ถาม : ‘ทำยังไงจะกำจัดความคิดแย่ๆทิ้งไปได้?’
ดังตฤณ:
· ทำอย่างไรจะกำจัดความคิดแย่ๆในหัวทิ้งไปได้?
· ความคิดไม่ดีมาได้อย่างไร?
· คิดแค่ไหนถึงเรียกว่าเป็นบุญเป็นบาปติดตัวไปแล้ว?
· อาหารหล่อเลี้ยงของความคิดแย่ๆคืออะไร?
· หลักการหรือวิธีรับมือกับความคิดแย่ๆเฉพาะหน้าคืออย่างไร?
ทำอย่างไรจะกำจัดความคิดแย่ๆในหัวทิ้งไปได้?
คนยุคเราจะชอบคิดไม่ดีกันบ่อยๆ
โดยมันจะกลายเป็นคลื่นรบกวนจิตใจ ให้เกิดความรู้สึกแย่กับตัวเอง
หรืออย่างน้อยก็รำคาญคลื่นความคิดที่ว่านี้
ซึ่งแม้แต่คนที่ได้ชื่อว่าตัดสินใจจะเป็นคนเลวนะครับ ยังรำคาญเลย
ไม่ใช่ว่าต้องเป็นคนดีถึงจะรำคาญ
เพื่อจะ ‘รับมือ’ กับความคิดไม่ดีอย่างถูกต้อง
ก่อนอื่นคุณต้องไม่คิด ‘กำจัด’ มันทิ้ง เพราะความคิดเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้
และมันไม่เลือกเวลามาหาเรา เหมือนศัตรูที่ไม่บอกล่วงหน้าว่าจะเข้าโจมตีเมื่อไหร่
หรือปรากฏตัวในรูปแบบไหน การพยายามต่อสู้กับมัน ก็เหมือนกับการพยายามสู้กับสิ่งที่ไม่มีตัวตน
หรือนินจาล่องหนดีๆนี่เองนะครับ รบไปก็แพ้เปล่า
มาตรการรับมือที่ถูกต้องนะครับ
เราจะอาศัยหลักการบางอย่างที่ทำให้ความคิดที่เลวร้ายทั้งหลายเนี่ยมันแพ้ภัยตัวเอง
สาบสูญไปเอง โดยที่เราไม่ต้องออกแรงพยายามทำลายล้างมัน
และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือไม่ไปเผลอสร้างมันขึ้นมา
หรือป้อนอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตมันให้ยืดอายุออกไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ก่อนอื่น เราต้องตั้งโจทย์เป็นข้อๆ
ทั้งเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ครอบคลุมนะครับ
ตลอดจนรู้ขั้นตอนการรับมือเฉพาะหน้าอย่างไม่ผิดพลาดนะครับ
โจทย์ข้อแรกที่ต้องรู้ให้ได้ก็คือ...
ความคิดไม่ดีมาได้อย่างไร?
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญนะครับ
ตามหลักของ ‘ขันธ์ ๕’ ในพุทธศาสนาชี้ว่า เรามีหู มีตา รับภาพกับเสียง
ภาพเสียงเข้ามากระทบหูตาให้เกิดความรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์
จากนั้นจึงค่อยเกิดความจำตามมา แล้วก่อแนวโน้มที่จะคิดดีหรือคิดร้าย
นั่นหมายความว่า
ถ้าสุขทุกข์มีพลังหนักแน่น ความจำก็ฝังแน่น และโอกาสคิดดีร้ายก็แรงตาม
ความคิดไม่ดีเป็นฝ่ายลบ ฝ่ายร้าย
เพราะฉะนั้นก็ต้องสันนิษฐานว่า
สิ่งที่เรารับเข้ามาผ่านหูตาหรือการกระทบกระทั่งส่วนอื่นๆนั้นเป็นของไม่ดี
ไม่น่าชอบใจนะครับ ถึงเป็นต้นเหตุของความรู้สึกที่มันไม่ดีขึ้นมาได้
สัมผัสเนี่ยนะครับที่เข้ามากระทบเราเนี่ย พอปะทะกับเรา
แล้วจึงเกิดความรู้สึกเป็นทุกข์มาก เมื่อทุกข์มากก็ฝังอยู่ในความทรงจำแน่น
แล้วก็เกิดความคิดร้ายๆเป็นผลสืบเนื่องกันมา
ตัวอย่างการกระทบหูตาที่ชัดเจนนะครับ
ก็เช่นมีคนมาด่าเราตรงๆ หรือเราอาจจะไปดูหนัง ฟังเพลง
หรือไม่ก็คบกับคนพาลสันดานหยาบ
กระทั่งใจเราเนี่ยมันสั่งสมความรู้สึกเป็นทุกข์เข้ามาบ่อยๆ
ความจำจึงผุดขึ้นบ่อยตามนะครับ ที่มันแย่ๆเป็นความจำแย่ๆ อาจจะเป็นคำหยาบ หรืออาจจะเป็นไอ้ความคิดที่มันไปเพ่งโทษคนอื่นนะครับ
เพ่งโทษตามคนอื่นที่เค้ามาไกด์เราให้มองตามแนวทางที่มันมืดมน มืดบอด
หรือว่ามันเลวร้ายต่างๆนะครับ
หรืออีกทางนึงนะครับ
เราอาจจะเคยทำให้ใครเจ็บใจ มองใครไว้ไม่ดี จนสะท้อนให้เกิดความรู้สึกอึดอัด
คือพอไปมองเค้าไม่ดีเนี่ย มันสะท้อนกลับมาเป็นความรู้สึกอึดอัดในใจเราเอง
พอเกิดความรู้สึกอึดอันนั่นน่ะเป็นทุกข์แล้ว ยิ่งเป็นทุกข์รุนแรงกับตัวเองเท่าไหร่
มันก็จะยิ่งเกิดความจำแย่ๆฝังแน่นตามเข้ามาด้วย
แล้ววันดีคืนดีมันก็ผุดขึ้นมาในหัวเราเป็นคำหยาบ หรือคำด่า
หรือคำที่ไม่เป็นมงคลใดๆขึ้นมาได้นะครับ คือไปด่าคนอื่นเค้าไว้
หรือไปทำให้คนอื่นเค้ารู้สึกแย่ไว้
แค่รู้สึกแย่เนี่ยนะมันก็กลายเป็นอะไรที่เสียดแทงใจเราเองแล้วก็ผลิตคำพูดไม่ดีขึ้นมาในหัวเราได้
สรุปแล้วก็คือ
ที่มาที่ไปของความคิดไม่ดีหรือว่าคำหยาบในหัวนะครับ มันมีที่มาที่ไป
ไม่ใช่อยู่ดีๆเกิดขึ้นเองหรือว่ามีใครแกล้งนะครับ
โจทย์ข้อที่สองที่ต้องรู้ก็คือ...
คิดแค่ไหนถึงเรียกว่าเป็นบุญเป็นบาปติดตัวไปแล้ว?
ความคิดนี่นะครับ
ถ้ายังไม่เติบกล้าพอ ใจก็ยังไม่เปื้อนบาป ยังไม่มีบาปติดตัวไปให้ต้องชดใช้หรอก
ความรู้ข้อนี้นะครับจะช่วยให้หลายคนสบายใจขึ้นมาก
เพราะส่วนใหญ่อยู่ในระดับผุดความจำขึ้นมาลอยๆ ยังไม่ได้จงใจคิด
กรรมยังไม่ครบวงจรนะครับ
หลายคนไม่สบายใจที่ตัวเองคิดแย่ๆคิดไม่ดีเนี่ย
ก็เพราะว่ากลัวบาปกลัวกรรมมันมันจะติดตัวไปนั่นเอง
ถ้าหากว่ารู้แล้วว่าระดับความคิดไหนที่มันยังไม่ได้เกิดเป็นกรรมเป็นบาป ก็จะได้เกิดความสบายใจขึ้นมาแทน
ที่คิดไม่ดีแล้วเป็นบาป
ตัดสินกันที่มีความ ‘ยินดี’ ในความคิดนั้นเป็นอันดับแรก อันดับสองคือมีความ
‘หนักแน่นยั่งยืนที่จะยินดี’ ในความคิดนั้น และอันดับสุดท้ายคือ
‘ยินดีที่จะพูดและทำตาม’ ความคิดนั้น
หมายความว่าแค่คิดเฉยๆ ยังไม่ได้บอกว่าคุณเป็นยังไง
น่าทรมานใจกับความเป็นคนแบบนั้นแล้วหรือยัง
คุณต้องวนเวียนคิดอยู่นานพอนะครับที่จิตจะยึดความคิดนั้นว่าเป็นคุณจริงๆ
ถ้าเริ่มคิดร้ายขึ้นมา แล้วรู้สึกไม่ยินดี ไม่อยากให้อยู่ในหัวของเรา
อันนั้นไม่ถือว่าเป็นความคิดของเรา ยิ่งถ้าตั้งใจเด็ดขาดว่าจะไม่พูดแล้วก็ไม่ทำตามความคิดนั้นเป็นอันขาด
ก็ยิ่งชี้ชัดนะครับว่า อำนาจความคิดไม่สามารถครอบงำคุณได้
คุณไม่มีทางเป็นไปตามอำนาจความคิดที่พยายามครอบคุณแน่ๆ สบายใจได้เลยนะครับ
คุณยังไม่ได้ทำบาปหรอก
โจทย์ข้อที่สามคือ…
อาหารหล่อเลี้ยงของความคิดแย่ๆคืออะไร?
ทุกสิ่งที่มันมีตัวตนอยู่ได้เนี่ย
ก็ต้องอาศัยอาหารหล่อเลี้ยงนะครับ ไม่งั้นมันไม่มีทางที่จะมีตัวมีตนอยู่ได้
ความคิดเลวๆนั้นก็มีอาหารหล่อเลี้ยงเหมือนกันนะครับ ไม่แตกต่างกับสิ่งอื่นๆ
ความคิดแย่ๆมี ‘อาหารหล่อเลี้ยง’
อยู่ ๒ อย่างก็คือ
๑) มีใจ ‘ยินดี’ ไปกับมัน
ตกลงใจใช้ชีวิตตามความคิดนั้นๆ
๒) มีใจ ‘ต่อต้าน’
มากเกินไปจนเป็นทุกข์
ความทุกข์นั่นแหละคืออาหารล่อเลี้ยงความคิดที่ไม่ดีอย่างหนึ่งนะครับ
อย่างที่บอกแล้วว่าความทุกข์ที่แรงนั่นแหละเป็นตัวตอกย้ำความจำให้มันลึกลงไปในใจ
ไม่ใช่ถอนมันออกมาจากใจนะครับ
โจทย์ข้อสุดท้ายคือ…
หลักการหรือวิธีรับมือกับความคิดแย่ๆเฉพาะหน้าคืออย่างไร?
คุณต้อง ‘รับมือ’ กับความคิดแย่ๆด้วย
‘สติ’
และความหมายแท้ๆของสติก็คือ
การระลึกได้ตรงตามจริงว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในขณะนั้น
ไม่ใช่มันเกิดขึ้นก็ไปพยายามฝืนปฏิเสธ แกล้งหลอกตัวเองว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น
หรือมันดับไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ก็ไปพยายามทำให้มันดับนะครับ
มันเป็นความพยายามที่เกินความสามารถ เกินตัว เกินจริงนะครับ
แบบนั้นเนี่ยสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการเหนื่อยเปล่า ทุกข์มากขึ้นไปอีก
ถ้าไม่ต้อนรับ ไม่ต่อต้าน
แล้วจะให้ทำอย่างไร? ก็ให้ยอมรับตามจริงครับ
ยอมรับตามสภาพที่มันเกิด ไม่ไปต่อต้าน แล้วก็ไม่ไปพยายามทำลาย
การไม่พลอยยินดีไปกับมัน
ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ไปยินร้ายอะไรมากมายนะครับ
สักแต่ยอมรับไปตามจริงนั่นแหละครับที่เรียกว่ามีสติแล้ว
เพราะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆในขณะนั้นไง
เมื่อมีสติ ก็มีความสว่างนะครับ
เมื่อมีความสว่างมา ความมืดก็หายไป หรือค่อยๆเบาบาง เจือจางลงไปทุกที
หมายความว่าพอเกิดความคิดแย่ๆเสียดแทงจิตใจปั๊บ
คุณปลงใจยอมรับโดยดุษณีว่ามันเกิดขึ้น อย่าไปปฏิเสธว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น
คุณจะเห็นถนัดด้วยสติในขณะที่ยอมรับนั่นแหละว่ามันรู้สึกแย่ขนาดไหน ทรมานใจเพียงใด
และก็เวลาต่อมาคุณจะมีความสามารถที่จะดำรงสติอยู่ได้แล้วก็เห็นว่ามันแผลงฤทธิ์ไม่นานนะครับ
เดี๋ยวมันก็ค่อยๆอ่อนกำลังลงไป
โดยที่คุณยังไม่ได้ไปออกแรงผลักไสอะไรแม้แต่น้อยนะครับ
ด้วยความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการเห็นว่ามันมาเองได้
เดี๋ยวมันก็ไปเองได้อย่างนี้เองนะครับ พอบ่อยเข้า ใจคุณจะจำว่ามันไม่ใช่ตัวคุณ
และคุณจะไม่ยินดี ไม่ยินร้ายกับมันออกมาจากตรงกลางใจเลยนะครับ
ขอเพียงคุณฝึกรับมือกับความคิดแย่ๆเฉพาะหน้าได้บ่อยๆ
ในที่สุดก็จะกลายเป็นมีสติในระยะยาว แล้วก็กลายเป็นความสว่างรุ่งเรืองในระยะยาวตามไปด้วย
อันนี้ดูเหมือนง่ายนะครับ แต่ได้ผลจริงๆครับ ถ้าทำทุกครั้งนะครับ
ราตรีสวัสดิ์แล้วก็ฝันดีไปกับความเข้าใจที่ถูกต้องนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น