ดังตฤณ : พอจิตมีการปรุงแต่งในแบบที่ต่างไปจากเดิมๆ .. ให้คุณมองอย่างนี้ก่อน ที่เรารู้สึกอุ่นใจมาตลอดคือ จิตมีความฟุ้งซ่านได้อย่างเป็นอิสระ มันชอบอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด
เพราะอะไร?
เพราะเรารู้สึกว่าเป็นอิสระที่จะคิด
เรารู้สึกว่าการเป็นอิสระที่จะคิดนี่แหละที่มันปลอดภัย ที่มันใช่
ที่มันทำให้เราสบายใจได้ว่า ชีวิตกำลังเป็นปกติ ทั้งๆที่ถ้ามองออกมาจากมุมมองของพระอรหันต์นะ
ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยสุ่มไปเรื่อยๆเนี่ย นี่แหละอาการผิดปกติ นี่แหละเป็นอาการหลง ที่พร้อมจะมีความทุกข์
พร้อมจะเกิดบาปเกิดกรรมแบบไหนขึ้นก็ได้ เพราะจิตชอบสุ่ม เข้าใจมั้ย
คือถ้าจิตมันอยู่ในอาการฟุ้งซ่าน แล้วสุ่มไปเรื่อยๆ เลือกเรื่องที่จะคิด
เลือกเรื่องที่จะพูด เลือกเรื่องที่จะทำให้เป็นอิสระ มีแนวโน้มที่มันจะเลือกไม่ดี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตเหมือนน้ำมีธรรมชาติไหลลงต่ำ ถ้าเราปล่อยมันไปเรื่อยๆ มันจะมีความโน้มเอียงที่จะไปก่ออกุศล มากกว่ากุศล นี่คือลักษณะปกติของคน คนเนี่ยอยู่ในจิตอยู่ในสภาวะที่น่ากลัว น่าระแวง แต่ตอนทำสมาธิเริ่มเจริญสติมันเริ่มเป็นปกติขึ้นมา มันเริ่มดีขึ้นมา
ตอนมีสติ คนเราจะพร้อมคิดเรื่องอะไรดีๆ พร้อมจะปรุงแต่งคำพูด คัดสรรถ้อยคำอะไรดีๆออกมาให้เข้ากันกับความเป็นกุศลจิต แต่เราไม่ได้สังเกตตรงนี้ เราสังเกตตรงที่ว่า เมื่อไหร่จิตมีความเป็นอิสระพร้อมจะคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย อันนั้นแหละน่าสบายใจ นี่!เราสังเกตอยู่แค่นี้
ทีนี้พอเรามาอยู่ในร่องในรอย ในลู่ในทางที่ทำให้มันมีสมาธิ อย่างเช่น สวดมนต์ ซึ่งบทสวดแน่นอนตายตัว มันบีบให้ความคิดของเราอยู่กับลู่ทางนี้เท่านั้น ไม่ออกนอกลู่นอกทาง จนกระทั่งพอมันเป็นสมาธิขึ้นมา ถ้าหากว่าสวดมนต์มาอย่างถูกต้อง สวดมนต์มาอย่างมีชนวนเป็นกุศล สวดด้วยความตั้งใจจะถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชา เราจะพบว่า เสียงของเรามีความไพเราะมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าธรรมชาติของกุศลจิต พอพัฒนาเป็นมหากุศล มันก็จะปรุงแต่งสภาพทางกายให้มีความเป็นมหากุศลตามไปด้วย ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน อะไรๆไหลมาแต่ใจ นี่ถ้าใจมันเป็นกุศลมีความเป็นมหากุศลเติบกล้าขึ้น แก้วเสียงของเราก็จะไพเราะมากขึ้น
ทีนี้มันจะมีบางกรณี ที่เริ่มเข้าที่เข้าทาง จิตสงบ คุณไม่ได้เล่าให้ฟังถึงสภาวะของใจ แต่สันนิษฐาน ผมสันนิษฐานว่าจิตเริ่มนิ่ง เริ่มมีความสงบแบบหนึ่ง ซึ่งยังไม่ได้ตัดสินว่าเป็นความสงบในแบบที่เบิกบานชุ่มชื่น หรือว่ามีความพร้อมจะแน่นิ่งไปเฉยๆ แน่นิ่งแบบไม่รู้ แน่นิ่งแบบคับแคบ
ทีนี้ถ้าเราสังเกตตรงนี้ว่า ตอนที่จิตนิ่งๆไปแบบแคบๆ มันจะเริ่มมีการดัดแปลงทางกาย เช่น กายมันจะนิ่งขึ้น มันจะรู้สึกมีพลังมากขึ้น มันจะรู้สึกเหมือนตัวโตขึ้น พอจิตมันนิ่งคล้ายๆว่าร่างกายมันก็เด่นชัดขึ้น มันเลยเหมือนโตขึ้น ทั้งๆที่ขนาดมันเท่าเดิมนั่นแหละ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย แต่จิตของเราต่างหาก ที่มีการรับรู้เปลี่ยนไปต่างไป
กรณีเกิดเสียงคนแก่ หรือจะเป็นอะไรอย่างอื่นก็ตาม ถ้าเราพิจารณาไว้ก่อนล่วงหน้าว่า นี่คือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปของสภาวะทางกาย ไม่ไปตกอกตกใจว่านี่เป็นการถูกกลั่นแกล้งจากภายนอก เราก็จะไม่เกิดความรู้สึกว่าตกอยู่ในภาวะเป็นอันตราย ย้ำนะครับ! ตอนฟุ้งซ่านอยู่ในชีวิตประจำวันปกตินั่นแหละจิตที่อันตราย แต่พอเริ่มเป็นสมาธิขึ้นมา ให้บอกตัวเองว่า นั่นเริ่มปลอดภัยมากกว่า มันพร้อมจะคิดดี มันพร้อมจะเห็นอะไรตามจริงมากขึ้น นี่ให้เราคิดอย่างนี้เตรียมไว้อย่างนี้
ทีนี้คุณบอกว่าเสียงเป็นคนแก่ อาจจะเป็นเสียงจริงๆของเรา แต่ว่าเรารู้สึกไปเองว่าเป็นเสียงคนแก่ หรือเอาแบบที่คุณกลัวเลยก็ได้ สมมติว่ามีการปรุงแต่งจากภาวะภายนอก จะเป็นวิญญาณ หรือว่าจะเป็นตัวตนเก่าอะไรของคุณก็แล้วแต่ มันกลายเป็นเสียงคนแก่ขึ้นมา คุณก็กำลังได้ยินเสียงนั้นด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ไม่ใช่ได้ยินด้วยจิตที่กำลังฟุ้งซ่าน ถูกมั้ย! เพราะฉะนั้น คุณกำลังได้ยินเสียงคนแก่ด้วยภาวะที่ปลอดภัยกว่าจิตปกติ ไม่ใช่เป็นอันตรายมากกว่าปกติ เนี่ย!พอเราเตรียมไว้อย่างนี้ ตั้งมุมมองไว้อย่างนี้ เห็นมั้ย เวลาเกิดอะไรขึ้นมา มันจะมีสติมากขึ้น ไม่ใช่ไปหวาดกลัว หรือว่าหวาดระแวงว่านี่กำลังจะมีอะไรทำให้เป็นบ้าหรือเปล่า
บางทีจิตที่เป็นสมาธิ เวลามันปรุงแต่งอะไร อย่างพอได้ยินเสียงของตัวเองชัดเจน มีความชัดเจนแจ่มแจ้งกว่าปกติ ปกติมีม่านหมอกความฟุ้งซ่านบดบังอยู่ แต่พอมีสมาธิแล้ว เสียงของเรามันปรากฏชัดขึ้นมาเป็นเสียงที่แท้จริงที่เรา ได้ยินออกมาโดยไม่มีม่านหมอกความฟุ้งซ่านมาบดบัง มันเป็นอะไรขึ้นมาก็ได้ตามที่เรารู้สึกไป
ถ้าหากคุณลองตั้งจิตไว้ล่วงหน้าว่า การสวดมนต์ครั้งนี้ เราจะถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชา คุณจะรู้สึกนะว่า ด้วยน้ำจิตด้วยเจตนานั้น มันปรุงแต่งให้เสียงเพราะขึ้น เพราะขึ้น ยิ่งได้ยินชัดขึ้นเท่าไหร่ มันยิ่งเพราะมากขึ้นเท่านั้น ลองดูนะครับ
แต่ถ้าจะได้ยินเสียงเป็นอย่างอื่น หรือแม้กระทั่งนะ สมมติพูดให้แบบสุดโต่งไปเลย สำหรับบางคนได้ยินเสียงคล้ายปีศาจรบกวน หรืออะไรก็แล้วแต่ ให้มองอย่างนี้ว่า จิตของเรากำลังเป็นสมาธิอยู่ มันถึงได้ยินแบบนั้น แล้วถ้าจิตมีสมาธิ ก็พร้อมที่จะตั้งสติได้มากกว่าปกติ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัว ถ้าออกจากสมาธิต่างหาก ถึงจะน่ากลัว แล้วคุณก็พิจารณาว่า เสียงรบกวนที่มันมานั้น มันมาชั่วคราวได้กี่ลมหายใจ หรือว่ามันมาซ้ำซากอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมงๆ
ถ้าคุณอยู่กับสิ่งที่ทำให้เกิดความกลัวได้นานหลายนาทีนะ
จิตมันจะเริ่มชิน แล้วพอจิตเริ่มชินแล้ว รับรู้แล้วว่าสิ่งที่ทำให้กลัวนั้น
หน้าตาเป็นอย่างไร มีความปรากฏเป็นอย่างไร จิตที่เป็นสมาธินั้น ที่มีสติแบบนั้น มันจะแยกแยะออกขึ้นมา
มีญาณสัมผัสขึ้นมาว่า เป็นเสียงภายนอกจริงๆ หรือว่าเป็นความปรุงแต่งในหัวของเราเองที่จิตมันหลอกตัวเองขึ้นมา
มันจะแยกออกเลยนะ ตรงนี้สองขั้วนี้สำคัญนะครับ การปรุงแต่งของเราเองเป็นข้างใน
การปรุงแต่งจากภายนอก มารบกวนมาขัดขวาง อันนี้ก็อยู่ส่วนภายนอก
แล้วก็จะมีค่าเสมอกัน ไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายใน คือ มันมารบกวนจิตใจ
มันมาปรุงแต่งจิตให้ไขว้เขวไปจากสมาธิ จะสมาธิในการสวดมนต์
หรือสมาธิในการดูลมหายใจก็ตาม
พอมีสติขึ้นมาแบบนี้ คุณจะรู้เลยนะว่า สติที่แข็งแรง
สติที่เข้มแข็ง สติที่มีความแก่กล้า หน้าตาเป็นยังไง มันไม่กลัว
มันมีความเป็นอุเบกขา มันเห็นเป็นของว่าง แล้วก็ผ่านไปได้
โดยไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่น นี่!ตัวนี้ที่เป็นสติ
ที่เราบอกว่า สติ
สติ อยู่ในชีวิตประจำวัน สติที่จะคิด สติที่จะนึก สติที่จะโน่นนี่นั่น
เป็นสติอ่อนๆ แต่สติที่เข้มแข็งคือสติที่สามารถผ่านความน่ากลัวทางการปรุงแต่งของจิตไปได้
โดยที่มีความโปร่ง มีความว่าง มีความเบา เป็นจุดหมายปลายทาง รออยู่ที่จุดหมายปลายทางนะครับ
-----------------------------------------
๗
พฤศจิกายน ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน แก้อาการปวดเสียวหน้าผากขณะนั่งสมาธิ
คำถาม : เคยมีประสบการณ์สวดมนต์อยู่ จู่ๆมีอาการคล้ายคนแก่ เสียงสวดมนต์ก็เป็นเสียงคนแก่ ตกใจมาก รีบหยุดสวดมนต์ ทำให้ไม่กล้าสวดมนต์(กลัว) อยากทราบว่าเกิดจากอะไร และควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อมีลักษณะนี้
ระยะเวลาคลิป
๑๑.๐๕ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=GVHwuzS8JOM&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=6
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น