ถาม : ถ้าเราเป็นฝ่ายเจ็บจากการถูกทิ้งเพราะคนรักไปมีใครใหม่
แต่เราไม่จองเวร อยากทราบว่าตัวคนรักจะมีเวรกรรมที่ทิ้งเราไปไหม?
ดังตฤณ : มันขึ้นอยู่กับเจตนาของเขานะ
มันขึ้นอยู่กับวิธีที่ทิ้งเราไป
มันขึ้นอยู่กับความมีศีลของเขาก่อนที่จะจากเราไปหรือเปล่านะ
ถ้าหากว่ามีการเลิกรากันโดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้ผิดศีลผิดธรรมนะ ก็ยังไม่ได้ถือเป็นบาปเป็นกรรมอะไรหนักหนา
เพราะว่า... ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งนะ ต้องเข้าใจดีๆ เวลาที่เราเจ็บมากๆนี่
เราจะมีความรู้สึกว่า เราเป็นฝ่ายถูกกระทำเสมอ
ทุกคนที่มีความรู้สึกเจ็บปวดจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ
ในขณะที่คนที่บอกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา ที่ทำให้เราเจ็บปวดนี่
เขาอาจจะคิดของเขาอีกอย่างหนึ่ง
คือ... ฟังดีๆนะ
อันนี้ผมไม่ได้ลงรายละเอียดในเฉพาะกรณีของคุณ หรือว่าของใครเป็นพิเศษ
แต่ว่าพูดเหมารวมเลยว่า เดิมทีหญิงชายนี่ ก่อนหน้านั้นที่จะมาคบกัน
เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แล้วที่มาคบกันนี่ก็เหมือนเป็นข้อตกลงร่วมกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคใหม่นี่มันจะไม่ค่อยมีการคลุมถุงชน
เป็นการจับคู่กันโดยสมัครใจ เป็นการจับคู่กันโดยอยู่ใต้เงื่อนไขที่รู้ๆกันว่า
จะต้องมีความซื่อสัตย์ต่อกัน แล้วก็มีการให้ความเอาใจใส่กันในฐานะของคนรักนะ
ในขณะเดียวกัน มันต้องรู้อยู่ลึกๆด้วยว่า ในฐานะของคนรักนี่
ถ้าตราบใดยังไม่ได้หมั้นหมาย ยังไม่ได้แต่งงานนี่ สามารถที่จะเลิกรากันได้
หรือถ้าหากว่าแต่งงานกัน ก็... อันนี้เห็นง่ายๆเลยนะ ชัดๆเลยตามแง่มุมของกฎหมาย
คือมีสิทธิที่จะถอนหมั้น มีสิทธิที่จะหย่าร้างกันได้
นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจตรงกันอยู่ทั่วไป
ทีนี้เวลาที่ฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่า ไม่อยากอยู่ด้วยอีกแล้วนะ
แล้วก็ลักษณะของการผิดสัญญานั้น มันเป็นการผิดสัญญาด้วยการผิดศีล
หรือว่าด้วยการผิดใจกัน หรือว่าด้วยการรู้สึกว่าไปด้วยกันไม่รอด
อันนี้มันขึ้นอยู่กับว่า ลักษณะของการที่จะตกลงเลิกรากันนี่ ใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน? ฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายที่เริ่มสร้างเวร
คือเดิมทีอยู่กันมาด้วยกันนี่ เรียกว่าสร้างสายใยของความรัก
แต่พอฝ่ายใดเป็นฝ่ายที่จะเลิกร้างโดยอีกฝ่ายยังไม่เต็มใจนี่
อันนั้นก็ถือว่าเป็นฝ่ายเริ่มสร้างเวร
คือคิดง่ายๆว่า เริ่มสร้างความเจ็บใจให้อีกฝ่าย อย่างใหญ่หลวงนั่นเอง
การสร้างเวรตรงนี้นะ อย่างไรๆก็ต้องถือว่าเป็นความผูกพันในทางลบ ในทางไม่ดี
ในทางมืด ในทางที่มันจะทำให้รู้สึกย่ำแย่ต่อกันนะ
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูกแค่ไหนก็แล้วแต่
แต่โดยอาการของคนที่เป็นฝ่ายจากไปนี่นะ ส่วนใหญ่จะมีข้ออ้างต่างๆนานา แต่ในที่สุดแล้วก็คือว่า
อยู่ด้วยกันไม่รอด ถ้าหากว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไร คิดร้ายอะไรมากมายนะ
ก็ถือว่าเป็นแค่ภัยเวรที่จะมีผูกอยู่กับเราเฉพาะตัวนะครับ
คือเจอกันใหม่ก็จะรู้สึกไม่ดีต่อกัน
หรือจะมีเหตุการณ์อะไรที่ดลให้เกิดความรู้สึกแย่ๆต่อกัน
แต่ก็ยังมีความผูกพันกันอยู่ดี ตัดไม่ตาย ขายไม่ขาดอะไรทำนองนั้น
ทีนี้ถ้าเขาเป็นฝ่ายทิ้งเราไปด้วยอาการที่มันไม่ดี
ด้วยอาการที่รู้ๆอยู่ว่า ทำให้เราเจ็บใจ มีความจงใจ มีความสะใจ หรือมีการผิดศีลนะ
อย่างนี้ถึงแม้ว่าเราจะไม่ผูกใจ เราไม่เอาเรื่อง ไม่อยากเอาความ ไม่ถือสา
แล้วก็คิดอภัย ตรงนี้นะ อย่างไรตัวบาปตัวเวร หรือว่าตัวภัยมืดที่จะติดตัวเขาไปนี่
มันก็จะเกิดขึ้นอยู่ดี คือไม่ใช่เป็นการผูกเฉพาะเจาะจงว่าจะต้องเจอกับเรา
ถึงได้รับผล แต่ตัวเขาเองเลยทีเดียวนี่นะมันมีความแปดเปื้อน มันมีชนักปักหลังอยู่
มันมีตัวความเดือดร้อนที่จะต้องได้รับนะ ไม่เฉพาะจากทางเรา
แต่จากใครก็ตามที่เกี่ยวข้อง หรืออาจจะไม่ต้องเกี่ยวข้องก็ได้
เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้นะว่า ผู้ที่ผิดศีลเกี่ยวกับเรื่องของกาเมสุมิจฉาจารนี่
โทษสถานเบาที่สุดเมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็คือจะเป็นผู้มีภัยเวร
ท่านก็ไม่ได้ระบุนะว่า จะมีภัยเวรกับใคร แต่เราก็สามารถเข้าใจได้
ถ้าผูกเวรไว้กับใคร ผูกความเจ็บใจไว้กับใคร ก็จะมีภัยเวรกับคนนั้นแหละ
แต่ถ้าหากว่าลักษณะของการผิดศีลนี่
คือเป็นการผิดศีลเป็นนิสัย ผิดจนเรียกว่า
จำไม่ได้แล้วว่าไปทำใครเขาไว้บ้างอย่างนี้นะ
ลักษณะภัยเวรมันจะมาหาตัวในแบบที่ว่าคนเกลียดขี้หน้า ลองนึกดูว่า
ในชีวิตเรานี่เคยเห็นบ่อยใช่ไหม? บางคนนี่เขาไม่ได้ทำผิดคิดร้าย
ไม่ได้มาพูดอะไรไม่ดีใส่เรา แต่ก็เกิดความรู้สึกว่า
เขาเป็นคนแบบที่ดูแล้วน่าเหยียดหยาม น่าดูถูก มีลักษณะบางอย่างในชีวิต
ที่มันมีความเหม็น เหม็นออกมาจากจิตวิญญาณ คือไม่ใช่ตัวเหม็น แต่ดูหน้าแล้ว
ที่เขาเรียกกันว่าเหม็นหน้านี่ ลักษณะแบบนั้น
ถ้าเกิดขึ้นนะเป็นเหมือนกับติดตัวมาตั้งแต่เด็กแต่เล็ก
แล้วก็โตขึ้นมาก็มีคนเหม็นหน้าบ่อย
รู้สึกชีวิตมันไม่ค่อยมีใครเขาอยากจะอุปถัมภ์ค้ำชู ตรงข้ามอยากจะเหยียบย่ำให้ตกต่ำ
หรือว่าอยากจะไปทำร้ายกัน หรือว่าอยากจะทำให้มีชีวิตที่ไม่เป็นสุขนี่
อันนี้ก็คือตัวอย่างของคนที่อยู่ในช่วงวิบากเกี่ยวกับกาเมสุมิจฉาจารให้ผลอยู่
คือดูแล้วไม่เป็นที่รัก
สมัยนี้ก็... มันเป็นแบบที่ว่าค่อนข้างจะเกร่อนะ
ที่ว่าของเดิมนี่มาอย่างดี ศีลนี่หอมหวานนะ ดูทำให้เป็นคนเนื้อหอม แล้วก็เหมือนกับดึงดูดให้ใครต่อใครมาชอบได้มาก
แล้วก็เผื่อใจปันใจไป ปันเนื้อปันตัวไปนะ ไม่ว่าจะหญิงจะชายแหละ
ก็ทำกันแบบที่เอาของเก่าที่มันเป็นบุญ มาปู้ยี่ปู้ยำให้มันเกิดความเหม็นเสีย
ทำของหอมให้กลายเป็นของเหม็น ต่อไปมันก็จะเปลี่ยนเป็นอีกแบบหนึ่ง
คือสังสารวัฏนี่น่ากลัวแบบนี้แหละ มาในโฉมหน้าแบบหนึ่ง
หน้ากากของบุญแบบหนึ่ง เวลาที่ทำกรรมอันเป็นบาปนะ เป็นตรงกันข้าม
ก็จะไปใส่อีกหน้ากากหนึ่งที่บาปกรรม จากสวยกลายเป็นขี้เหร่
จากหอมหวานกลายเป็นเหม็นเน่านะ
ลักษณะที่ไปถึงสูงสุดที่จุดหนึ่งไม่ว่าจะเป็นบุญหรือเป็นบาป มันย้อนกลับมาให้กลายเป็นขั้วตรงข้ามได้อย่างที่น่าสลดใจนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น