วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๓.๒๘ แบบไหนถึงเรียกว่าผิดศีลข้อกาเมฯ?


ถาม : ได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งอย่างไม่น่าจะเจอได้ (ทำงานด้วยกัน ๓ วัน) เขาเป็นชาวต่างชาติและมีครอบครัวแล้ว เราก็ไม่ได้รักกัน แต่เรียกว่าถูกใจกันอย่างประหลาด แม้จะเป็นเวลาอันสั้น?

รับฟังทางยูทูบ :  http://youtu.be/xkIsCOGtLB8

ดังตฤณ: 
อันนี้ก็เป็นเรื่องจริงนะครับ คือคนบางคน ถ้าหากว่าเคยมีอดีตสัมพันธ์กันมาอย่างลึกซึ้ง อย่างเหนียวแน่น อย่างแน่นแฟ้น เคยทำบุญร่วมกันมามากๆเนี่ย วันเดียวเท่านั้นเนี่ยสามารถจำกันไปได้ทั้งชีวิต แต่บางคนอยู่ร่วมกัน ๓ ปี ๕ปี แบบผิวๆเผินๆ อยู่กันไปแกนๆ อยู่กันแบบที่ว่า ต่างฝ่าย ต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันอะไรแบบนี้ พอ ๑๐ ปีผ่านไป ลืมแม้กระทั่งชื่อที่เคยเรียกกันอยู่ทุกวัน เพราะตอนเรียก เรียกกันไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับการเรียก หรือชื่อที่เรียกไม่ได้มีความหมายต่อใจเราเลย สิบปีต่อไปเนี่ย ลืมชื่อ ลืมหน้า แล้วก็เจอกันอีกทีเหมือนคนแปลกหน้ากันไปเลย ไม่มีความรู้สึกผูกพันแม้แต่นิดเดียว นี่ก็คือเรื่องของการที่เราเคยดีต่อกันมาแค่ไหน หรือว่าเฉยๆต่อกันมาเพียงใด

เอาล่ะ คำถามต่อนะ บอกว่า

ถาม : หลังจากเค้ากลับประเทศไปได้ ติดต่อกันช่องทางเดียวคืออีเมล์ แบบไม่ปะติดปะต่อ ไม่เกิน ๔-๕ ประโยค อาทิตย์ละ ๑-๒ เมล์ เนื้อหาก็ไม่พ้นไปจากวันนี้ใครทำอะไรบ้าง ขอให้อีกฝ่ายดูแลตัวเองให้ดี มี ๒ ครั้ง ที่เขาบอกว่า คิดถึง คือมีความก้ำกึ่งระหว่างเพื่อน กับคนที่รู้สึกนึกถึงกันเป็นพิเศษ แต่ไม่เคยจีบกัน เรารู้ใจตัวเองดีว่า ยังไงก็ไม่มีทางแย่งเขามาแน่ แต่ก็ไม่อยากให้เขาหายไปจากชีวิต อยากถามว่า ถ้าเรายังติดต่อกับเขาต่อไป โดยพยายามลดความรู้สึกของตัวเอง ให้เป็นเพื่อนให้ได้นั้น ในระหว่างนี้เราผิดศีลข้อ ๓ ไหมคะ และควรวางใจอย่างไรกับคนๆนี้

ดังตฤณ: 
ก็เป็นเรื่องดีที่ไถ่ถามกันนะ เพราะว่าในปัจจุบันมีโอกาสเยอะ ที่เราจะได้คบหา แล้วก็รู้สึกใกล้ชิดเกินไป กับคนที่มีเจ้าของแล้วนะ ก็เป็นข้อสงสัยว่า เราจะเป็นผู้มีศีลสะอาดอยู่รึเปล่า ก่อนอื่นใดเอาขอบเขตของเรื่องศีลกันก่อน มาทำความเข้าใจว่าที่จะผิดศีล ที่จะขาดทะลุนะ มันต้องมีการมีเพศสัมพันธ์กัน อย่างในพระวินัยเนี่ย ท่านแจกแจงไว้ชัดเจนละเอียดเลย จะต้องมีมรรค เข้าถึงมรรค คือ จะต้องมีการเอาอวัยวะเพศเข้าถึงกัน อย่างนั้นถึงจะเรียกว่า เป็นการผิดศีล แบบเข้าขั้นร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มที่ หรือแม้กระทั่งอาศัยแค่ปากเนี่ย ท่านก็ถือว่าละเมิดร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เนี่ยถ้าเป็นพระก็เรียก ปาราชิก คือขาดจากความเป็นพระ ชนิดที่ไม่สามารถกลับมาเป็นพระได้อีก ไม่สามารถกลับมาบวชได้อีก ที่ยกเรื่องวินัยพระมาเนี่ย มันเป็นตัวตัดสินได้ชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่าเส้นแบ่งระหว่างผิดศีล กับยังไม่ผิดศีลเต็มที่เนี่ย มันอยู่ที่ตรงไหน

ถ้าหากว่าแค่แตะเนื้อต้องตัว แม้มีความกำหนัดยินดี อย่างนั้นก็ยังไม่ถือว่าปาราชิก คือหมายความว่าศีลยังไม่ได้ขาด แต่ว่ามีความด่างพร้อย แม้กระทั่งว่า มีเจตนา มีเจตนาชัดๆว่า จะตกลงใจว่าจะมีเพศสัมพันธ์กัน แค่นั้นก็เรียกว่าด่างพร้อยแล้วนะ แต่ยังไม่ผิดศีล คือตัวเจตนา ตัวความตั้งใจ ตัวความพยายามที่จะทำเนี่ย เกิดขึ้นแล้ว มีการไปชวนจูงมือเข้าห้องกันแล้วแหละ แต่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์กัน อย่างนั้นก็ยังไม่ถือว่าศีลขาดทะลุ

อันนี้ขอพูดเป็นประเด็นว่า ขอบเขตของศีลมันอยู่ตรงไหนนะครับ ตัวชี้เป็นชี้ตายว่า ผิดศีลไปแล้วหรือยัง อยู่ที่ตรงไหน เพื่อที่จะได้เกิดความไม่ต้องคาใจนะ ถ้ายังไม่มีเจตนาที่จะมีเพศสัมพันธ์กันเนี่ย ก็สบายใจได้ เพราะว่าตัวขอบเขตของศีล เขาห้ามกันที่วาจากับกาย ทางกายกับทางวาจา ถ้าหากว่ายังไม่มีความผิด ยังไม่มีความพลาด ยังไม่มีอาการที่ขาดทะลุใดๆนะ ก็ถือว่า ยังโอเค ยังเป็นผู้มีศีลอยู่ ใจเนี่ยจะคิดแค่ไหนยังไง ท่านไม่ว่าเลย

แต่ว่าลักษณะทางใจนั่นแหละ มโนกรรมนั่นแหละเป็นใหญ่ที่สุด ถ้าหากว่าเราไม่ระวัง ถ้าหากว่าเราเผอเรอ ถ้าหากว่าเราเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ไอ้เรื่องเล็กน้อยที่มันเกิดขึ้นทุกวันนั่นแหละ ในที่สุดมันจะรวมกันเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เรื่องใหญ่มันเกิดจากมโนกรรมนะ ไม่ได้เกิดจากมือไม้ ไม่ได้เกิดจากปาก ไม่ได้เกิดจากหัวหูนะ มันเริ่มต้นมาจากลักษณะที่เราคิด ลักษณะที่เราตั้งใจ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีกรรมชนิดไหนเลย ที่ไม่ตั้งต้นขึ้นมาจากใจ เมื่อใจเป็นใหญ่ เมื่อใจเป็นประธาน เราก็ต้องสอดส่องนิดนึงว่า ลักษณะที่เราคิด เรายอมให้มันเกิดขึ้นเนี่ย มันเลยเถิดมาถึงขั้นไหน

ผมขอแนะนำอย่างนี้สั้นๆนะ อันนี้บอกไว้หลายคนแล้ว ถ้าหากว่าเรารู้อยู่ว่า ตัวเองมีแก่ใจนะ แล้วยังคุย ยังขืนคุยกัน ตรงนั้นนะ มันเป็นรากของความผิด เป็นรากของความยุ่งยาก เป็นรากของความซับซ้อนในชีวิต เป็นรากของความสับสน เป็นรากของอะไรหลายๆอย่าง ที่สรุปแล้วเนี่ยมันไม่ได้มีความสุขหรอก ถ้ามีใจกับคนที่มีเจ้าของแล้วนะ ทางที่ดีที่สุดเนี่ย สำรวจใจตัวเอง ตอนไหนที่มีความรู้สึก ที่มันผิดจากเพื่อน มันผิดจากคนที่ห่างเหิน มันผิดจากคนที่แปลกหน้ากันเนี่ย ก็สมควรที่จะไม่พูด หรือพูดให้น้อยที่สุด เจอกันให้น้อยที่สุด

แล้วไม่ใช่เราจะคิดง่ายๆว่า มันไม่มีอะไรนี่ มันไม่มีถ้อยคำอะไร ที่จะบ่งบอกว่า เราจะไปเอาเขามา คือมันไม่ใช่อยู่ที่คำพูดนะ ความทุกข์เนี่ย ความทุกข์มันอยู่ที่ใจคิด ถ้าใจมันรู้สึกอยู่ รู้ตัวอยู่ และเห็นด้วยว่า เขาก็มีท่าที มีแนวโน้มที่จะรู้สึกแบบเดียวกับเรา อันนั้นนะ ใจมันเล็งตรงกันแล้ว คือบุญเนี่ยนะ บุญเก่าเนี่ย มันสร้างความซับซ้อนให้ชีวิตเราอย่างนี้แหละ เราคงเคยทำบุญร่วมกับเขามา หรือกระทั่งอาจจะเคยอยู่ร่วมกับเขามา ไม่ว่าจะในฐานะของพ่อแม่ พี่น้อง ปู่ย่า ตายาย หรือว่าเคยเป็นสามีภรรยากันมาก็ตาม แต่ชาตินี้ไม่มีสิทธิ์แล้ว เพราะเขามีครอบครัว มีเจ้าของ คำว่ามีเจ้าของก็คือ เราเนี่ยไม่มีสิทธิ์แล้ว หมดสิทธิ์แล้ว หมดสิทธิ์แม้กระทั่งว่า จะปล่อยให้ตัวเองเนี่ยนะ เผลอไปเรื่อยๆ แล้วก็มีความรู้สึกไปเรื่อยๆวันต่อวันว่า วันนี้จะคุยอะไรกันอีกไหม วันนี้เขาจะส่งมาไหม เราจะส่งไปหาเขาดีไหม ทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย ขอให้คิดเห็นใจตัวเองเถอะว่า ในอนาคตเมื่อสั่งสมความรู้สึกผูกพันเข้าไปมากๆ มันจะไม่มีทางที่จิตใจจะสงบสุขได้ ทางที่ดีเนี่ยไม่คุยเลยดีกว่า อันนี้คือวิธีที่ดีที่สุด

แต่ถ้าหากตัดใจไม่ได้จริงๆ ก็มีอีกวิธีนึงคือว่า เราต้องประเมินตัวเองอาทิตย์ต่ออาทิตย์ ว่ามันเขยิบใกล้เข้าไปรึเปล่า อีกนิดนึงรึเปล่า ถ้าหากว่ารู้ตัวเห็นตัวเองอยู่นะว่า แม้กระทั่งใจเนี่ย มันคืบคลานเข้าไปทีละนิดๆ มันไปผูกยึดกับเขา แล้วก็เหมือนกับมีเขาวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา มากขึ้นทุกทีเนี่ย ตัวนั้นแหละ ตัวตัดสินว่าเราเป็นทุกข์แล้ว ถึงแม้จะยังไม่ทำผิดศีลอะไรเลยก็ตาม ต้นเหตุของทุกข์ควรจะตัดไม่ใช่หรือครับ ถ้าหากว่าเรารู้ว่า นี่คือต้นเหตุของทุกข์ ก็อย่าไปเสี่ยง อย่าไปเอาใจเนี่ยไปเล่นกับทุกข์เลย เหมือนกับเราไม่ควรเอามือไปเล่นกับไฟนั่นแหละ

อันนี้ก็คือคำแนะนำที่คิดว่าครอบคลุมที่สุดนะครับ เพราะว่าปัจจุบันเป็นปัญหาของหลายๆคน เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวันเลย เนื่องจากวิถีชีวิตของเราซับซ้อนมากขึ้น ด้วยระบบอินเทอร์เน็ตเนี่ยแหละ มันคุยกันได้ง่าย มันติดต่อกันได้แค่ขยับนิ้วไม่กี่ครั้ง พิมพ์ไม่กี่คำ หรือว่าคลิกไม่กี่คลิกเนี่ย มันสามารถที่จะส่งใจถึงใจแบบเป็นรูปธรรมได้แล้ว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น