ถาม : พอเวลาที่เราชอบใคร
ถึงเขาคนนั้นจะมีใจให้เราด้วย แต่กลับรู้สึกอึดอัดใจทุกที
ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้น
ที่เป็นแบบนี้เป็นผลจากกรรมเก่าหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่
มีเหตุอะไรที่ทำให้เป็นเช่นนี้ได้บ้าง? อยากแก้ไขทำอย่างไรดี?
ดังตฤณ:
• อันนี้ก็เป็นกันเยอะนะครับ
ประเภทที่ว่าคิดถึงเวลาที่ห่างกัน
แต่พออยู่ใกล้กันแล้วมันเหมือนมีแรงผลัก
นี่เขาเรียกว่าเป็น แรงดึงดูดและแรงผลัก
อันเกิดจากการอยู่กับใครคนหนึ่งนะครับ
• ถ้าหากว่าอยู่ห่างกันแล้วมีแต่จินตนาการดีๆ
มีแต่จินตนาการที่เหมือนกับจะส่งแรงดึงดูดเข้าหา
ทำให้เกิดความถวิลถึง
ทำให้เกิดความรู้สึก เออ! ได้ยินเสียงสักนิดก็ดี
เห็นหน้าเห็นตาสักหน่อยก็จะแจ๋วเลย
คล้ายๆกับว่ากระแสความเป็นตัวเขานี่มีพลัง
มีความเป็นแม่เหล็กที่ดึงใจเราเข้าไปติดอยู่ได้
แต่ปรากฏว่าพอกายเนื้อ พอตัวเป็นๆนี่มาอยู่ใกล้
มันกลับคล้ายมีแรงผลัก
มันกลับคล้ายมีกระแสที่ทำให้ไม่รู้สึกอยากอยู่ใกล้กัน
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• อันนี้มีหลายสาเหตุ ถ้าทางจิตวิทยาจะบอกว่า
เราเป็นโรคกลัวการครองคู่
หรือว่าโรคกลัวความเอาจริงเอาจัง
กับเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างตนกับคนรัก
• แต่ถ้าหากว่าอธิบายในมุมกว้างนะครับ
ถ้าหากว่าเราพิจารณา
เราเล็งกันเรื่องของกรรมและวิบาก
ก็เป็นไปได้ครับที่ ในอดีตเราอาจจะเคยอยู่มาด้วยกัน
มีความสุขมาด้วยกันแบบโลกๆ
แต่ไปทำบาปทำกรรมร่วมกันไว้
อันนี้ก็มีนะครับ มันมีได้หลายกรณีนะครับ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• อันนี้จะยกเป็นกรณีแรกก่อน คือว่า เคยครองคู่กัน
แต่ระหว่างครองคู่กันนั้นก็ร่วมมือกันทำบาปทำกรรม
ตั้งแต่ไปนินทาว่าร้ายชาวบ้าน
หรือว่าไปยุยงให้ชาวบ้านเขาแตกคอกัน
ยุให้คู่อื่นเขาระหองระแหงกันด้วยความอิจฉาริษยา
หรือว่าอาจจะนอกใจกัน
หรือถ้าสมมุติว่ามีอำนาจปกครองบ้านเมือง
อาจจะร่วมมือกันฉ้อโกงแผ่นดินอะไรแบบนี้
ไม่ว่าจะเป็นบาปกรรมชนิดไหนก็ตาม
ถ้าหากอยู่ร่วมกันแล้ว เราทำด้วยกันเป็นประจำนี่
อันนี้ก็จะกลายเป็นกระแสผลักได้
• เมื่อใช้โทษ
ต่างคนต่างไปใช้โทษกันตามโทษานุโทษแล้วนี่
แล้วก็มีโอกาส มีโชควาสนา
มีวิบากดีที่ทำให้มาเจอกันมาคบกันและมาอยู่ด้วยกันอีก
ก็จะรู้สึกดีๆเวลาที่จินตนาการถึงกัน
แต่พอมาอยู่ร่วมกันจริงๆ เอาเข้าจริงๆแล้ว
: มันเหมือนกับจะมีกระแสบาป
: กระแสอะไรบางอย่างร้อนๆ
: หรือกระแสที่ดันให้ตัวอยากอยู่ห่าง
: ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากพูดด้วย
เหมือนกับที่เตรียมไว้อยากจะพูดตั้งเยอะตั้งแยะ
พอมาเจอตัว เห็นหน้าเข้าทีเดียวนี่หุบปากเลย
ปากหุบเป็นไมยราบเลยนะครับ โดนกระทบ
• แล้วก็จิตใจนี่ มันเหมือน..
: ไม่เอาแล้ว
: ไม่อยากอยู่ใกล้
: ไม่อยากพูดด้วย
อันนี้มีจริงมีเยอะด้วยไม่ใช่น้อยๆนะครับ
แล้วก็ที่สงสัยกันก็ไม่ต้องสงสัยหรอก
เพราะว่าถึงสงสัยไป เราก็ระลึกชาติไม่ได้
ว่าเคยไปร่วมก่อบาปก่อกรรมอะไรกับคนๆนี้มา
.. .. .. .. .. .. .. .. ..
• แต่เอาเป็นว่า
ก็ขอให้พิจารณาว่านั่นเป็นลางว่าเราควรจะมีเมตตา
มีจิตใจที่คิดเป็นเพื่อนกับเขาจะดีกว่า
เพราะว่าประเภทนี้นี่
พูดตรงๆอันนี้คือเข้าใจว่าคงไม่ได้ใช้นามจริงนะครับ
ก็พูดไว้เป็นกลางๆนะครับว่า
ประเภทที่อยู่ห่างแล้วคิดถึง
แต่อยู่ใกล้แล้วอยากห่าง อยากออกห่าง คิดอยากออกห่างนี่
มันไม่ควรจะอยู่ด้วยกันหรอกนะครับ
ควรจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากกว่า
เพราะว่ารายไหนรายนั้นเลย พอมาอยู่ด้วยกันปุ๊บ
: มันจะกลายเป็นความรู้สึกอึดอัด
: ความรู้สึกไม่อยากจะทน
: ความรู้สึกว่าอยากหาข้ออ้างที่จะเลิกรากัน
.. .. .. .. .. .. .. .. ..
• แต่ถ้าคุณทั้งสองมีใจใฝ่ธรรมด้วยกัน
แล้วสามารถที่จะตกลงกันนะครับ อันนี้เป็นข้อยกเว้นนะครับ
คือถ้าสามารถตกลงกันได้ว่าเราจะอยู่ร่วมกัน
: เพื่อช่วยกันทำทาน
: ช่วยกันอนุเคราะห์มนุษย์ ช่วยกันอนุเคราะห์สัตว์
: แล้วก็จะตั้งใจร่วมมือกันรักษาศีลยิ่งชีพ
ให้การครองคู่ของเรานี่
ได้เป็นเครื่องช่วย เครื่องพยุงกันและกัน
ให้อยู่ในร่องในรอยของศีล ของสัตย์
• ถ้าจะตั้งใจแบบนี้ได้
โอเค ถ้าจะตั้งใจด้วยกันได้ว่า
เออ ต่อให้โกรธแค่ไหน เราก็จะพูดกันดีๆ
ต่อให้มีแรงดันอยากจะทะเลาะ อยากจะทุ่มเถียง
อยากจะเอาชนะกันแค่ไหน
เราจะมาคุยกันดีๆได้
อันนี้โอเค อันนี้คืออยู่ด้วยกันแล้ว
ยิ่งอยู่ด้วยกันนานนะ จะยิ่งเปลี่ยนจากความรู้สึกอึดอัด
เปลี่ยนจากความรู้สึกห่างเหินยามอยู่ใกล้กัน
กลายเป็นความรู้สึกดึงดูดได้
แล้วก็จะยิ่งรู้สึกรักมากขึ้นทุกวันๆ
.. .. .. .. .. .. .. .. ..
• ที่พระพุทธเจ้าตรัสนี่ไม่ใช่เรื่องหลอกนะครับ เป็นของจริง
: ขอให้อยู่ด้วยกันดีๆ
: อยู่กันด้วยศีล ด้วยสัตย์
: มีศรัทธา มีจาคะ มีศีล มีปัญญาเท่ากัน
: นี่นะครับ แล้วก็พูดดีต่อกัน เกื้อกูลกัน
มันยิ่งรักกันทุกวันๆเพิ่มขึ้น
อันนี้ก็คงตอบได้เพียงสั้นๆเท่านี้นะครับโดยสังเขป
• อันนี้ก็เป็นกันเยอะนะครับ
ประเภทที่ว่าคิดถึงเวลาที่ห่างกัน
แต่พออยู่ใกล้กันแล้วมันเหมือนมีแรงผลัก
นี่เขาเรียกว่าเป็น แรงดึงดูดและแรงผลัก
อันเกิดจากการอยู่กับใครคนหนึ่งนะครับ
• ถ้าหากว่าอยู่ห่างกันแล้วมีแต่จินตนาการดีๆ
มีแต่จินตนาการที่เหมือนกับจะส่งแรงดึงดูดเข้าหา
ทำให้เกิดความถวิลถึง
ทำให้เกิดความรู้สึก เออ! ได้ยินเสียงสักนิดก็ดี
เห็นหน้าเห็นตาสักหน่อยก็จะแจ๋วเลย
คล้ายๆกับว่ากระแสความเป็นตัวเขานี่มีพลัง
มีความเป็นแม่เหล็กที่ดึงใจเราเข้าไปติดอยู่ได้
แต่ปรากฏว่าพอกายเนื้อ พอตัวเป็นๆนี่มาอยู่ใกล้
มันกลับคล้ายมีแรงผลัก
มันกลับคล้ายมีกระแสที่ทำให้ไม่รู้สึกอยากอยู่ใกล้กัน
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• อันนี้มีหลายสาเหตุ ถ้าทางจิตวิทยาจะบอกว่า
เราเป็นโรคกลัวการครองคู่
หรือว่าโรคกลัวความเอาจริงเอาจัง
กับเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างตนกับคนรัก
• แต่ถ้าหากว่าอธิบายในมุมกว้างนะครับ
ถ้าหากว่าเราพิจารณา
เราเล็งกันเรื่องของกรรมและวิบาก
ก็เป็นไปได้ครับที่ ในอดีตเราอาจจะเคยอยู่มาด้วยกัน
มีความสุขมาด้วยกันแบบโลกๆ
แต่ไปทำบาปทำกรรมร่วมกันไว้
อันนี้ก็มีนะครับ มันมีได้หลายกรณีนะครับ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• อันนี้จะยกเป็นกรณีแรกก่อน คือว่า เคยครองคู่กัน
แต่ระหว่างครองคู่กันนั้นก็ร่วมมือกันทำบาปทำกรรม
ตั้งแต่ไปนินทาว่าร้ายชาวบ้าน
หรือว่าไปยุยงให้ชาวบ้านเขาแตกคอกัน
ยุให้คู่อื่นเขาระหองระแหงกันด้วยความอิจฉาริษยา
หรือว่าอาจจะนอกใจกัน
หรือถ้าสมมุติว่ามีอำนาจปกครองบ้านเมือง
อาจจะร่วมมือกันฉ้อโกงแผ่นดินอะไรแบบนี้
ไม่ว่าจะเป็นบาปกรรมชนิดไหนก็ตาม
ถ้าหากอยู่ร่วมกันแล้ว เราทำด้วยกันเป็นประจำนี่
อันนี้ก็จะกลายเป็นกระแสผลักได้
• เมื่อใช้โทษ
ต่างคนต่างไปใช้โทษกันตามโทษานุโทษแล้วนี่
แล้วก็มีโอกาส มีโชควาสนา
มีวิบากดีที่ทำให้มาเจอกันมาคบกันและมาอยู่ด้วยกันอีก
ก็จะรู้สึกดีๆเวลาที่จินตนาการถึงกัน
แต่พอมาอยู่ร่วมกันจริงๆ เอาเข้าจริงๆแล้ว
: มันเหมือนกับจะมีกระแสบาป
: กระแสอะไรบางอย่างร้อนๆ
: หรือกระแสที่ดันให้ตัวอยากอยู่ห่าง
: ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากพูดด้วย
เหมือนกับที่เตรียมไว้อยากจะพูดตั้งเยอะตั้งแยะ
พอมาเจอตัว เห็นหน้าเข้าทีเดียวนี่หุบปากเลย
ปากหุบเป็นไมยราบเลยนะครับ โดนกระทบ
• แล้วก็จิตใจนี่ มันเหมือน..
: ไม่เอาแล้ว
: ไม่อยากอยู่ใกล้
: ไม่อยากพูดด้วย
อันนี้มีจริงมีเยอะด้วยไม่ใช่น้อยๆนะครับ
แล้วก็ที่สงสัยกันก็ไม่ต้องสงสัยหรอก
เพราะว่าถึงสงสัยไป เราก็ระลึกชาติไม่ได้
ว่าเคยไปร่วมก่อบาปก่อกรรมอะไรกับคนๆนี้มา
.. .. .. .. .. .. .. .. ..
• แต่เอาเป็นว่า
ก็ขอให้พิจารณาว่านั่นเป็นลางว่าเราควรจะมีเมตตา
มีจิตใจที่คิดเป็นเพื่อนกับเขาจะดีกว่า
เพราะว่าประเภทนี้นี่
พูดตรงๆอันนี้คือเข้าใจว่าคงไม่ได้ใช้นามจริงนะครับ
ก็พูดไว้เป็นกลางๆนะครับว่า
ประเภทที่อยู่ห่างแล้วคิดถึง
แต่อยู่ใกล้แล้วอยากห่าง อยากออกห่าง คิดอยากออกห่างนี่
มันไม่ควรจะอยู่ด้วยกันหรอกนะครับ
ควรจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากกว่า
เพราะว่ารายไหนรายนั้นเลย พอมาอยู่ด้วยกันปุ๊บ
: มันจะกลายเป็นความรู้สึกอึดอัด
: ความรู้สึกไม่อยากจะทน
: ความรู้สึกว่าอยากหาข้ออ้างที่จะเลิกรากัน
.. .. .. .. .. .. .. .. ..
• แต่ถ้าคุณทั้งสองมีใจใฝ่ธรรมด้วยกัน
แล้วสามารถที่จะตกลงกันนะครับ อันนี้เป็นข้อยกเว้นนะครับ
คือถ้าสามารถตกลงกันได้ว่าเราจะอยู่ร่วมกัน
: เพื่อช่วยกันทำทาน
: ช่วยกันอนุเคราะห์มนุษย์ ช่วยกันอนุเคราะห์สัตว์
: แล้วก็จะตั้งใจร่วมมือกันรักษาศีลยิ่งชีพ
ให้การครองคู่ของเรานี่
ได้เป็นเครื่องช่วย เครื่องพยุงกันและกัน
ให้อยู่ในร่องในรอยของศีล ของสัตย์
• ถ้าจะตั้งใจแบบนี้ได้
โอเค ถ้าจะตั้งใจด้วยกันได้ว่า
เออ ต่อให้โกรธแค่ไหน เราก็จะพูดกันดีๆ
ต่อให้มีแรงดันอยากจะทะเลาะ อยากจะทุ่มเถียง
อยากจะเอาชนะกันแค่ไหน
เราจะมาคุยกันดีๆได้
อันนี้โอเค อันนี้คืออยู่ด้วยกันแล้ว
ยิ่งอยู่ด้วยกันนานนะ จะยิ่งเปลี่ยนจากความรู้สึกอึดอัด
เปลี่ยนจากความรู้สึกห่างเหินยามอยู่ใกล้กัน
กลายเป็นความรู้สึกดึงดูดได้
แล้วก็จะยิ่งรู้สึกรักมากขึ้นทุกวันๆ
.. .. .. .. .. .. .. .. ..
• ที่พระพุทธเจ้าตรัสนี่ไม่ใช่เรื่องหลอกนะครับ เป็นของจริง
: ขอให้อยู่ด้วยกันดีๆ
: อยู่กันด้วยศีล ด้วยสัตย์
: มีศรัทธา มีจาคะ มีศีล มีปัญญาเท่ากัน
: นี่นะครับ แล้วก็พูดดีต่อกัน เกื้อกูลกัน
มันยิ่งรักกันทุกวันๆเพิ่มขึ้น
อันนี้ก็คงตอบได้เพียงสั้นๆเท่านี้นะครับโดยสังเขป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น