ถาม : คนที่มีบุญเรื่องความรักเนี่ย เขาทำบุญมาอย่างไรคะ ?
พอดีเคยได้ยินมาว่า มีคนทำบุญเรื่องความรักมาดีมากๆ ซึ่งก็เพิ่งรู้ว่ามีอยู่จริงๆ แล้วบุญประเภทนี้มันส่งผลอย่างไรบ้างกับเจ้าของบุญ มันใช่ว่า พอรักใครก็จะมีความรักที่สุขสมหวังไปซะทุกทีรึเปล่า?
พอดีเคยได้ยินมาว่า มีคนทำบุญเรื่องความรักมาดีมากๆ ซึ่งก็เพิ่งรู้ว่ามีอยู่จริงๆ แล้วบุญประเภทนี้มันส่งผลอย่างไรบ้างกับเจ้าของบุญ มันใช่ว่า พอรักใครก็จะมีความรักที่สุขสมหวังไปซะทุกทีรึเปล่า?
คนมีบุญเกี่ยวกับเรื่องความรักจริงเนี่ยนะ
ไม่ใช่มีบุญแบบเปรอะนะ แต่จะเป็นบุญชนิดที่เจาะจง
เรื่องความรักระหว่างชายหญิงจะเป็นเรื่องเจาะจง ถ้าหากว่าผูกบุญกันมานะ แล้วมีวาสนาได้พบกันในชาติปัจจุบัน
ก็จะมีความรักที่ค่อนข้างจะ เหมือนกับอย่างที่เขาว่ากันว่า
โรยอยู่ด้วยกลีบกุหลาบนะ เส้นทางเนี่ยจะราบรื่น แล้วก็มีความสุข มีความหวานชื่น
ตั้งแต่เริ่มต้นไปเลยนะ ใครต่อใครเห็นแล้วก็ แหม คู่นี้เนี่ย รู้สึกดีจัง
เห็นคู่นี้ไปด้วยกัน ไปไหนด้วยกันแล้วพลอยมีความรู้สึกตามไปด้วย
ไม่มีใครอยากจะมาแย่งชิง ไม่มีใครอยากจะอิจฉาริษยา อะไรแบบนั้น
เนี่ยเป็นเรื่องที่ว่า ถ้าทำบุญมาด้วยกันจริงๆเนี่ยนะ
ลักษณะของบุญจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะมนุษย์หรือเทวดา พลอยเอออวย
เหมือนกับพลอยชื่นมื่นไปด้วย
ทีนี้ถ้าถามว่า ทำบุญเรื่องความรักมาดีมากๆเนี่ย
เขาทำกันอย่างไร ก่อนอื่น เราพูดในมุมกว้างก่อนก็แล้วกันว่า คนที่เกิดมาเนี่ยนะ
มีแต่ใครต่อใครรักใคร่ แล้วก็เหมือนกับให้ความรัก
ไม่ใช่ความรักในแบบที่จะต้องเป็นแบบเชิงชู้สาวอย่างเดียวนะ แต่ให้ความรัก
ความเมตตา ความอยากจะอุดหนุน อุปถัมภ์ค้ำชู หรือว่าอยากจะทำอะไรให้อย่างนี้เนี่ยนะ
คนประเภทนี้จะเคยช่วยเหลือคนอื่นไว้มาก อยากให้คนอื่นมีความสุขไว้มาก
คือไม่ใช่อยากแต่ปาก ไม่ใช่นักท่อง สัพเพ สัตตา อเวราโหนตุนะ แล้วไม่ทำอะไรเลย
ไม่ใช่อย่างนั้นนะ แต่เป็นคนที่มีจิตใจประมาณว่า เห็นใครตกทุกข์ได้ยากจะทนอยู่ไม่ไหว
จะต้องปรี่เข้าไปช่วยนะ หรือว่าไอ้ที่เป็นภาระรับผิดชอบ ภาระรับผิดชอบของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็นคนสนิทหรือว่าเป็นลูกหลาน
ถ้าหากว่าตัวเองจะต้องดูแลเอาใจใส่แล้วเนี่ย ถึงเวลาที่สมควรจะต้องดูแลเอาใจใส่แล้ว
ก็จะทำเต็มที่ ไม่มีการเกี่ยงงอน ไม่มีการปล่อยทิ้งปล่อยขว้างอะไรแบบนั้น
แล้วก็นอกจากนั้นที่สำคัญเลยก็คือ คำพูด จะเลือกคำพูดที่ไม่ทำให้ใครเจ็บใจ
มีแต่คำพูดที่จะทำให้ใครต่อใครเกิดความรื่นเริง เกิดความเอ็นดูรักใคร่
แล้วก็ประสานสามัคคีระหว่างหมู่เหล่า ไอ้ตรงนี้สำคัญเลย
คือถ้าหากว่าเป็นพวกชอบนินทา พวกพอตกกลางวันขึ้นมา ไปพักจากการงาน
แล้วไปนั่งสุมหัวนินทากันเนี่ย เลิกหวังได้เลย เกิดชาติหน้าที่จะมามีคนรักใคร่
หรือว่าอยากจะมาพูดดี ไม่อยากจะนินทาลับหลัง อะไรแบบนี้เนี่ยนะ เลิกหวังไปได้เลย
เพราะว่าจะเข้ากลุ่ม เข้าเหล่าคนธรรมดา ที่ยังไงก็จะต้องโดนหมั่นไส้บ้าง
โดนเกลียดขี้หน้าบ้าง หรือว่าพอเดินลับหลังนิดเดียว มีเสียงตามมา
โดยที่ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง อะไรแบบนี้ อันนี้ก็เรื่องธรรมดาชาวโลกเขา
ถ้าหากว่าคนที่มีบุญ ที่จะทำให้คนอื่น มีความเมตตามีความรักมากๆ ส่วนใหญ่แล้วเนี่ยนะ
สำคัญเลยตรงนี้ก็คือว่า จะพูดถึงคนอื่น พยายามพูดถึงคนอื่นในด้านดี
แล้วก็ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่พูดถึงเขาในแง่เสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
จู่ๆจุดชนวนขึ้นมา จุดประเด็นขึ้นมาเป็นฆ้องที่ดังเองเนี่ย จะไม่มี
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมะของบัณฑิต ก็คือว่า
ถ้าจะต้องกล่าวติเตียน หรือว่ามีการจะต้องพูดถึงข้อเสียหายของผู้อื่นเนี่ย
ก็จะพูดแบบรวบรัด แต่ถ้าจะพูดถึงข้อดี จะพูดถึงข้อที่น่านิยมชมชื่นของใคร
ก็จะพูดเต็มที่ ลักษณะของคนที่จะเป็นที่รัก ลักษณะการทำ ลักษณะการพูด
ถ้าหากว่ามันดีแล้ว อันนั้นก็เป็นประกันได้ระดับหนึ่ง ยังไงๆเนี่ยจะเป็นที่รักแน่
แต่ที่จะประกันได้ยิ่งกว่านั้น ก็คือว่า
จะต้องเป็นคนมีความคิดในเชิงเมตตาจริงๆด้วย พูดง่ายๆว่ามีใจจริง
ที่จะคิดในทางดีกับคนอื่น อย่างที่เขาเรียกว่าเป็นนักแผ่เมตตานั่นแหละ
นักแผ่เมตตาที่แท้จริง ไม่ใช่คนที่เล่นสมาธิ หรือสวดมนต์ แล้วก็มานั่งสัพเพ สัตตา
อเวราโหนตุนะ พวกนั้นบางที ส่วนใหญ่ผมว่าเกินครึ่ง ตีให้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เลย
เป็นพวกที่ไม่ได้มีเมตตาจริง คือเมตตาหลังสวดมนต์เนี่ยนะ ไม่ใช่เมตตาจริง
เมตตาจริงเนี่ย เอาแค่ว่า พยายามที่จะมองคนอื่นในด้านดี มองในทางที่จะทำให้มีไมตรีจิตต่อกัน
ซึ่งเห็นไหมมันทำยากนะ มันไม่ใช่มาทำกันหลังสวดมนต์นะ แต่ต้องทำกันทั้งวัน
ต้องมองใครต่อใคร ด้วยความไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ไม่มองแบบแบ่งเขา แบ่งเรา
แบ่งวรรณะ แบ่งชนชั้น คือเมตตาเสมอกันในฐานะเพื่อนร่วมโลก
ปฏิบัติตนต่อกันเนี่ยเหมาะสมต่อฐานะ คือ ถ้าคนใช้ก็คนใช้
ถ้าหากว่าเป็นคนที่เป็นเจ้านาย เราก็ปฏิบัติแบบลูกน้องที่มีต่อเจ้านาย
แต่ว่าจิตใจมีเมตตาเสมอกัน คือปรารถนาให้การปรากฏตัวของเรา คำพูดของเรา
หรือแม้แต่กระแสจากจิตใจของเราเนี่ย ทำให้ผู้อื่นมีความรู้สึกดี
มีความรู้สึกเป็นสุข ถ้าเรายิ่งมีความสุขได้จริงๆ แล้วสามารถเผื่อแผ่ความสุข
ไปให้คนใกล้ตัว คนรอบตัว หรือคนไกลตัวก็ตาม อย่างนี้เรียก มีเมตตาจริง ถ้าหากว่า
มีเมตตาออกมาจากระดับของจิตใจ มีความคิดอยากจะให้ใครต่อใครมีความสุขจริงๆ
เกิดชาติหน้าฉันใดนะ กระแสความรักจะพุ่งเข้าหาอย่างท่วมท้นเลย ค่าที่เคยให้ความสุขกับคนอื่นไว้มาก
ค่าที่เคยอยากจะทำให้คนอื่นเขาได้ดิบได้ดี ไม่พูดถึงใครในทางที่เขาจะต้องเสียหาย
ไม่ทำกับใคร ในทางที่จะเบียดเบียนให้เขาเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ
อย่างนี้เกิดมาเนี่ย มันจะมีคนรักเลย อันนี้ว่ากันถึงความรักในวงกว้าง
ซึ่งมีความหมายต่อยอด ไปถึงขั้นของความรักในชายหญิงด้วย
เพราะถ้าหากว่า เราไม่มีรัศมีความรัก
ในแบบที่คนจะมาชื่นชมนิยมตัวตน พูดง่ายๆว่า มาจากข้างใน
ถ้าเขาไม่ได้ชอบเราออกมาจากข้างใน อย่างมากที่สุด ก็จะมีเสน่ห์ที่ภายนอก
ที่ดึงดูดในเรื่องทางเพศ ที่ดึงดูดในเรื่องของอยากจะกรี๊ด อยากจะแห่แหน
อะไรแบบนั้น ซึ่งถ้ามารู้จักตัวจริงๆ ไอ้กระแสความเป็นเราจริงๆ
มันไม่ใช่อะไรที่มันน่ากรี๊ด เขาก็จะกรี๊ดอีกแบบหนึ่ง คือ กรี๊ดใส่
ไม่ใช่กรี๊ดเรียก แต่กรี๊ดไล่ ถ้าหากว่ามองดูในความเป็นจริง
คนส่วนใหญ่จะมองอย่างนี้นะ พวกดารา พวกนักร้องอะไรอย่างนี้เนี่ย
ที่มีคนไปกรี๊ดกันเยอะๆ จะมองว่าอย่างนั้นทำบุญมาเรื่องความรักดี แต่จริงๆไม่ใช่นะ
คือบางคนเนี่ย ในแง่ของความรักจริงๆ ที่มีกับคนรอบตัว
ที่มีกับคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตเนี่ย ไม่ดีเอาซะเลย มีคนรักทั่วประเทศ
ซึ่งเป็นคนที่ไกลตัว ไม่ใช่คนที่จะมีอิทธิพลจริงๆกับชีวิต
ไอ้คนที่ใกล้ตัวซึ่งมีอิทธิพลจริงๆกับชีวิต กลับทำให้รู้สึกแย่
เพราะว่าเราไปทำให้เขารู้สึกแย่ก่อน คือไม่สามารถรักษาน้ำใจคนใกล้ตัวเอาไว้ได้
อย่างนี้ไม่เรียกว่ามีบุญทางด้านความรัก คนมีบุญทางด้านความรักเนี่ย จำไว้เลยนะ
ดูจากความรักที่อยู่รอบตัว ที่อยู่ใกล้ตัว อย่าไปดูความรักที่อยู่ไกลตัว อย่าไปดูความรักที่มีใครต่อใครมามอบดอกไม้ให้
มีใครต่อใครมาแสดงความชื่นชม อะไรแบบนั้นไม่ใช่ของจริง เป็นของหลอกตา
ของจริงๆที่มันจะรู้ได้ด้วยใจ มันต้องคนใกล้ตัว ถ้ารักษาของคนใกล้ตัวเอาไว้ไม่ได้
นั่นถือว่าอาภัพรัก แล้วคนนะ ถ้าบอกว่า ฉันจะดีกับคู่ชีวิตของฉันเท่านั้น สามีหรือภรรยาของฉันเท่านั้น
นอกนั้นฉันไม่สน ประเภทนี้มันเห็นแก่ตัว
ไม่สามารถรักษาภรรยาหรือว่าสามีไว้ได้จริงหรอก คือมันอาจจะอยู่ทู่ซี้กันไป
ทนๆกันไป จริงๆแล้วเนี่ย คนเห็นแก่ตัวนะ จำไว้เลยนะ ถ้าไม่มีน้ำใจ
มันไม่สามารถรักษาความรักไว้ได้ ถึงแม้ว่าจะหน่วงเหนี่ยวคนรักไว้ได้
แต่จะไม่มีทางรักษาความรักไว้ได้เลย
สรุปแล้วนะ
ตัวบุญที่จะทำให้เป็นที่รัก ก็คือ มีกาย วาจา และใจ ในทางที่เป็นเมตตา
ไม่เบียดเบียนใครต่อใครเขานะครับ ที่จะสุขสมหวังไปทุกเรื่องเนี่ย มันไม่มีหรอก
ไอ้ความรักแบบนั้นเนี่ยนะ ส่วนใหญ่แล้ว ก็จะต้องเจอกับเนื้อคู่ คำว่าเนื้อคู่
โดยความหมายของพุทธศาสนาก็คือว่า เป็นผู้มีการทำบุญมาด้วยกันแต่เก่าก่อน
แล้วก็มาเกื้อกูลกันในปัจจุบัน โดยมีบารมีคือ ศรัทธา ศีล จาคะ และ ปัญญา เสมอกัน
อันนี้ผมพูดบ่อยๆ ถ้ามองในแง่ที่ว่าเราเคยทำในเรื่องของศรัทธา ศีล จาคะ กับปัญญา
มากับใครบ้าง มันเยอะ แต่ว่าคนที่เจอกันในปัจจุบัน แล้วทำกันมามากที่สุดนั่นแหละ
อันนั้นแหละจะชนะ แล้วก็จะสามารถอยู่ด้วยกันตลอดรอดฝั่งได้นะ
ถ้าหากว่าคนที่เคยทำมาด้วยกันแล้วจริงๆ มีบารมีเสมอกันทั้ง ๔ ประการนี้แล้วเนี่ย
ส่วนใหญ่จิตมันจะจูนตรงกันได้ง่าย แล้วก็มีใจที่จะชักชวนให้เติมบารมี
ทั้งทางศรัทธา ศีล จาคะ และ ปัญญา ต่อๆไปด้วย ศรัทธา เอาง่ายๆก็คือ
ศรัทธาในสิ่งดีงามเดียวกัน เหมือนไปทางเดียวกัน กำหนดทิศทางไปทางเดียวกัน
ศีลก็คือความสะอาดของใจ ถ้าหากว่าคนชอบสะอาดเนี่ย มันก็คงต้องรักคนสะอาดด้วยกัน
ไม่ชอบคนสกปรก ถ้าพูดถึงจาคะก็คือ ความมีน้ำใจ มีน้ำใจต่อกันและกัน
และก็มีน้ำใจต่อคนอื่นรอบข้างนะครับ ถ้าพูดถึงปัญญา
ก็หมายถึงการที่คุยกันรู้เรื่อง สามารถที่จะปรับทุกข์กันได้ ไม่ต้องมาอธิบายกันมาก
พูดคำนึงต้องอธิบายสิบคำอะไรแบบนั้น ถ้าแบบที่ว่าคุยกันไม่รู้เรื่องเนี่ย
ไม่สามารถที่จะอยู่ด้วยกันได้นานหรอก เอาแค่การคุยยังคุยไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย
เรื่องอื่นก็คงไม่ไหวเหมือนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น