ถาม : คู่สามีภรรยาที่ฝ่ายหนึ่งเคร่งมาทางพุทธ
แต่อีกฝ่ายไม่นับถือและไม่มีความเชื่ออะไรเลย
เมื่ออยู่ด้วยกันก็เหมือนจะเริ่มไปกันคนละขั้ว
แบบนี้จะทำอย่างไรให้ครองคู่กันได้ตลอดรอดฝั่ง
หรืออย่างน้อยก็ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้คะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ?
ดังตฤณ:
เวลาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงคู่ครองที่มีความสามารถจะอยู่ร่วมกันได้
ไม่ว่าจะอยู่ร่วมกันไปตลอดรอดฝั่ง อยู่กันไปจนถึงขั้นถือไม้เท้ายอดทอง
กระบองยอดเพชร แล้วก็สามารถจะไปพบได้เจอกันในชาติหน้าอีก
พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสถึงองค์ประกอบสี่ประการ คือ จะต้องมีศรัทธาเสมอกัน
มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน
หมายความว่าอะไร? หมายความว่าข้อแรกนะ
ตัวศรัทธาหรือตัวทิศทางในการใช้ชีวิตจะต้องไปทางเดียวกันก่อน
ไม่ใช่มาปรับกันทีหลัง มันเป็นความสำคัญ
มันเป็นกำลังที่มีความสำคัญสูงสุดที่จะผูกยึดภาวะคู่
รักษาภาวะคู่ให้อยู่รอดตลอดรอดฝั่งทั้งชาตินี้และได้ไปเจอกันอีกชาติหน้า
ศรัทธาสำคัญที่สุด พระพุทธเจ้ายกให้เป็นอันดับหนึ่งเลย
การที่เราอาจจะไม่ได้ยินได้ฟังพระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงความสำคัญของศรัทธาไว้ก่อน
จะด้วยเหตุผลที่มีความพิศวาสกัน หรือว่าจะต้องถูกบังคับให้มาอยู่ด้วยกัน
ตรงนี้อยากให้มองเป็นข้อพิสูจน์ทางธรรมชาติ คือที่ไม่ใช่ไปยืนยันตามพระพุทธเจ้าพูดนะ
แต่บอกว่าเป็นข้อยืนยันตามธรรมชาติว่า หญิงชายจะครองคู่กัน สิ่งที่สำคัญที่สุด
สิ่งที่สำคัญสูงสุดคือศรัทธา
ถ้าหากว่าศรัทธาไม่ตรงกันแล้ว
จูนกันไม่ได้แล้ว มันก็เหมือนกับไม่สามารถเอาจิตมาจูนเข้าด้วยกัน
จิตสองดวงนี่นะมันมีความซับซ้อน มันมีช่องว่างเสมอ การที่จิตสองดวงจะจูนเข้ากันได้ติดก่อนอื่นเลยจะต้องมีศรัทธาที่เสมอกัน
หมายความว่าทิศทางของใจมันพุ่งไปทางเดียวกัน
อย่างคนที่ศรัทธาพระพุทธเจ้าด้วยกันก็จะพุ่งไปหาสวรรค์นิพพานด้วยกัน
คนศรัทธาในการฉ้อฉลคดโกง ก็จะพุ่งไปในทางที่เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางเหมือนๆกัน เป็นคนดีไม่ชอบ
ชอบที่จะไปหลอกลวงคนอื่นเขาอะไรแบบนี้ อันนี้เป็นตัวอย่างเลย
ถ้าศรัทธาไม่เสมอกัน
แล้วก็จะต้องมานั่งปรับศรัทธาให้เท่ากัน
พยายามจะโน้มน้าวแต่ละฝ่ายอีกฝ่ายให้มาเอาตามศรัทธาของตัว
มันยิ่งกว่าพยายามไปดัดไม้ที่แก่แล้วหรือว่าไปพยายามดัดเหล็กตรงให้มันกลับงอ
หรือดัดเหล็กงอให้เข้าที่เข้าทางกลายเป็นตรง มันเป็นไปได้ยากแต่เป็นไปได้
ไหนๆคือเราต้องมาอยู่กับศรัทธาที่ต่างกันแล้ว ทางที่เป็นไปได้ก็คือข้อแรกเลย
อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงศรัทธาคนอื่น แต่พยายามที่จะโอนอ่อนผ่อนตาม
ประนีประนอมแล้วก็นึกถึงหัวอกเขาหัวอกเรา ถ้าหากว่าเราอยากจะให้เขาเอาอย่างใจเรา
เราต้องนึกก่อนเลยว่าเราขอแค่ครึ่งเดียวของใจเรา
ในทางกลับกันถ้าเราโดนบังคับหรือกระทั่งโดนข่มขู่ว่าจะต้องเอาตามเขา เอาอย่างใจเขา
เราก็คิดว่าเราจะยอมสักครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน ยกตัวอย่างง่ายที่สุดนะ
ถ้าเขาชวนเราไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเขา
เราอาจจะประนีประนอมว่าโอเคไปแต่ตัวแต่ใจไม่ได้ไป
ใจเรายังอยู่กับโต๊ะหมู่บูชาที่บ้าน นั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเรา
นั่นคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเรา
ตัวเราไปอยู่ในที่ศักดิ์สิทธิ์ของเขาแต่ใจเรายังนึกถึงบทสวดอิติปิโสอยู่อะไรแบบนี้
ใจเรานี่มันไม่สามารถที่จะมีใครมาบังคับได้หรอก
เขาบังคับเราได้แต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ใจนี่ไม่มีใครในสามโลกมาบังคับได้
อาจจะสะกดจิตเราได้แป๊บนึง มาดลใจเราได้แป๊บนึงหรือมาบังคับข่มขู่ใจเราได้แป๊บนึง
แต่ไม่มีใครในสามโลกที่จะมาติดตามคอยบังคับบัญชาเราได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง มีแต่ตัวเราเท่านั้นแหละที่สามารถที่จะสั่งใจตัวเอง
ให้มันเป็นไปในทิศทางไหน ให้ศรัทธาอะไร พูดง่ายๆก็คือว่า
อันนี้ตอบคำถามสุดท้ายนะที่บอกว่า
อย่างน้อยขอให้อยู่กันได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ก็คือประนีประนอม
พบกันครึ่งทางนะครับ มันคงไม่มีคำแนะนำไหนที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว คือพูดเป็นกว้างๆ
พูดเป็นขอบเขตที่มีความเป็นไปได้ตามจริง
เราฝ่ายเดียวนี่มันไม่ได้หรอกมันต้องอาศัยความร่วมมือจากเขาด้วย
วิธีที่จะได้รับความร่วมมือจากเขาก็คือเราจะต้องมีเมตตาให้มาก
เรามีแนวโน้มที่จะโอนอ่อนผ่อนตามพบกันครึ่งทาง แล้วก็แผ่เมตตา มีแก่จิตแก่ใจที่จะผ่านความรู้สึกที่ปรารถนาดี
จริงใจให้กับเขา อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะรู้สึกว่าเราไม่มีความแข็งขืน
ความอึดอัดที่จะอยู่ร่วมกันมันก็น้อยลง
แล้วความรู้สึกอยากประนีประนอมตอบมันก็จะเกิดขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น