วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

จะทำอย่างไรให้ใจคลายจากการยึดติดในตัวบุคคลความทรงจำ ที่เคยมีอิทธิพลในช่วงๆหนึ่งของชีวิต

ดังตฤณ :  คือพอเราใช้ชีวิตประจำวัน มันไปโดนกระตุ้นให้นึกถึง หรือหวนไประลึกเกี่ยวกับเรื่องราวแต่ครั้งหนหลังได้เป็นธรรมดา

คำถามก็คือว่า จะทำอย่างไร ในแง่ของการเจริญสติ และทำอย่างไรเราจะเอาความทรงจำนี้ออกจากจิตใจเราให้ได้ นี่คือคำถาม

คำถามแบบนี้ เป็นคำถามที่ทำให้เกิดความมุ่งหวัง หรือเกิดมุมมองผิดๆเกี่ยวกับจิต นึกว่าจิตเป็นตัวเรา แล้วเราสามารถที่จะกำจัดความทรงจำ หรือว่าการระลึกถึงอะไรต่างๆได้ดังใจ ซึ่งไม่ใช่!นะครับ

ยิ่งเรามีความพยายามที่จะทำให้จิตของเราปลอดจากความจำ ปลอดจากการระลึกถึงคนรักเก่ามากขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งเห็นความไม่ใช่ของๆเรา ความเป็นจิตที่ไม่ใช่ของๆเรามากขึ้นเท่านั้น เพราะอะไร?

เพราะจิตเขาปรุงแต่งตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ปรุงแต่งไปตามความอยากที่เรากำหนด ที่เราบังคับ ที่เราสั่งมัน ถ้าเราพยายามบังคับให้มันเลิกคิด เลิกจำ แล้วเราพบความจริงว่า จิตมันดื้อ ไม่ยอมตามคำสั่ง .. ณ จุดนั้นให้พิจารณาด้วยวิธีคิดๆนี่แหละว่า เรากำลังเห็นหลักฐานชิ้นโตของความเป็นอนัตตาทางใจ จิตไม่ใช่ของๆเรา จิตเป็นของปรุงแต่งตามเหตุปัจจัยทางธรรมชาติ

ถ้าหากว่าเคยมีเรื่องราวหนหลังที่มันประทับอยู่ในจิตหนาแน่น จิตก็จะปรุงแต่งเรื่องราวเหล่านั้นขึ้นมาบ่อยๆ ด้วยความยึดมั่นเหนียวแน่นเช่นกัน มีความน่าประทับใจมาก จิตก็ยึดมั่นมาก นี่อันนี้คือเหตุปัจจัย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของการปรุงแต่งทางจิต ไม่ใช่เป็นไปตามที่เราจะบังคับควบคุม ทีนี้จะแก้อย่างไร?

ด้วยวิธีการเจิรญสติแบบพุทธ ถ้าคุณเริ่มต้นขึ้นมา อาศัยเครื่องทุ่นแรง เครื่องเกาะ เครื่องพยุงที่พระพุทธเจ้าสอน สังเกตดูว่า ตอนที่กำลังยึดมั่นเหนียวแน่น กำลังหายใจสั้น หรือหายใจยาวอยู่ คุณจะพบว่า ตอนที่เรากำลังหน้าเศร้าเจ่าจุก โอ้ยคิดถึงเหลือเกิน หรือว่า โอ้ยอยากให้กลับมาเป็นแบบเดิม อาการเหมือนมันจะไม่ค่อยเงยหน้า จิตไม่ค่อยเปิด ส่วนใหญ่จะก้มหน้า แล้วจะหายใจสั้น เพราะอะไร?

เพราะว่า ลักษณะการปรุงแต่งของจิต มันไปจี้ไปยึดอยู่กับการปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในอดีต พอเราเริ่มสังเกตอย่างนี้ มันมีทิศทางในการพัฒนาสติ เราเริ่มเห็นไปตามจริงว่า ทุกครั้งที่เรามีอาการเศร้า ที่เราเครียดจากการนึกถึงเรื่องเก่าๆ ลมหายใจจะสั้น

ทีนี้พอรู้ตัวว่าเริ่มเครียดเริ่มเศร้าแล้วหายใจสั้น โดยธรรมชาตินั้นจิตที่มีสติรู้แบบนั้นเขาจะปรุงแต่งลมหายใจยาวขึ้นมา หายใจยาวพองท้องออกนิดนึง แล้วเกิดความสดชื่นขึ้นมาแทนที่ พอสังเกตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สังเกตบ่อยๆ สังเกตซ้ำไปซ้ำมา มันจะกลายเป็นความเข้าใจว่า อ้อ!ทั้งหลายทั้งปวงที่เรานึกว่ามันเป็นจิตของเรา มันเป็นความจำของเรา ที่แท้แล้วมันเป็นสภาวะปรุงแต่งทางธรรมชาติ มีความสัมพันธ์กันระหว่าง ลมหายใจ สภาวะทางกาย อิริยาบถทางกายกับความทรงจำ ความเจ็บปวด ความหวานชื่น อะไรทั้งหลาย มันโยงใยสัมพันธ์กันทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรสักอย่างเดียวที่มันตั้งอยู่ลอยๆ

ที่นึกว่าเป็นเรา ที่นึกว่าเป็นความทรงจำของเรา ที่นึกว่าเป็นคนของเรา มันเป็นความหลงเข้าใจผิดที่เหลวไหลทั้งเพ ณ ขณะที่มีสติแบบนักเจริญสติทางพุทธจะมีความกระจ่างทางใจแบบนี้เกิดขึ้นมานะครับ แต่เสร็จแล้วเดี๋ยวๆมันก็ลืม แล้วก็กลับมายึดใหม่ เราก็มาสังเกตใหม่อีก สังเกตไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันกลายเป็นความเคยชิน มันกลายเป็นความชำนาญ ไม่ต่างจากที่เราซ้อมเล่นดนตรี ซ้อมเล่นกีฬา ซ้อมที่จะคิดคณิตศาสตร์ อะไรต่างๆ ซ้อมจนกระทั่งมันเข้าฝักสมองเข้าที่ แล้วจิตมีความตื่นพร้อมรู้ ณ เวลาที่เกิดขึ้นว่า อ๋อมันอย่างนี้นี่เอง อะไรๆมันเป็นการประกอบประชุมกันเข้าเป็นความรู้สึกแบบหนึ่งในขณะหนึ่งๆ ไม่ใช่ว่าความรู้สึกแบบหนึ่งๆ มันเกิดขึ้นโดยตัวของมันเองลอยๆ มันมีความสัมพันธ์กันไปหมด

ถ้าเราหายใจยาวได้บ่อยๆนะครับ มันจะไม่อยากคิดถึงคนรัก มันจะไม่อยากคิดถึงความสุขแต่หนหลัง เพราะมีความสุขความสดชื่น ณ เวลานี้ทางกายปรากฏแจ่มชัดกว่า จิตมันจะยึดความสุขที่กำลังเด่นชัด ถ้าหากว่าไม่มีความสุขที่กำลังเด่นชัด มันจะไปย้อนนึกถึงความสุขที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต

ทีนี้ถ้าเรามีสติ มีลมหายใจอันเป็นสุข มีจิตที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้วจากอาการยึดมั่นถือมั่นในเรื่องราวเก่าๆแต่หนหลัง มันก็จะมีแก่ใจที่จะสังเกตเอาแค่ปัจจุบัน ปัจจุบันที่กำลังเป็นสุขอยู่ เนี่ยมันก็เห็นนะว่า อ๋อด้วยลมหายใจที่ยาวอย่างต่อเนื่องเนี่ย จิตมันจะว่าง จิตมันจะปลอดโปร่ง จิตจะไม่เอาเลยอดีตกับอนาคต จะอยากได้แค่ปัจจุบัน มีความอยากรู้ อยากดู อยากเห็น อยู่แค่สิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่เดี๋ยวนี้ เสร็จแล้วพอความสุขนั้นเสื่อมลง มันก็เกิดสติขึ้นมารู้ตามจริงอีกว่า พอไม่มีความสุขอันเป็นปัจจุบันแล้ว ความทุกข์ที่มันเกิดจากการสูญเสียคนรัก มันก็กลับมาหวนเล่นงานเราอีก นี่!เห็นเป็นปัจจัย เห็นเป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่าง สภาวะทางกายกับสภาวะทางใจอย่างนี้ .. ในที่สุดมันจะเกิดสติอย่างใหญ่ขึ้นมา ทำให้จิตใหญ่ มีความพร้อมที่จะรู้ทั่ว ทั่วพร้อม เห็นไปหมดเลยว่า สภาวะทางกายเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี แล้วก็เห็นในลำดับต่อมาว่า ปฏิกิริยาที่โต้ตอบ มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ แล้วใจมันสงบ หรือฟุ้งซ่านเป็นขณะๆ เนี่ย!ตัวนี้แหละที่จะถอนเอาไอ้ความยึดมั่นถือมั่นแบบเก่าๆออกไปได้จริงๆ ไม่ใช่เราไปสั่งว่า จิต!จงถอนความยึดมั่นถือมั่นนะ ไม่ใช่!นะครับ แต่เราฝึกให้จิตมีความสามารถรู้ มีความสามารถที่จะดู มีความสามารถที่จะเฝ้าสังเกตอยู่กับปัจจุบันธรรม นี่!ตัวนี้แหละที่เป็นของจริงของพระพุทธเจ้า

ไอ้ที่เราอยากได้จิตสงบๆ หรือว่าอยากลืมอะไรให้ได้ไวๆ อันนั้นของปลอมนะครับ อันนั้นของไม่จริง อันนั้นคือสิ่งที่เป็นเท็จ ที่กิเลสมันสร้างขึ้นมาหลอก! 

--------------------------------------------------

๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน แก้อาการปวดเสียวหน้าผากขณะนั่งสมาธิ

คำถามจะทำอย่างไรให้ใจคลายจากการยึดติดในตัวบุคคลความทรงจำที่เคยมีอิทธิพลในช่วงหนึ่งๆของชีวิต เช่น คนรักเก่า อยากจะใช้ชีวิตไปข้างหน้าให้เต็มที่ แต่เมื่อมีความทรงจำที่เกี่ยวข้องขึ้นมา ก็ยังมีอาการทางใจอยู่ เหมือนไม่ไปไหนสักที เป็นเพราะเรามีใจชวนเขาทำบุญฝ่ายเดียวมาตลอดด้วยไหมครับ?

ระยะเวลาคลิป    ๙.๑๗ นาที
รับชมทางยูทูบ    
https://www.youtube.com/watch?v=pDi0qmau_Ok&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=9

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส


** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น