วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รักแบบผู้ให้ อย่างไรจึงไม่ทุกข์

คำถาม : ถ้าความรักคือการให้ ต้องฝึกให้อย่างไร จึงจะไม่ทุกข์เพราะคนรับ ก็รับแบบไม่ให้เราเลย พูดง่ายๆว่าเราเป็นฝ่ายให้อยู่ฝ่ายเดียว

ดังตฤณ : ความรักที่จะไม่ก่อให้เกิดทุกข์นี่นะ จะต้องเป็นความรักในลักษณะที่จิตใจมีการเปิดมีการแผ่ มีกระแสของความสุขรินออกมาก่อน รินนำออกมาก่อน ไม่ใช่ฝืนใจให้ความรัก

การฝืนใจให้ความรักนี่ เป็นลักษณะหนึ่งของคนที่มีความคาดหวังอยู่ มีความคาดหมายว่า ความรักที่ให้ออกไป จะต้องได้รับการสนองตอบกลับมา

แต่ความรักในลักษณะของเมตตาแบบพุทธนี่ จะเป็นความรักในลักษณะ... สังเกตที่ใจก่อนก็แล้วกัน การเปิดออกไป แผ่ออกไป รินความสุขออกไป โดยไม่ได้หวังว่าจะให้จิตมันหวนกลับคืนมา ลองสังเกตนะ ถ้าหากว่าคุณมีความสุขอยู่ อาจจะจากการสวดมนต์ อาจจะจากการใส่บาตรพระ หรือว่าอาจจะไปสงเคราะห์เด็ก ลักษณะของจิตมันจะมีการแผ่ออกไปแล้วไม่ม้วนกลับ มันมีการแผ่ มันมีการขยายออกไป ปราศจากการที่เราจะมีความรู้สึกดึงคืนกลับมา

แต่ถ้าหากว่าเราเกี่ยวข้องกับคนในครอบครัว จะเป็นพ่อแม่พี่น้อง หรือว่าจะเป็นแฟน หรือว่าจะเป็นเพื่อนสนิทอะไรก็แล้วแต่ ความรักที่เราให้ออกไปนี่นะ มันจะเป็นลักษณะของการแผ่ออกไป แล้วม้วนกลับมานะ 
เหมือนกับบูมเมอแรง ถ้าหากว่าเรามอบความรักให้ใครไป ลักษณะของใจนี่ มันจะไม่เปิดออกไปแบบเต็มร้อย มันจะมีลักษณะครึ่งๆกลางๆ ด้วยความรู้สึกคาดหวัง หรือด้วยความรู้สึกว่า ถ้าเราให้เขาไปแค่นี้ เขาจะเห็นกำลังใจของเราที่ให้เขาไปไหม หรือว่าถ้าให้เขาไปแล้ว เขาจะเหลิงไหม หรือว่าให้เขาไปแล้ว เขาจะเกิดความรู้สึกว่าเรายอมเขาทุกอย่าง เสียเปรียบไปทุกอย่าง แล้วเขาจะต้องเป็นฝ่ายได้เปรียบอะไรต่อมิอะไรต่างๆนานา

ลักษณะของความคิดหรือว่าจิตที่เพ่งเล็งในการได้คืนนี่ เป็นลักษณะของจิตที่ให้ความรักไม่เต็มที่ ให้ไปแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งมีความคาดหวังในการรักตอบ

เพราะฉะนั้นวิธีฝึกนะครับ ง่ายๆเลย สังเกตเล็งเข้าไปที่กระแสของใจนี่แหละ เวลาที่ให้อะไรกับใครไป หรือว่าเรานิยามความรู้สึกของเราว่าเป็นความรักนี่ ความรักชนิดนั้น มันให้ออกไปแค่ครึ่งๆกลางๆ หรือว่าแผ่ออกไปแบบไม่มีประมาณ

สังเกตได้ง่ายๆเลยนะ ตอนที่แผ่ออกไปแบบไม่มีประมาณ ใจมันจะสบาย และไม่ติดค้าง มันจะรู้สึกว่าให้ไปแล้วไม่นึกถึงหน้าของผู้รับ ไม่นึกถึงผลตอบแทนที่เราจะได้รับกลับมา แม้กระทั่งความรักที่เท่ากัน หรือว่าจะเป็นความผูกมัดอะไรก็แล้วแต่นะ ใจมันจะไม่เล็งอยู่ที่หน้าของเขา แต่ใจของเราจะอยู่กับความรู้สึกทางใจ กระแสทางใจที่มันออกไปแล้วมันมีความสุขจริงๆ นั่นแหละ ลักษณะของจิตแบบนั้น เป็นจิตของผู้ที่แผ่เมตตาเป็น

ผู้ที่เมตตาเป็น ก่อนอื่นก็ต้องมีทุน ทุนคือการทำทาน รู้จักให้ทานโดยไม่หวังผลตอบแทน เรียกว่า รู้จักในการให้เปล่า

ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุดนะ ถ้าหากว่าเราเคยเห็นหมาแมวน่าสงสาร แล้วเรามีเศษอาหาร หรือมีน่องไก่ มีอะไรที่เรากินทิ้งๆขว้างๆแล้วนี่ แล้วอยากให้มัน นี่เรียกว่าให้เปล่า ใจในลักษณะนั้น พอให้เสร็จ จะไม่นึกถึงหมา ไม่นึกถึงแมว แต่จะนึกถึงแต่ความสุข ความอิ่มที่ใจของเรา ที่มันกำลังเต็มตื้นอยู่นะครับ ลองสังเกตดูก็แล้วกัน

ถ้าหากว่าช่วงแรกๆยังทำไม่ได้ ไม่ต้องฝืนนะ ไม่ต้องไปพยายามสร้างกระแสของความรู้สึกเมตตาอย่างไม่มีประมาณขึ้นมา แต่ให้หัดสังเกต สังเกตไปนะครับ ซึ่งวิธีสังเกตนี่ต้องใช้ของจริง ต้องออกไปให้ของจริง จะเป็นหมาเป็นแมว หรือว่าจะเป็นเด็กอนาถา จะเป็นคนในสถานสงเคราะห์คนชรา หรือแม้กระทั่งเป็นวัดที่เรารู้สึกว่าไม่มีชื่อเสียง แต่เราอยากไป เพราะว่าอยากให้พระมีของฉัน ของขบฉัน ของใช้ปัจจัยสี่นะครับ เพราะว่าไม่ค่อยมีใครมาถวายกัน อะไรแบบนี้นี่ คือแบบที่เป็นลักษณะจิตให้เปล่านะครับ

และลักษณะจิตให้เปล่านี่ จะสาธิตให้คุณได้เห็นตัวอย่างของจิตที่มีเมตตาแบบแผ่ไปแล้ว ไม่ม้วนคืนกลับมานะครับ

รับฟังไฟล์เสียงได้ที่ : youtu.be/16IX7LI004w   

﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。

กลับไปหน้าคำถามวันที่ออกอากาศ http://bit.ly/19AOFeF
สารบัญหมวดตามวันที่ออกอากาศ  http://bit.ly/11fZM5O
สารบัญหมวด                                http://bit.ly/14wgP50

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น