ถาม : หนูรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งมาสามปีแล้ว
ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาก็บอกรักหนูอยู่ทุกครั้งที่คุยกัน แต่ตอนหลังหนูมารู้ว่า
เขาหมั้นได้สองปีแล้วโดยวิธีคลุมถุงชน
หนูตกใจและเสียใจมากที่เขาไม่เคยบอกหนูเรื่องนี้
หนูคิดว่าตนเองกลายเป็นมือที่สามของเขาไป โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
หลังจากที่หนูรู้เรื่อง เขาก็ยังไม่เลิกโทรมา เขารั้นจะเป็นแฟนหนูให้ได้
โดยเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เขาเลิกกับคนนั้นแล้ว แต่ยังไม่ขาดเสียทีเดียว
เพราะคงค้างทางผู้ใหญ่ เขาบอกว่าเขาไม่ได้รักคนนั้น เขาบอกให้หนูรอเขา
เพราะเรื่องกำลังจะจบแล้ว หนูไม่รู้จะทำอย่างไร ใจหนูก็รักนะ
แต่ก็ไม่อยากขัดศีลธรรม ผู้หญิงคนนั้นก็รักเขามากเหลือเกินค่ะ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี?
รับฟังทางยูทูป http://youtu.be/LdkhHfpk01k
รับฟังทางยูทูป http://youtu.be/LdkhHfpk01k
[ ดังตฤณตอบ ]
เรื่องประเภทนี้นี่มีบ่อยมากและเพิ่มขึ้นทุกปีเลย เพราะว่าคนเรามีความละอายต่อบาปน้อยลง และมีความเกรงใจคนอื่นน้อยลง จะเอาแต่ใจตัว จะเอาแต่สิ่งที่ตัวเองจะได้มาแล้วมีความสุข ไม่สนใจว่าคนอื่นเขาจะเป็นทุกข์ขนาดไหนนะ แล้วเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ แต่ก็ทำกันเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆเลยในปัจจุบันนี้ แล้วก็อ้างกับตัวเองว่า ถ้าทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ไม่หลอกไม่โกหกก็ไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการน่ะสิ นี่คิดกันแค่นี้แหละ คิดกันสั้นๆ
เรื่องประเภทนี้นี่มีบ่อยมากและเพิ่มขึ้นทุกปีเลย เพราะว่าคนเรามีความละอายต่อบาปน้อยลง และมีความเกรงใจคนอื่นน้อยลง จะเอาแต่ใจตัว จะเอาแต่สิ่งที่ตัวเองจะได้มาแล้วมีความสุข ไม่สนใจว่าคนอื่นเขาจะเป็นทุกข์ขนาดไหนนะ แล้วเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ แต่ก็ทำกันเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆเลยในปัจจุบันนี้ แล้วก็อ้างกับตัวเองว่า ถ้าทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ไม่หลอกไม่โกหกก็ไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการน่ะสิ นี่คิดกันแค่นี้แหละ คิดกันสั้นๆ
ท่องไว้นิดหนึ่ง
ตรงเรื่องของความรัก เรื่องของการพยายามที่จะจับคู่ครองเรือนอยู่ด้วยกัน
มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูกในเรื่องของความชอบใจ
คือเราจะไปบอกไม่ได้ว่า นี่เป็นความผิดของเธอนะที่ไม่มารักฉัน ไม่มาชอบฉัน
ทั้งๆที่ฉันดีกับเธอขนาดนี้แล้ว ฉันตั้งใจจริงขนาดนี้แล้วนี่นะ
แต่ในขณะเดียวกันในทางตรงกันข้าม เราก็ไม่สามารถจะไปบอกได้ว่า
การที่เขามีคู่แล้วหรือมีคนรักแล้ว แล้วเราเกิดไปมีความชอบ
เกิดไปรักเขามันมีความผิด มันห้ามไม่ได้ มันเป็นปฏิกิริยาทางใจ
หลักการของการเจริญสติก็บอกไว้ว่า
เมื่อเห็นรูปที่ชอบใจ มันก็เกิดความติด มันก็เกิดความยินดี
เมื่อได้ยินเสียงที่น่าชอบใจน่าใคร่ มันก็เกิดความติด
มันก็เกิดอาการผูกโยงระหว่างใจเรากับวัตถุที่น่าติดใจอันนั้น อันนี้ไม่ใช่ความผิด
แต่สิ่งที่จะวัดว่าผิดหรือถูก เราเอาเรื่องของศีลธรรมมา
แล้วศีลธรรมบอกไว้ว่าอย่างไร?
ถ้าหากมีการประกาศต่อคนรู้จักหรือสาธารณชนให้เป็นที่รับรู้ว่า
ได้มีการหมั้นหมาย มีการจองตัวแล้ว แล้วแต่นี้ไปเราไปยุ่งเกี่ยว
มีเพศสัมพันธ์กับคนประเภทนั้น นั่นถือว่า ผิดศีลธรรม
แต่ถ้าหากว่าเราไม่รู้
คือตั้งต้นขึ้นมาเราไม่ได้พยายามที่จะเข้าไปเป็นมือที่สาม ด้วยความไม่รู้นั้น
ด้วยการไม่ต้องอาศัยทางใจที่จะเข้าไปเป็นมือที่สามนั้น เราจะยังบริสุทธิ์อยู่
ไม่ได้มีความผิด ไม่ได้มีอะไรที่ต้องมาตำหนิตัวเองได้เลยว่า นี่เราเป็นคนบาป
เราเป็นคนผิด แต่คนที่รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่าอะไรเป็นอะไร แล้วยังไม่ยอมบอก
นั่นแหละผิดเต็มประตู แล้วยังจะได้รับผลของกรรมคูณสองเข้าไป ทั้งโกหกด้วย
และหลอกลวงให้เราเข้าใจผิดมาเป็นสิทธิ์ของเขาด้วย
ในกรณีของน้องนี่นะ
ถ้าเป็นเรื่องจริงว่าเขาจะเลิกรา ไม่มีความต้องการที่จะข้องเกี่ยวกับฝ่ายหญิงแล้ว
อันนั้นก็โอเค ก็มีความจริงอยู่ตรงนั้นบ้าง มีอะไรดีๆให้รู้สึกได้บ้าง
ส่วนที่ว่าเขาเป็นที่รักของฝ่ายหญิงมากมายแค่ไหน ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปจัดการ
ไม่ได้ไปบงการให้ฝ่ายหญิงเขามารู้สึกอย่างไรกับผู้ชาย
ตรงนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของเรา ถ้าหากว่าเขาจะทิ้งกัน
มันเป็นเรื่องของภัยเรื่องของเวรในส่วนของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
มันไม่เกี่ยวกับความต้องการของเราที่ไปให้เขาเลิกกัน หรือให้เขามาหาเรานะครับ
ตรงนั้นไม่ใช่ความตั้งใจของเรา
เรามีจุดยืนอยู่แค่ตรงนี้แหละ
เราจะไม่เป็นฝ่ายที่สนับสนุน ไม่เป็นฝ่ายที่ให้ความหวังใดๆที่จะให้เขามาหาเรา
ถ้าเขามาเอง เป็นความรับผิดชอบของเขา เป็นกรรมของเขา ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรา
แต่ถ้าสำรวจเข้าไปที่ใจเราแล้วนี่ มีแม้แต่นิดเดียวที่เราอยากให้ทั้งคู่เลิกรากัน
หรือแม้แต่ว่าเอาเราเข้าไปมีเอี่ยวอยู่ด้วยนะ ที่จะดึงเขาเข้ามา อันนี้
พูดง่ายๆว่าเราเริ่มจะมีภัยมีเวรติดอยู่กับฝ่ายหญิงที่เขาเสียอกเสียใจแล้วนะ
เรื่องของความรัก
ย้ำอีกทีหนึ่งว่า ไม่มีความผิดไม่มีความถูกในกรณีที่ใครจะรู้สึกรักใคร แต่มันมีผิดมีถูกตอนที่มีการประกาศ
มีการจองตัวกันแล้ว แล้วเราน่ะรู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่าเขามีการจองตัวกันแล้ว
แล้วไปยุ่งเกี่ยวด้วย นั่นแหละนะ ผิดศีลผิดธรรมแล้ว แต่ถ้าพ้นไปจากนั้น
เราก็ยังจะต้องดูนะว่าใครจะเจ็บแค่ไหน หรือว่ามีใครที่ตั้งใจจะแย่งของของอื่นเขามาเพียงใด
เรียกว่าก็ต้องมีผลของกรรม อันเป็นโทษานุโทษที่เหมาะสมของแต่ละคนไป
เรื่องของความรัก
เรื่องของความเกี่ยวพันระหว่างชายหญิง หรือที่เราเรียกกันว่าเป็นเรื่องชู้สาวนี่
มันเป็นความวุ่นวาย มันเป็นความไม่ลงตัว มันเป็นความไม่สมบูรณ์ที่มีมาแต่ไหนแต่ไร
แล้วเราก็ยังต้องวนเวียนกันไปอย่างนี้
ถ้าหากว่ายังไม่สามารถตัดใจจากการมีความรักและการครองคู่ได้นะ
สรุปนะครับ
อยู่อย่างมีศีลมีธรรมนี่ก็คือ อยู่อย่างคนที่คิดว่า สำรวจตัวเองว่า
ใจเรานี่ไปมีเอี่ยวกับการแย่งชิงของของคนอื่นเขามาหรือเปล่า ถ้าไม่มีเอี่ยว
ถ้าไม่มีความตั้งใจอยู่เลย ก็สบายใจ เราก็อยู่ในส่วนของเราไป แต่ถ้าเขาเลิกกันเอง
แล้วมาหาเรา อันนั้นก็ว่ากันไปอีกทางหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น