ถาม : ถ้าภรรยาไม่สนับสนุนการภาวนาแล้วเราขอเลิก
แต่เราจะรับผิดชอบโดยการแบ่งสมบัติให้ เราจะยังบาปไหม?
(ถาม
– ภรรยาผมไม่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรมของผมเลย
แถมบางครั้งยังแอนตี้ทางอ้อมด้วย ที่ไม่ทำตรงๆเพราะผมเคยขู่ว่าจะตกนรก ถ้าผมจะขอเลิกกับภรรยาจะบาปไหมครับ
แต่ผมยังรับผิดชอบโดยจะยกสมบัติให้ทั้งหมด แถมรายได้ของผมอีก ๗๕%
อยู่ได้สบายตลอดชีวิตเลยล่ะ จะมีกรรมมากไหม?)
ดังตฤณ : คือจะให้ผมบอกว่าจะสนับสนุน
หรือว่าพูดเป็นเชิงที่ว่าไม่เป็นไรก็คงไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของสามีภรรยานะครับ
ถึงแม้ว่าจะมีสื่อกลางเข้ามาเป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรม
คือมันไม่ใช่วิสัยที่ควรจะถามใครว่าเหมาะหรือไม่เหมาะนะครับ
แต่ผมบอกให้อย่างนี้ก็แล้วกันว่า อันนี้พูดไม่ใช่เฉพาะกรณีนี้
แต่พูดโดยทั่วไปเลยนะ การที่เรามีศรัทธาทางศาสนา ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาใดก็ตาม
ตัวนั้นเป็นทิศทาง เป็นหลักเลย เป็นตัวบอกว่าเราไปทางไหน
ถ้าหากว่าได้คู่ครองที่ไม่ได้ไปทางเดียวกัน มันยากเหลือเกิน
มันยากมากนะที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
คือเราต้องมองไว้แต่แรก
เผื่อใจไว้แต่แรกว่า
ถ้าเลือกคู่ครองที่ใจอยู่คนละฝั่งกับศรัทธาของเราเนี่ยนะ
เตรียมตัวได้เลยว่าวันหนึ่งจะต้องมีปัญหา
บางสิ่งบางอย่าง หรือหลายๆอย่าง หลายๆข้อ
หลายๆประเด็นเกิดขึ้นตามมาเป็นธรรมดา เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า
การที่คนสองคนจะอยู่ด้วยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นชายกับหญิง ไม่ว่าจะเป็นมิตร
ไม่ว่าจะเป็นญาติ ควรจะต้องมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาเสมอกัน หรือไล่เลี่ยกัน
ถึงจะอยู่ด้วยกันได้ จิตมันถึงจะจูนกันติด แต่มันก็จะมีปัญหาขึ้นมา
บางคนก็จะแย้งขึ้นมาว่า ตอนแรกเนี่ยนะ ผมยังไม่ได้มีศรัทธาในพุทธศาสนา
ไม่ได้มีความมุ่งหวังทางการปฏิบัติอะไรมากมาย
ก็อยู่กินกับภรรยามาด้วยวิถีทางแบบโลกๆ มันไม่รู้นี่ว่าอนาคตเราจะชอบแบบไหน
เราจะศรัทธาไปในทางใดนะครับ อันนี้ถ้าเป็นกรณีหลังนะครับ
มีทางเดียวคือเราต้อง 'ค่อยกลืน' ภรรยาหรือว่าคู่ครอง
ให้ค่อยๆมีศรัทธามาตามเรา
เพราะว่าอย่างหนึ่งถ้าหากว่าเรามามีศรัทธาปักหลักมั่นคงในภายหลังจากที่คบกันแล้ว
หลังจากที่อยู่กินกันแล้วเนี่ยนะ โดยมากก็จะค่อยๆมีความเปลี่ยนแปลงในตัวเองในทางที่ดีขึ้น
ในทางที่เย็นลง ในทางที่โกรธยากขึ้นอะไรทำนองนั้นนะ
ถ้าหากว่าเอาแค่โกรธยากขึ้นหรือว่ามีการขึ้นเสียงน้อยลง
หรือว่ามีการทำให้อีกฝ่ายระคายเคืองแค่นิดหน่อย หรือว่าไม่มีเลยเนี่ยนะ
อย่างน้อยที่สุดเขาต้องมีความชื่นชม มีความนิยมในการเปลี่ยนแปลงของเรา
และก็สามารถที่จะค่อยๆคล้อยตามเรามาได้
การที่ทำอะไรชัดเจนเกินไปแบบหักดิบ
หรือว่าจะไปให้อีกฝ่ายมาตามเราทันทีน่ะ
ไม่ใช่กุศโลบายที่เหมาะสมนะครับ
ส่วนใหญ่แล้วโดยเฉพาะคู่ครองที่ตามเราไม่ทันเนี่ยนะ ต้องการเวลา
และก็ต้องการความใจเย็นของเราในการค่อยๆเกลี้ยกล่อม
ค่อยๆทำให้เห็นดีเห็นงามตามกันนะครับ
ผมเคยเห็นเยอะที่ตอนแรกคู่ครองอาจจะไม่ค่อยแอนตี้อะไรมาก
แต่พอเราไปพยายามชักชวนหรือว่าแสดงออก ซึ่งการเป็นคนอยู่อีกโลกหนึ่งชัดเจนเกินไป
มันก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านได้เป็นธรรมดา
ยกตัวอย่างเช่นแต่เดิมเคยพาไปดูหนังแทบจะทุกสามวัน
หรือว่าอย่างน้อยวันศุกร์ต้องเอาแหละ จองตั๋วที่ใดที่หนึ่งและก็ไปมีความสุขด้วยกัน
หรืออาจจะไปท่องเที่ยวอะไรที่ไหนตามแบบที่เคยชินกันมาอะไรทำนองนั้นเนี่ยนะ
แล้วมาวันหนึ่งเราบอกเลิกขาด ไม่เอาอีกเลย อย่างนี้ก็เป็นธรรมดาครับถ้าหากว่าเขาจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน
หรือว่าไม่เอากับเราด้วย บางทีมันต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะครับ ผมพูดได้แค่กว้างๆ
คือคงไม่สามารถลงรายละเอียดอะไรได้นะครับ แต่ว่าอย่างหนึ่งก็คือ
ถ้าเราบอกกับคนทั่วไปว่า เราเลิกกับภรรยาเพราะการปฏิบัติธรรมเนี่ย
มันไม่เป็นผลดีกับวงการปฏิบัติเจริญสติแน่นอน
มันจะกลายเป็นข้อครหานินทาในภายหลังได้
ตัวเราเองก็อาจจะไม่มีความสุขกับเสียงครหานินทาแบบนั้นนะครับ
ก็เห็นใจ และก็เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
มีความรู้สึกอย่างไร ถ้าหากว่าเราจะมามีศรัทธา
แล้วก็มีพฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่คล้อยตามไปในทางการเจริญสติมากขึ้น
แล้วก็ทำให้คู่ครองเกิดความรู้สึกไม่พอใจ เข้าใจและก็เห็นใจ
แต่ถ้าหากว่าจะตัดสินใจอย่างไรเนี่ย ก็อย่าพึ่งไปมองเรื่องบาปเรื่องกรรม
ขอให้มองกันเรื่องการผูกใจเจ็บเป็นอันดับแรกก่อน
เรื่องบาปเนี่ย ถ้าไม่ได้ทำร้ายกันจริงๆเนี่ยนะ
มันก็ไม่ได้บาปเท่าไหร่ แต่ขอให้มองอย่างระวังนะ การที่เราผูกใจเจ็บกัน
ด้วยเหตุที่ได้มีฝ่ายหนึ่งหวังสูง และก็ปฏิบัติธรรมเจริญสติเนี่ย
เป็นเรื่องใหญ่พอสมควร ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเกิดอกุศลจิต หรือว่าเกิดโทสะไปพูดอะไรไม่ดี
หรือว่าคิดอะไรไม่ดีมากๆเข้าเนี่ย
เขาก็แนวโน้มที่จะมีความมืดดำติดตัวไปทั้งชีวิตล่ะ
อันนี้ก็คงต้องมีความเห็นใจให้มากๆนะครับ
(คำถามต่อเนื่อง
– แล้วถ้าเปลี่ยนแปลงตนเองจนดีขึ้นแล้ว
พยายามโน้มน้าวแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมคล้อยตามมาปฏิบัติธรรม ควรทำอย่างไร?)
อันนี้ก็เอาที่คุณ (ผู้ถามอีกคนหนึ่ง) เล่าให้ฟังก็แล้วกัน
บอกว่า… “จริงครับ ตอนแรกผมก็ไม่ได้ศรัทธามากขนาดนี้
ผมพยายามโน้มน้าวภรรยามาตลอดแล้วครับ แต่หล่อนจะปฏิเสธตลอด
หล่อนก็เห็นว่าผมดีขึ้นจริง แต่ยังไม่ยอมคล้อยตามครับ”
อันนี้ก็เห็นมาเยอะนะครับ คือโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้หญิงยังไม่ได้มีความทุกข์ในชีวิตมาก
หรือยังอยากจะสนุก อยากจะบันเทิง อยากจะใช้ชีวิตแบบโลกๆ
ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาต่ออยู่เนี่ยนะครับ เราจะไปชี้อย่างไร
จะไปตะล่อมหว่านล้อมอย่างไรเนี่ยบางทีมันก็ไม่ไหวนะครับ
จนกว่าเขาจะมีลิงก์อะไรบางอย่างในชีวิต
ที่สามารถมาเชื่อมติดกับการเจริญสติได้
ตรงนั้นเนี่ย ถ้าเราพูดแล้วมันถึงจะดูง่าย
ลิงก์ในชีวิตคืออะไร? ส่วนใหญ่นะครับ
อันนี้ต้องยอมรับตามจริงนะครับ
คือถ้าคนเราเนี่ยไม่ได้ทุกข์มากๆมันไม่ได้หาทางออกหรอก
มันจะเชื่อว่าตัวเองเนี่ยมีความสุขอยู่แล้ว แล้วก็พยายามที่จะใช้ชีวิตเพื่อที่จะเอาความสุขในแบบที่ตนเองต้องการมาเป็นตัวตั้ง
ถ้าหากว่าเราไปฝืนหล่อนเข้า หรือว่าทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกว่า เอ้ย อันนี้
ยังไงก็ไม่ใช่อ่ะ มันยิ่งพูดจะยิ่งต้าน ไม่พูดเลยดีกว่า
ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านเลยดีกว่า แล้วให้มันค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะครับ
คือค่อยๆทำให้รู้สึกว่าเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปไหน
ผู้หญิงส่วนใหญ่นะครับบางทีจะกลัวไปล่วงหน้า
กลัวสามีจะไปบวชนะแล้วก็ทิ้งตัวเองไป
อันนี้มันเป็นความรู้สึกที่ยอมไม่ได้ แล้วก็จะเกิดเรื่องเกิดราวอะไรขึ้นมาตามมามากมายนะครับ อยากจะต่อต้าน
อยากจะขัดขวาง ยังดีนะครับถ้าหากว่าภรรยายังเป็นคนที่กลัวนรกอยู่
หรือว่ายังกลัวบาปกลัวกรรมอยู่ ก็พอพูดกันได้นิดหน่อย แต่ว่าเอาละครับ
โดยสรุปก็คือ เราต้องเห็นใจเธอให้มากๆ
แล้วก็หาทาง
หาอุบายโดยใช้ชีวิตประจำวัน
ให้ใกล้เคียงกับที่เธอต้องการมากที่สุดนะครับ
แล้วเรื่องการเจริญสติเนี่ย เราเจริญสติด้วยมุมมองภายในไปก่อนก็ได้
เพราะว่ามันกลับไปที่จุดเริ่มต้นไม่ได้แล้ว มันกลับไปเลือกใหม่ไม่ได้แล้วอะ
มันใช้ชีวิตมาด้วยกันแล้ว
ยังไงก็ต้องประคับประคองด้วยความรู้สึกเห็นใจกันเป็นหลักนะครับ
ก็ให้คำแนะนำได้เพียงเท่านั้นจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น