วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ทำอย่างไรให้ญาติที่เสียชีวิตไปแล้ว ระลึกถึงบุญที่เขาเคยได้ทำ

ดังตฤณ : มีคำถามที่น่าสนใจถามว่า มีน้องชายที่ได้ประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตไป (ซึ่งเสียชีวิตนานแล้วหรือเปล่าไม่ทราบ) ผู้ที่อยู่ข้างหลังควรทำอย่างไร ให้เขาได้ระลึกถึงบุญที่เคยได้ทำ

 

ก่อนอื่นต้องเข้าใจจุดได้เปรียบของการเป็นญาติ ..

 

ในโลกวิญญาณ ถ้าเราตัดเนื้อหนังหน้าตาร่างกายทิ้งไป เหลือแต่ความรับรู้ทางจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นใครคนหนึ่ง มีหน้าตาแบบหนึ่ง เคยมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง กับบุคคลกลุ่มหนึ่งในขณะที่ยังมีชีวิต

 

ในระหว่างที่มีชีวิต จะมีความสัมพันธ์ร่วมกันสนิทสนมกับใคร ก็จะมีความรับรู้มีความผูกพันโดยกรรม โดยความรู้สึกติดตัวตามไปในโลกของวิญญาณด้วย

 

บางคนบอกว่า ตัวเองเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก พอตายไปถึงรู้ว่ามีความเกี่ยวพัน เกี่ยวข้องกับคนอีกมากมาย แต่ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ไม่รู้ตัว มีแต่อาการหมกมุ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง เอาความรู้สึกของตัวเองเป็นใหญ่ เป็นสำคัญ ก็เลยเกิดความรู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลก

 

แต่ที่จริงแล้ว แม้กระทั่ง เราไปกินก๋วยเตี๋ยว เจอหน้าเจ้าของร้านบ่อยๆ ยิ้มให้บ่อยๆ ทักทายบ่อยๆ จิตก็มีความรู้สึกผูกพันแล้ว ตอนตายถึงจะรู้ บางคนพอตายไปแล้ว ไม่รู้จะมาเข้าฝันใคร ก็มาเข้าฝันเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวที่ตัวเองไปกินบ่อยๆ นั่นแหละ อย่างนี้ก็มี

 

คือบางทีเราไม่รู้ตัวว่าเราจะคิดถึงอะไร เราจะนึกถึงใคร แต่กรรมสัมพันธ์ที่เคยทำร่วมกับคนอื่นไว้นั่นแหละ จะทำให้เราระลึกรู้ได้เองว่าเรามีความผูกพันอยู่กับใคร

 

อย่างเช่น กรณีของญาติที่เสียชีวิตไป เรานึกว่าอยู่คนละโลกกันแล้ว ไม่สามารถ ติดต่อสื่อสารกันได้แล้ว แต่ความจริง ยังมีความสามารถที่จะรู้สึกถึงกันได้อยู่

 

อย่างเวลาที่เราคิดถึงใครสักคนที่ล่วงลับไปแล้วมากๆ บางทีเป็นเพราะเหตุปัจจัยทางฝั่งเขามากระทบ เขามาวนเวียนคิดถึงอยู่ และความคิดเขายังปักอยู่กับเราแรง จึงก่อให้เกิดความรู้สึกว่า เราเอาคนที่ล่วงลับออกจากใจไม่ได้ นี่ก็แสดงถึงความมีสายสัมพันธ์กันอยู่

 

แต่ถ้าเรามีความรู้สึกว่าสังหรณ์ หรือนึกถึงเขา แล้วมีความรู้สึกกระวนกระวาย หรือไม่รู้จริงว่าเขาไปดีหรือไปไม่ดี แต่สันนิษฐานเอาจากสภาพของอุบัติเหตุ หรืออาจจะแอบไปหาคนนั่งทางในมาแล้ว แล้วก็เกิดความรู้สึกว่าเราควรจะช่วยเขา ถ้าตายไม่ดีแบบนี้ น่าจะต้องการความช่วยเหลือ

 

บางทีเจอกับตัวเองถึงจะทราบ.. คือ หลายคนพอญาติเสียไป ก็ฝันถึงเกือบทุกคืนต่อเนื่อง ฝันเห็นสภาพซ้ำๆ สภาพเดิมๆ มาขอความช่วยเหลือบ้าง  หรือไม่ก็มาในรูปร่างหน้าตาแบบเดิมๆ แต่มีความเศร้าหมองกว่านิดหนึ่ง คนที่ประสบกับความฝันแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเรื่องของบุคคลที่เป็นที่รัก จะรู้สึกแย่กระวนกระวาย อยากช่วยเหลือ

 

ตรงนี้เราต้องเข้าใจฐานที่ยืนของตัวเอง ฐานของความเป็นญาติ ฐานของความเคยผูกพันกันมา ทางโลกเรียกว่า เป็นความรู้สึกผูกพันทางใจ ทางธรรมเรียกว่า มีการสัมพันธ์ผูกพันกันโดยกรรม แม้กระทั่งว่าคิดถึงกันบ่อยๆ ระหว่างมีชีวิต ก็เรียกว่ามีมโนกรรมต่อกัน

 

ถ้ามโนกรรม คือการคิดดีต่อกัน การห่วงหากัน ก็เรียกว่าเป็นมโนกรรม อีกฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลก ก็มีความรู้สึกว่าอยากช่วยเหลือต่อ ในทางกุศล ในทางบุญ ในทางที่จะทำให้ผูกพัน ในทางที่จะทำให้รู้สึกดีต่อกัน พอใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตไป อีกฝ่ายที่เหลืออยู่ในโลกก็จะมีความรู้สึกอยากช่วยเหลือต่อ

 

ซึ่งข้อจำกัด หรือเพดานจำกัดในการรับรู้ ทางหูตาแบบมนุษย์ ไม่สามารถทำให้รู้เห็นได้ว่า เขาเป็นอย่างไรอยู่ ยกเว้นเขามาเข้าฝัน ก็เกิดความทรมานใจ เกิดความดิ้นรนอยากหาทางช่วยเหลือ อยากหาใครสักคนเป็นประตูหน้าต่าง เชื่อมมิติให้ระหว่างคนเป็นกับคนตาย

 

ซึ่งจริงๆ แล้วความรู้สึกแบบที่เคยคุ้นกัน พอนึกถึงแล้ว รู้สึกราวกับยังอยู่ รู้สึกราวกับสัมผัสจับต้องได้แบบเดิมๆ นั่นแหละ คือหน้าต่างมิติแล้ว

 

การที่เราผูกพันกันโดยกรรม ที่จะมีความเชื่อมโยงถึงกันได้แบบข้ามมิติ ไม่จำเป็นต้องอาศัยหูตารู้เห็นแบบที่ยังมีชีวิตเสมอไป ตอนที่คุณคิดถึงเขาจริงๆ ตอนที่คุณรู้สึกว่า เขาสามารถกลับมาบอกเล่าได้ นึกออกเลยว่าหากเขาเดินเข้ามาเดี๋ยวนี้ เขาจะทักทายว่าอย่างไรบ้าง ทำหน้าทำตาอย่างไรบ้าง อย่างนี้เรียกว่าความเชื่อมโยง ที่ฝรั่งเรียกว่าเป็น bonding

 

เราสามารถที่จะอาศัยความเชื่อมโยงนี้ในการอุทิศส่วนกุศลให้เขาได้ หรือทำให้เขานึกถึงเรื่องอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ 

 

จังหวะที่มีความคิดถึงอย่างเข้มข้น มีความรู้สึกราวกับว่า ตื่นขึ้นมากลางดึก เพิ่งฝันถึง แล้วรู้สึกทนไม่ได้ อยากจะเอาตัวเป็นๆ กลับมาคุยเดี๋ยวนี้ แล้วไม่กลัวผี ต่อให้มาปรากฏร่างที่ปลายเตียงในสภาพใด ก็จะไม่กลัวเลย ไม่รังเกียจเลย ความรู้สึกแบบนี้ แสดงให้เห็นถึงความพร้อม ที่จะส่งสัญญาณออกไปสื่อสารกัน คือ จิตมีกำลังที่จะโฟกัส ทะลุข้ามผ่านร่างกายและตาเนื้อแบบนี้ได้

 

ถ้าด้วยความมุ่งมั่น ถ้าด้วยความระลึกถึงเขาในขณะนั้น คุณสวดมนต์ สวด "อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา" ด้วยจิตที่มีความสว่าง ด้วยจิตที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ตั้งของใจ คือ มีพระรัตนตรัย เป็นเครื่องระลึก นึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่ มีความสว่าง และจิตคุณเปิด จิตคุณสว่างตาม

 

เพียงแค่คุณนึกว่า ถ้าเขาร่วมฟังอยู่ด้วยข้างๆ เขาจะได้ความสว่างแบบนี้ตามไปด้วย แค่นี้..ถึงแล้ว ความสว่างไปถึงเขาแล้ว เพราะจิตคุณตั้งมั่นอยู่ มีความมุ่งมั่น อยากที่จะเกื้อกูลเขา และสายสัมพันธ์ความคุ้นเคย เป็นสะพานเชื่อมให้อยู่แล้ว 

 

ถ้าเขายังมีสภาพที่วนเวียน อยู่กับความทรงจำแบบเดิมๆ อยู่ในสภาพที่ทรมาน อยู่ในสภาพที่ต้องการความช่วยเหลือ มันไปถึงได้เอง เพราะไม่ต้องอาศัยหูตาแบบมนุษย์ มาเป็นเครื่องต่อแล้ว คือ ตอนนี้จิตเชื่อมถึงจิตได้โดยตรงเลย เหมือนเวลาที่คนเราคิดถึงกันมากๆ พร้อมกัน

 

คือยิ่งถ้าคุณมีความสามารถในการนึก แบบจริงๆ จังๆ ราวกับว่าเขาได้มานั่งสวดมนต์อยู่ด้วย หรือมาฟังคุณสวดมนต์อยู่ด้วย .. นึกจินตนาการว่า เขานั่งฟังอยู่ หรือว่าตัวเป็นๆ ของเขาที่เคยมีชีวิตอยู่ มานั่งฟังอยู่ด้วย อย่างนี้จะยิ่งมีการเชื่อมจิตเข้าไปได้ต่อติดมากขึ้น

 

หรือถ้าดีกว่านั้น หากเคยมีทุนเก่า เคยร่วมสวดมนต์กันมาจริงๆ จำได้เลยว่า เสียงของเขาเป็นอย่างไร ในขณะร่วมสวดมนต์กัน ความรู้สึกที่ได้สวดมนต์ด้วยกันเป็นอย่างไร แล้วนึกถึงช่วงเวลานั้นอีก ในขณะที่สวดมนต์ในตอนนี้ จะยิ่งดีเลย เพราะกระแสบุญเก่าที่เคยทำร่วมกัน จะสามารถบวกกับบุญใหม่ ที่คุณกำลังสวดมนต์อยู่ในปัจจุบัน ช่วยเขาได้จริง

 

แต่ทีนี้ ต้องทำความเข้าใจนิดหนึ่ง คำว่า "ช่วยได้" ในกรณีแบบนี้ เป็นการกระตุ้น ให้จิตของเขาเกิดความสว่างขึ้นตามบุญ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถเลื่อนภพ เลื่อนภูมิให้เขาได้ มันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอื่นๆ ด้วย 

 

กล่าวคือ เขามีความพร้อมที่จะเลื่อนจากสภาพที่เป็นอยู่ เคลื่อนจากสภาพที่กำลังทุกข์ทรมานหรือไม่? ถ้าหากเขามีปัจจัยเก่าของเขา ที่จะทำให้เกิดการเคลื่อน เพียงคุณช่วยเท่านี้ ก็สามารถทำให้เขาเคลื่อนได้จริงๆ 

 

แต่ส่วนใหญ่แล้ว จะไปคาดหวังแบบนั้นเลยไม่ได้ ถ้าพูดเป็นกลางๆ กรณีของการประสบอุบัติเหตุแล้วเสียชีวิต มักจะมีอยู่ 2 กรณีใหญ่ๆ

 

กรณีแรก คือ ตกใจกับภาพที่เห็นมาก แล้วจิตขณะนั้น คือ ช็อค จิตที่ช็อค คือ จิตที่เกิดความกลัว พูดง่ายๆ ว่าจิตมีโทสะเป็นมูลในขณะก่อนตาย ถ้าขาดใจตายเดี๋ยวนั้น ส่วนใหญ่ก็จะติดอยู่ในสภาพที่ กำลังช็อคนั่นแหละ จิตก็จะได้ที่เกิดเป็นความช็อค

 

คืออาสันนกรรมก่อนจะดับ จิตขาดใจตายเป็นอกุศล มันจะยากนิดหนึ่งที่จะหลุดจากตรงนั้น เพราะสะท้อนให้เห็นว่าอุปฆาตกรรม หรือกรรมตัดรอนของเขา เป็นการตัดรอนให้ไปสู่สภาพที่ไม่ดี อันนี้ต้องทำความเข้าใจแบบกลางๆ 

 

ทีนี้ จะมีอีกพวกหนึ่ง ประสบอุบัติเหตุเหมือนกัน แต่ว่าใจเขาเต็มไปด้วยกุศลธรรม คือ ทั้งชีวิตที่ผ่านมา ไม่ค่อยคิดเรื่องราวหยุมหยิมอย่างใครเขา  วันๆ คิดแต่จะช่วยใครอย่างไรดี เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปวัดไหน ว่างๆ ก็คิดว่าจะหยิบซีดีธรรมะของพระองค์ใดมาเทศน์ให้ฟังดี

 

หรือว่าไปไกลกว่านั้น คือ รู้สึกใจเบาเมื่อไหร่ ก็อยากนั่งสมาธิ หรือเริ่มรู้สึกว่าเริ่มฟุ้งซ่าน ก็จะอยากออกไปเดินจงกรมสักรอบ สองรอบให้มีสติ เข้าที่เข้าทาง หรือใครมีเรื่องมีราวอะไรมา ก็มีความรู้สึก อยากช่วยให้เขาได้แก้ปัญหาที่มีอยู่ หรือเห็นใครมีเรื่องกันก็อยากไปประสาน ให้เขาสมานสามัคคีแล้ว แล้วก็เกิดความปลื้มใจที่ทำให้คนคืนดีกันได้ ประสานความปรองดองกันใหม่ได้ อะไรแบบนี้ 

 

พวกนี้กุศลธรรมจะมีความหนาแน่น เวลาคิด ต่อให้กำลังฟุ้งซ่านอยู่ ต่อให้ ณ เวลาที่เกิดอุบัติเหตุ จิตหด มีอาการกระตุก มีความกลัวเหมือนเปรต แต่ว่าสภาพยังเป็นเทวดาอยู่โดยพื้นฐาน สภาพจิตหดเหมือนเปรตเกิดขึ้นแค่วูบเดียวสั้นๆ แต่สภาพพื้นฐานจะช้อนขึ้นมา ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเบาสบายสว่าง

 

รถทัวร์คันเดียวกัน บรรจุคนสัก 30 คน 29 คนอาจจะไปไม่ดี เพราะว่าสภาพจิตคิดว้าวุ่นอยู่ ทำอย่างไรจึงจะทำให้คนตีกัน เห็นผัวเมียคู่นี้เขาดู๋ดี๋กัน น่าอิจฉาเกินไปแล้ว ยุให้แตกกันดีกว่า

 

ถ้าคิดแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แล้วเกิดอุบัติเหตุ ณ เวลานั้น จะคิดอย่างอื่นไม่ออก จิตจะหดด้วยความกลัว และมีอกุศลธรรมเป็นหลุมดำคอยดึงดูดให้ลงต่ำอยู่ 90% คนส่วนใหญ่ในรถทัวร์คันนั้น ก็อาจจะไปไม่ค่อยดี อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนในโลกส่วนใหญ่ เป็นคนทุศีล ฉะนั้นก็จะไปอบายกันเสียมาก 

 

แต่ยังมีอยู่คนสองคนในรถทัวร์คันเดียวกันนี้ อ้าปากค้าง ตาเหลือกเหมือนกัน ตกใจเหมือนกัน แต่ว่าจิตวิญญาณภายใน มีหลุมขาวคอยดึงดูด คอยพาไปดีอยู่ ถึงแม้ว่าอาการจิตหด ตกใจ วูบๆ เกิดขึ้นสั้นๆในช่วงอึดใจสั้นๆ ในช่วงที่ตกกลับมาสู่สภาพปกติ ก็กลายเป็นความเบิกบาน ความสว่าง แบบไม่ได้คิด ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เกร็ง ไม่ได้ฝืน ไม่ได้พยายามให้เกิดความสว่าง มันจะสว่างเองอยู่แล้ว

 

อย่างพวกที่ไปทำบุญ แล้วรถทัวร์ตกเหวตายทั้งรถ คนดูเห็นแล้วสภาพน่าสงสารน่าเวทนา แขนขาด ขาขาด ตาเหลือก อ้าปาก แต่ไม่เห็นหรอกว่าจิตวิญญาณของพวกเขาจริงๆ แล้ว อาจจะหัวเราะฮ่าๆๆ อยู่ก็ได้ รู้อย่างนี้น่าจะตายตั้งนานแล้ว 

 

สภาพของคนที่ตายกะทันหัน จะมีสิ่งที่เรียกว่า บาปเก่าคอยซ้ำเติม และบุญเก่าคอยเกื้อหนุน

 

คำว่า เก่า ในที่นี้หมายถึง ที่สั่งสมมาทั้งชาติ นี่ผมพูดทั้งในแง่ฝั่งของเราและฝั่งของเขา

 

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราจะคาดหมาย ก็คือว่า ถ้าเราสวดมนต์หรือทำบุญประเภทอื่นๆ จนกระทั่งจิตใจสว่าง แล้วรู้สึกราวกับว่า เขาได้มาทำอยู่ใกล้ๆ มานั่งอยู่ใกล้ๆ ตัวนี้ บางทีมันจะบอกคุณเอง

 

ถ้าทำบ่อยๆ จริงๆ ทำจนกระทั่งรู้ว่าไม่ใช่อุปาทาน แต่เป็นความรู้สึกจริงๆ ว่าฝั่งของคุณมีความสว่างแบบนี้ พอนึกถึงเขา ราวกับเขามานั่งอยู่ใกล้ๆ หรือมาทำบุญร่วมกันอยู่ตรงนั้น แล้วรู้สึกขึ้นมาว่า เขามีความสุขอยู่นี่ นั่นอาจจะสะท้อนให้เห็นว่า เขากำลังอยู่ในสภาพที่เป็นสุขอยู่จริงๆ

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณนิ่งพอ คุณมีความรู้ชัดเกี่ยวกับจิตวิญญาณของตัวเองมากพอ แล้วนึกถึงเขา ซึ่งคุณเคยสัมผัสมาแล้ว ทั้งในภาวะที่เขาเป็นสุข ทั้งในภาวะที่เขาเป็นทุกข์ คุณรู้ดีว่าตอนเป็นสุข กระแสของเขาประมาณไหน เวลาเขาเป็นทุกข์ กระแสของเขาประมาณใด และในตอนนี้พอถึงเขา ในขณะที่คุณทำบุญ เขามีความสุขร่วมได้กับบุญในแบบของคุณ  มีความสุขความสว่างแบบของคุณไหม หรือว่าเขา ยังมีสภาพที่หม่นหมองอยู่ บางทีจิตที่ สัมผัสผ่านมิติของบุญ จะบอกคุณได้

 

โดยสรุป การจะเตือนให้เขาระลึกถึงบุญ ที่เขาเคยทำมา ดีที่สุด คือ เอาบุญที่คุณเคยทำร่วมกันกับเขา มาเป็นตัวตั้ง ไปทำซ้ำ ทำแบบนั้นเลย จะใส่บาตร เคยไปบวชพระ เคยไปสร้างพระประธาน หรือเคยไปทำอะไรที่ดีๆ เป็นการสงเคราะห์ เป็นการเกื้อกูลคนอื่น แล้วคุณจำความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นร่วมกันกับเขาได้ ให้ไปทำซ้ำ

 

แล้วถามใจตัวเองว่า ในขณะนี้ ถ้าทำด้วยกันอยู่ในปัจจุบัน เขามีความรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ลองหลับตานึกดู หรือไม่ต้องหลับตาก็ได้ เอาความรู้สึกชัดๆ เทียบเคียง จะบอกได้ระดับหนึ่ง

 

ยิ่งคุณมีความนิ่ง ยิ่งคุณมีความเป็นสมาธิ ยิ่งคุณไม่มีอคติ ไม่มีความลำเอียง ใจคุณมีความตรง ใจคุณมีความสว่าง ใจคุณมีความพร้อมรู้ จะยิ่งบอกได้ชัด ว่าขณะนี้เขาเป็นสุขหรือเป็นทุกข์อยู่ ถ้าเขากำลังเป็นทุกข์อยู่ คุณจะได้ทำซ้ำเข้าไปๆ เป็นเดือนเป็นปี แล้วถามตัวเองไปเรื่อยๆ ว่าเขามีความสุขมากขึ้นแล้วหรือยัง

 

ถ้าคุณรักเขาจริง จะยินดีทำเป็นปีๆ เลยอันนี้ ผมรู้ดี ถ้าเรารักใครจริง เขาจะตายไปนานแค่ไหนแล้ว เราก็ยังจะเต็มใจทำให้ไม่เลิก แล้วก็จะทราบได้ด้วยตัวเองด้วย จะสบายใจด้วยตัวเองด้วย ไม่ต้องไปถามใครว่า ขณะนี้สภาพความรู้สึกของเขา เป็นสุขหรือเป็นทุกข์แค่ไหน บางทีก็บอกได้เป็นวันๆ เลย ว่าตอนนี้เปลี่ยนระดับไป มีความสุขมากขึ้น วันนี้ หม่นหมองลง อันเป็นธรรมดาของอนิจจัง ไม่มีใครเป็นสุขได้ตลอดไปหรอก แต่จะสุขหรือจะทุกข์แค่ไหน เราสามารถที่จะรู้สึกได้ ถ้าอาศัยบุญเป็นหน้าต่าง!

________

คำถามเต็ม : น้องเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตไปแล้ว ผู้ที่ยังอยู่ ควรทำอย่างไรให้เขาได้ระลึกถึงบุญที่เขาเคยได้ทำมาก่อน


ถอดคำ : นกไดโนสคูล

ตรวจทาน / เรียบเรียง : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=uqVgKaysfQc


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น