ดังตฤณ : การที่เราฝันถึงใครบ่อยๆ ถ้าใครไม่ประสบด้วยตัวเอง บางทีก็จะไม่เข้าใจ แล้วก็อาจรู้สึกเหมือนกับว่า เอ๊ะ!ฝันไปเปล่าๆหรือเปล่า หรือว่าคิดไปเองหรือเปล่า
แต่ถ้ามันบ่อยมันถี่ แล้วก็มันชัด แล้วก็มีความรู้เป็นเรื่องเป็นราว หรือว่าบางทีมีการสื่อสารกันได้ด้วย แล้วก็พิสูจน์กันได้ด้วยว่า ที่เห็นนั้นเห็นจริงด้วยวิธีต่างๆประการต่างๆ อันขอเข้าข้างว่าสมมติว่าเป็นจริง เอากรณีที่ว่าเรารู้สึกว่า ตรงนี้ไม่ใช่แค่ความฝันเลอะเทอะ แต่เป็นการสื่อสารกันจริง อาจจะไม่ใช่แค่ความฝันอย่างเดียว อาจจะมีลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง ก็มองอย่างนี้แล้วกันว่า ยังมีความเกี่ยวข้อง
ความเกี่ยวข้องของคนที่ยังอยู่ในโลกนี้กับคนที่อยู่ในโลกอื่นที่จากโลกนี้ไปแล้ว ละจากโลกนี้ไปแล้ว มันมีได้สองแบบ แบบดีกับแบบร้าย กลางๆไม่ค่อยมี มันจะมีแค่สองอย่างไม่ ”ดี” ก็ “ร้าย”
ไม่ว่าความสัมพันธ์จะเป็นแบบดีหรือแบบร้าย มันมีจุดที่กล่าวได้ว่าเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ จิตของเขา วิญญาณของเขายังยึด ยังโยงอยู่กับเรา ยังผูกอยู่กับโลกใบนี้
การเกิดใหม่ในแบบที่จิตวิญญาณยังพัวพันแล้วก็ผูกเหนียวแน่นอยู่ในโลกนี้ มีได้สองต้นเหตุใหญ่ๆ คือ ไม่ “รัก” ก็ “เกลียด”
“ความรัก” “ความเกลียด” จริงๆแล้วมันเป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้ผู้จากโลกนี้ไปแล้ว ไม่จากไปจริง จากไปแต่กายแต่ใจยังอยู่ ไม่รักก็เกลียด การที่เราจะสรุปทีเดียวว่า เขายังไม่หมดภัยหมดเวรกับเรา บางทีมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิด
ลักษณะของการผูกด้วยความเกลียด บางทีจิตวิญญาณเขาอาจจะไม่ได้เกลียดแล้ว อาจจะมีความมืด หรือว่ามีสายโซ่ที่มันผูกโดยเขาเองเขาก็ไม่เต็มใจจะผูก แต่ว่ามันมาในรูปของเวร
คำว่า “เวร” คนที่ตายไปแล้วอยู่ในโลกวิญญาณ แล้วจะเห็นชัดที่สุดว่า มันเป็นสายโซ่หน้าตายังไง คนที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างเราๆท่านๆ ยังมีเนื้อตัวนุ่มนิ่มแห้งสะอาดสบายเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ แล้วก็รู้สึกเป็นเอกเทศกับวัตถุต่างๆ มีอากาศว่างๆ ไม่มีอะไรมาล่าม ไม่มีอะไรมาร้อยรัดมาพัวพัน เราก็นึกว่าชีวิตคือร่างกายนี้ที่ไม่ได้ผูกติดกับอะไร
แต่ในโลกวิญญาณนั้น ถ้าหากจิตมันข้องอยู่กับใครแล้วผูก จะด้วยความรัก หรือด้วยความชังก็ตาม หรือว่าด้วยเวรที่เคยมีต่อกันมาก็ตาม บางทีมันคล้ายๆว่า .. คุณลองนึกนะ สมมติตัวเองนะ เหมือนกับคุณกำลังฝันอยู่ แล้วในความฝันของคุณ ใจเหมือนถูกล็อกติดอยู่กับห้องๆหนึ่ง มันไม่ได้มีสายโซ่หรือว่าเชือกปรากฏเป็นรูปเป็นร่างนะครับ แต่ใจของคุณไม่สามารถออกจากห้องนั้นได้ มันถูกดูดติดอยู่กับห้องๆนั้น อันนี้เหมือนกัน คือสายโซ่ทางวิญญาณมันไม่ได้ปรากฏโซ่เป็นข้อๆนะครับ แต่ปรากฏเป็นความยึดติด ผูกติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง
บางคนใจนะ พอไปอยู่ในโลกวิญญาณแล้วอาจจะเสียใจก็ได้ เออไม่น่ามาเคยผูกพยาบาทอะไรกัน มันเหมือนถูกกักขัง ต้องกลับมาวนเวียนอย่างนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะในสภาพนั้นถ้าเราไม่ได้ปลดล็อก ไม่ได้พยายามกระตุ้นให้เกิดการปลดล็อกบ่อยๆ มันก็ไม่เกิดความสะเทือนไปถึงอีกฝ่ายหนึ่ง
วิธีง่ายๆที่จะปลดล็อกให้เขาก็คือ เราสวดมนต์ก็ตาม นั่งสมาธิก็ตาม เดินจงกรมก็ตาม หรือทำบุญแล้วเกิดความรู้สึกเลื่อมใส เกิดความรู้สึกผ่องแผ้ว เกิดความรู้สึกเบาขึ้นมา ใจที่เบานั้นเอาไปอธิษฐานว่า ..
“ขอให้ภัย ขอให้เวร ขอให้ความผูกที่เคยยึดติดกันมา จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นระหว่างที่มีชีวิตร่วมกันบนโลกใบนี้ก็ตาม ขอให้เป็นอโหสิ ขอให้เป็นโมฆะ ขอให้มันปลดพันธะออกจากกันเพียงเท่านี้”
คุณส่งจิตอธิษฐานด้วยแรงอธิษฐานแบบนี้บ่อยๆด้วยใจที่มันเบาจริงๆ ในที่สุดมันมีกำลังมากพอ มันมีพลังมากพอที่จะไปปลดล็อกห่วงโซ่ในใจของเขาได้ ถ้าหากเขาก็อยากที่จะหลุดพ้นจากสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน มันจะยิ่งง่ายนะครับ
คือบางทีมันก็รู้ได้ยากว่า ที่เขายังคอยวนเวียนอยู่ วนเวียนอยู่ด้วยอาการผูกใจเจ็บ อยากจะเล่นงานเราต่อในภาคของวิญญาณ หรือว่าเขากำลังมีความระทดระทวย ส่วนใหญ่นะ ถ้าไม่ได้ตายไปพร้อมกับความรู้สึกจงเกลียดจงชังจริงๆ ส่วนใหญ่พอรู้ตัวว่า ยังผูกติดอยู่กับใคร เขาจะหาเรียกร้องความช่วยเหลือ ขอความช่วยเหลือนะครับ
จริงๆแล้วมันไม่ใช่เหมือนในหนังในการ์ตูน ที่อาฆาตแค้นกันแล้วในระหว่างมีชีวิต ตายไปแล้วจะมาฮึ่มฮ้ำอะไรใส่กันตลอดเวลาแบบนั้น คือมีไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่ใช่ง่ายๆนะ
คือที่จะเป็นจิตวิญญาณที่จำอดีตหนหลังได้ แล้วจะอยากตกทุกข์ตกทรมาน ตกที่นั่งทุกข์ ตกที่นั่งทรมานแบบนั้นไปเรื่อยๆเนี่ย ไม่ค่อยจะเป็นแบบนั้น ส่วนใหญ่จะอยากออกจากภาวะความเป็นอย่างนั้น ซึ่งถ้าหากว่าเราซึ่งเป็นขั้วหนึ่งของกรรมสัมพันธ์ที่เคยผูกกันไว้ไม่ดี เป็นฝ่ายเริ่มต้นจุดชนวนที่จะปลดล็อก ที่จะเหมือนกับปลดปล่อยทั้งเราทั้งเขาออกจากกันและกัน ด้วยบุญด้วยกุศลที่เราอุทิศไปในขณะที่จิตใจผ่องแผ้ว อันนี้มันก็จะทำให้เขา ซึ่งอยากขออยู่แล้ว อยากจะได้อิสรภาพตรงนั้นอยู่แล้ว รีบรับทันที แล้วพอรับบ่อยๆ ในที่สุดใจมันก็คลาย ตัวพลังที่เป็นสายโซ่ผูกเวร มันก็จะเบาลง เบาลง
เหมือนกับที่คุณอยู่ในห้องขังห้องหนึ่ง แล้วอยากออกจากห้องนี้ อยากออกจากห้องนี้ แล้วในที่สุดหายตัวได้ คือมันไม่สามารถที่พังกำแพง ไม่สามารถที่จะทุบทำลายด้วยค้อน ไม่สามารถตัดด้วยใบเลื่อย แต่สามารถหายตัวไปจากห้องนั้นเฉยๆ นี่!ความรู้สึกในโลกวิญญาณมันแบบนี้นะครับ ตอนที่ยังผูกเวรอยู่กับใคร มันจะมีน้ำหนักตัว มันจะมีความรู้สึกว่า ไปไหนไม่รอด โดยไม่จำเป็นต้องมีสายโซ่ผูกอยู่ อาการทางใจที่คิดถึง หรือว่าจดจ่ออยู่กับภัยเวร ตรงนั้นแหละ แค่นั้นแหละ มันเหนียวแน่นกว่าสายโซ่อยู่แล้ว
ทีนี้ถ้าสายโซ่แห่งภัยเวรตรงนั้นมันเบาบางลง
ก็จะเหมือนกับตัวเบา เบาลง โปร่งๆๆ จนกระทั่งในที่สุดหายตัวไป
หายตัวไปจากห้องขังนั้น ส่วนจะไปที่ไหนอีก วิญญาณก็ไม่มีทางรู้นะครับ
คือจะถูกวิบากแห่งกรรมที่เคยทำในระหว่างมีชีวิตอยู่บนโลกมาซัดไป มันเลือกไม่ได้นะ
คือหายไปจากห้องขังนั้นแล้ว อาจจะไปโผล่ในห้องขังอื่น อันนี้ก็สุดแล้วแต่ว่า เคยทำมามากหรือน้อยเพียงใด
แต่ตัวเราเองปลดล็อกได้แน่ๆ ถ้าหากว่าทำบุญอุทิศไปแล้วใจผ่องแผ้ว
ไม่มีความผูกใจอะไรอีกแล้ว ของเรารอดแล้ว
ถ้าตายไปเราก็ไม่ต้องไปติดอยู่ในห้องขังเดิมนะครับ
----------------------------------------
๓๑
ตุลาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน อภัยแต่ไม่คบ จบเวรไหม?
คำถาม : คนที่เคยเกี่ยวข้องกับเรา เช่น ภรรยใหม่ของคุณพ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว เขาก็พยายามมาวนเวียนกับเรา แบบนี้ถือว่ายังไม่หมดเวรต่อกันใช่ไหม? ทั้งที่เราไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว
ระยะเวลาคลิป ๑๐.๕๕ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=VfE13vWQrxw&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=9
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น