเป็นเครื่องฝึกไป เป็นเครื่องฝึกให้ไม่ยึดติดสิ่งใดๆ ในโลก บุคคลใดๆ ในโลกนะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น