วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

อยากได้วิธีอธิษฐานขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกต้องให้ได้ผล

 ดังตฤณ :  สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในอนันตจักรวาลก็คือ พระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคนเลยอยากจะไปเกิดในยุคที่พระพุทธเจ้าไปตรัสรู้ธรรมกันมากมายนะครับ เพราะว่าอะไร?

เพราะว่าได้ไปเจอสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุดในอนันตจักรวาล แล้วเจอทำไม โดยสัญชาตญาณของคนทั่วไปก็คือ จะได้ขอพรหรือว่าจะได้อะไรสักอย่างที่วิเศษศักดิ์สิทธิ์จากพระองค์ คือไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่วิเศษสูงสุดคืออะไร รู้แต่ว่าถ้าบุคคลเช่นพระองค์อุบัติแล้ว ก็จะเผื่อแผ่สิ่งที่เป็นมงคลสูงสุดมาให้กับเรา ตรงนี้ก็เลยถึงได้เป็นเหตุให้คนอยากได้เข้าเฝ้า หรืออยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ก็อธิษฐานกัน ขอให้ไปเกิดในยุคพระศรีอาริย์บ้าง ขอให้ไปเกิดในยุคโน้นยุคนี้บ้าง ยังไงก็ตามขอให้ไปพบพระพุทธเจ้าเถอะ แล้วอะไรดีๆก็จะเกิดขึ้นเอง

ทีนี้จริงๆแล้วเนี่ย เอาพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์ปัจจุบันจริงๆ เวลาคนไปเข้าเฝ้า ก็เข้าเฝ้ากันด้วยลักษณะนี้แหละว่า ใจเนี่ยเล็งอยู่ว่านี่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าพระพรหมอีก คนที่กราบไหว้วิงวอนพระพรหมนะครับ จริงๆพระพรหมไปกราบไหว้พระพุทธเจ้านะ แล้วก็ขอให้พระองค์สอน ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากพระองค์ให้ประทานต่อองค์เทพองค์พรหม อันนี้ถ้าเป็นศาสนาอื่นจะไม่เชื่อความจริงข้อนี้ ก็จะเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นแค่อวตาร หรือว่าเป็นแค่คนที่ได้รับคำสั่งให้มาเป็นอะไร แล้วแต่ความเชื่อกันไป

แต่ถ้าเป็นศรัทธาแบบพุทธจริงๆ ที่มีหลักฐานแสดงอยู่ในพระไตรปิฎกก็คือ พระพุทธเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในอนันตจักรวาล ในขณะหนึ่งๆจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ได้เพียงหนึ่งเดียว ไม่มีเป็นที่สองนะครับ

คนไปเข้าไปขอพรจากพระองค์ พระองค์ตรัสตอบว่าอย่างไร

พระองค์ตรัสตอบว่า เราตถาคตเลิกให้พรนานแล้ว เราชี้ทางอย่างเดียว คือชี้ทางว่าสิ่งที่มันดีที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเธอได้ก็คือ ให้ละบาปบำเพ็ญบุญ แล้วก็เจริญสติให้จิตผ่องแผ้ว อันนี้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในจักรวาล แล้วคนที่รู้มากที่สุดในจักรวาล เห็นมากที่สุดในจักรวาล ท่านให้สิ่งนี้ บอกว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด ท่านบอกว่าท่านไม่ให้พรแล้ว

แต่ทีนี้ธรรมชาติของมนุษย์ ท่านก็รู้นะจะต้องขอพรจากสมณะผู้ที่ตนนับถือ หรือว่าถวายข้าวปลาอาหารให้เนี่ย พระองค์ก็เลยอนุญาต เป็นพระวินัยเลยนะครับ บอกว่าถ้าญาติโยมขอก็ให้พรได้ตามอัธยาศัยของญาติโยม แต่ไม่ใช่อยู่ๆไปสอนให้ขอตะพึดตะพือ

ศาสนาพุทธจริงๆไม่ใช่ศาสนาที่สอนให้ขอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้พรได้จริง อันนั้นก็จะทำให้เกิดความยึดติด ความยึดติดเป็นที่มาของความงมงาย คือเชื่ออย่างเดียวว่า เราจะต้องได้สิ่งดีๆจากบุคคลที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าจากเทพยดาที่ศักดิ์สิทธิ์องค์ใดองค์หนึ่ง

แต่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาเป็นอนันตชาติ เพื่อจะมาบอกว่า “ไม่ใช่” แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือคำสอน คือการชี้ทางนะครับ ให้เจริญสติ ถ้าเจริญสติได้ อันนี้คือของวิเศษที่สุดแล้วที่เราพึงมีพึงได้จากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้นะครับ

ที่เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่มันเป็นสิ่งที่เราถูกหลอก แล้วการเจริญสติก็คือ การที่เอาตัวของเราเองออกจากการถูกหลอกนั้น

คราวนี้ตอบคำถามว่า ทำอย่างไรวิธีที่จะอธิษฐานขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกต้องและได้ผล?

ก็คือ เรามีความเข้าใจจริงๆว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในพระพุทธศาสนาท่านบอกไว้อย่างนี้ว่า พรอันประเสริฐที่สุดเท่าที่ท่านจะให้ได้ก็คือ การให้เราได้มีความเข้าใจในการเจริญสติ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป หรือต่อหน้าพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็แล้วแต่ เราอธิษฐานว่า ขอให้ใจเรามีความสามารถในการทิ้ง (อันนี้คีย์เวิร์ดก่อนเลยนะครับ) มีความสามารถในการทิ้งขยะทั้งปวงออกไป ขยะชิ้นแรกที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ทิ้งคือ ความตระหนี่ อันนี้ก็โดยการบริจาคทรัพย์เป็นทาน ทรัพย์ที่พึงมีพึงได้มา หามาได้โดยสุจริต แบบที่เป็นส่วนเกินไม่ใช่ส่วนหลักของเรานะ เอาส่วนเกินเล็กๆน้อยๆบริจาคให้คนอื่น แล้วก็บริจาคความเคียดแค้นพยาบาทออกเป็นอภัยทาน ถ้าเราไปทำบุญแค่ไหน เราอธิษฐานเลย ขอให้บริจาคความเคียดแค้นพยาบาทได้เท่านั้น ทำลายความตระหนี่เสร็จ มาทำลายความพยาบาท แล้วก็ขอให้เรามีกำลังที่จะรักษาความสะอาดของใจให้เป็นศีล

คำว่า ศีล จริงๆมันต้องสะอาดจากการไม่เอาจิตยอมไปแปดเปื้อนบาปทั้ง ๕ นะครับ ถ้าหากว่าทำได้ถึงจะเรียกว่าศีล , ศีล ไม่ใช่ตั้งต้นด้วยการมาด้วยการบอกว่า ข้าพเจ้าจะถือศีล แบบนั้นยังไม่เป็นศีลนะครับ

ศีล จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีสิ่งยั่วยุให้ทำบาปทั้ง ๕ แล้วเราไม่เอา ใจเราไม่เอา นี่!ตัวนี้ที่เป็นศีลขึ้นมาแล้ว ก็อธิษฐานว่า ขอให้เราได้มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเองที่จิตมากพอที่จะรักษาศีลได้ จากนั้นก็ขอให้เรามีสติปัญญามากพอที่จะทิ้งอุปาทานยึดมั่นถือมั่นว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวของเรา เนี่ยอธิษฐานแบบนี้ คืออธิษฐานเข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในจักรวาล คือพระพุทธเจ้านะครับ

เวลาที่เราอธิษฐานว่าจะขอทิ้ง ทิ้งความเข้าใจผิด ทิ้งความตระหนี่ ทิ้งบาป แล้วก็ทิ้งความเข้าใจผิดยึดติดอุปาทานว่ากายใจเป็นตัวของเรา ตรงนี้ผลมันจะเกิดเป็นอย่างไร?

ผลมันจะเกิดเป็นว่า เราเกิดอีกกี่ครั้งกี่หนก็ตาม มันจะไปอยู่ในทิศทางที่เป็นไปในทางดี มีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทางดี มีแนวโน้มที่จะเข้าหาพุทธศาสนา

พุทธศาสนาไม่ไดอุบัติบ่อยนะครับ แต่เมื่อไหร่ที่พุทธศาสนาอุบัติ คนที่อธิษฐานถูกต้องอย่างนี้ก็จะได้เป็นอภิสิทธิ์ชน คือมีสิทธิ์ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า หรืออย่างน้อยถ้าไม่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็มีสิทธิ์ได้รับคำสอนคำชี้แนะโดยตรงจากครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ แล้วอะไรที่คุณอยากได้จากการอธิษฐานก็ตาม มันไหลมาเทมาจากการที่เราได้มีโอกาสขึ้นที่สูง ได้พบพุทธศาสนา ได้ครูบาอาจารย์เป็นอริยบุคคลนี่แหละ มันจะมีผลนะครับ คือไม่ใช่เฉพาะจะต้องไปรอชาติหน้าก่อน เอาชาตินี้แหละ ถ้าอธิษฐานแบบนี้บ่อยๆ อธิษฐานขอทิ้งความตระหนี่ ทิ้งบาป แล้วก็ทิ้งความเข้าใจผิด ทิ้งความยึดติดที่มันเป็นอุปาทาน อธิษฐานบ่อยๆ ในที่สุดมันจะได้เจอคนที่มาสอนเราให้เราสามารถจะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้นะครับ

------------------------------------------

๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำใจรับมือกับการเปลี่ยนแปลงงาน

คำถาม : อยากได้วิธีอธิษฐานขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกต้องให้ได้ผล

ระยะเวลาคลิป     ๙.๕๘ นาที
รับชมทางยูทูบ   https://www.youtube.com/watch?v=yAoW5Te0foE&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=3

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส


** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น