วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ใช้ลมหายใจเป็นวิหารธรรม รู้สึกเหมือนว่าสิ่งแวดล้อมข้างๆมันมีอยู่ เพราะจิตมันกระโดดไปรู้เข้า ถ้าจิตไม่ไปรู้ มันก็เหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่มี ถูกต้องหรือไม่อย่างไร?

 ดังตฤณ :  อันนี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มาดึงเราให้ไขว้เขวออกจากวิถีของสมาธิ พอเป็นสมาธิต้องทำความเข้าใจอย่างหนึ่งว่า จิตจะเริ่มเข้าสู่สภาวะของธรรมชาติของจิตเองคือ รู้ แล้วมันรู้ได้โดยไม่จำต้องอาศัย หู ตา ที่เป็นประสาทคับแคบแบบนี้ มันจะไปสัมผัสอะไรรอบตัว หรือว่าจะรู้เห็นอะไรที่ไม่เคยไปรู้ได้ด้วยตาเปล่า หรือว่าถูกแก้วหูเนี่ย มันเป็นเรื่องปกติ มันเป็นเรื่องซึ่งเกิดขึ้นแวบๆ หรือว่าเกิดขึ้นเป็นปกติสำหรับบางคน

พอยนท(point) คือ เราทำความเข้าใจไว้อย่างไรก่อน ก่อนที่จะทำสมาธิ ถ้าหากว่าเราทำสมาธิไปเอาความสงบอย่างเดียว แล้วฟังมามากว่า เดี๋ยวพอสงบแล้วจะเกิดการรู้การเห็นอะไรที่มันเหนือประสาทหู ประสาทตา มันก็จะเกิดความข้องไป ข้องใจ หรือผูกใจ หรือว่าเอาใจไปใส่กับสิ่งที่มันพร้อมจะปรากฏขึ้นมาเป็นปรากฏการณ์ทางจิต เป็นปรากฏการณ์ทางสมาธิ

อย่างกรณีนี้ เนื่องจากเราไม่ได้ตั้งเป้าไว้อย่างชัดเจนว่า เห็นหรือสัมผัสอะไรแล้วจะมีท่าทีกับมันอย่างไร เราก็จะเกิดความสงสัย ชั่วขณะที่เกิดความสงสัย ณ เวลานั่งสมาธิ เราก็จะเห็น รู้สึกตัวอยู่ได้แล้วว่า สมาธิมันเสียไป มันเป๋ไป

แต่ถ้าเราตั้งไว้ล่วงหน้าว่า เป้าของการทำสมาธิของเรา คือ จะเห็นความไม่เที่ยง แม้ความปรุงแต่งทางใจที่มันไปสัมผัสอะไรเข้าก็ตาม เห็นรอบข้างขึ้นมาลางๆ หรือเกิดความรู้สึกราวกับลืมตา ทั้งๆที่ตายังปิดอยู่ รู้เห็นอะไรโน่นนี่นั่น

หากเราตั้งใจไว้ล่วงหน้าว่า นี่คือสภาพแบบนั้น คือปรากฏการณ์ทางจิต ปรากฏการณ์สัมผัสออกมาจากทางใจที่เกิดขึ้นชั่วคราว ถ้าหากว่าเราไม่แล่นตามมัน เราก็เห็นมันเป็นสภาวะชั่วคราว แล้วสติก็จะดึงกลับมาหาสิ่งที่เราจดจ่อเป็นสมาธิ อย่างเช่นลมหายใจ แล้วเราก็จะได้ความรู้แบบพุทธว่า สภาวะการปรุงแต่งของจิตแบบนั้น ถ้าไม่เอาใจไปใส่ มันจะหายไปเอง หรือถ้ามันไม่หายไป อย่างเช่น บางคนทำสมาธิในแบบที่แผ่จิตออกกว้าง แล้วจิตที่มันแผ่ออกกว้างนั้น มีความตั้งมั่น มีความมั่นคง มันก็อาจสัมผัสรู้เห็น รู้ว่ารอบตัวมีสภาพเป็นอย่างไร แล้วรู้แบบที่ชนะประสาทตา

ประสาทตามองได้แค่มุมแคบๆแค่นี้ แต่ว่าสัมผัสด้วยจิต เวลาที่มันรู้ มันรู้รอบเลย บางคนรู้เป็น ๑๘๐ องศา บางคนรู้ ๓๖๐ องศา ขึ้นอยู่กับว่า จิตมันอยู่ในสภาพที่มีความแผ่กว้าง แล้วก็รู้รอบแค่ไหน

ถ้ามันรู้ของมันไม่หายไป เราก็รู้ว่านั่นคือสภาวะของจิตที่สัมผัสสิ่งแวดล้อมรอบด้าน ไม่ต้องไปขับไล่มันก็ได้ ไม่ต้องไปปิดมันก็ได้ แต่ให้มันเปิดอยู่โดยความรู้ว่า นั่นเป็นสภาวะการปรุงแต่งของจิต ที่สัมผัสสิ่งที่อยู่รอบตัว มันจะเริ่มจากจิตที่แผ่ออกไปสัมผัสความว่าง สัมผัสพื้นที่ว่างรอบด้าน แล้วพื้นที่ว่างรอบด้าน มันไม่ได้ว่างแบบอากาศ มันมีความว่างที่วัตถุตั้งอยู่ซ้าย ขวา  หน้าหลัง รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร

บางทีตอนเราลืมตาดูของรอบตัว หรือในห้องหับของเรา บางทีเราไม่ได้สังเกตว่ามีตำหนิ หรือว่ามีรูปพรรณสัณฐานอะไรอยู่ เป็นรายละเอียดอย่างไรบ้าง แต่พอสัมผัสด้วยจิต ถึงเพิ่งรู้ว่ามีโน่นมีนี่ มีตำหนิที่ตรงนั้นตรงนี้ ลืมตาขึ้นมาดูก็เห็นจริงๆ

ทีนี้การที่เราทำไว้ในใจว่า การรู้การเห็นรูปพรรณสัณฐาน หรือว่าตำหนิอะไรต่างๆ มันก็ไม่ได้วิเศษวิโสไปกว่าการลืมตาขึ้นมาดู มันก็คือการเห็นชนิดหนึ่งว่า พื้นที่ๆเรานั่งอยู่ มันมีวัตถุอยู่รอบตัว ก็แค่รับรู้ว่า ตอนเราอยู่ในสมาธิ เราสามารถสัมผัสรู้สัมผัสเห็นได้ ถ้าหากว่าจิตมันแผ่ออกไป

ตอนจิตแผ่ออกไปเราบังคับมันไม่ได้ว่า จะให้รู้เห็นอะไรบ้าง หรือไม่รู้เห็นอะไรบ้าง แต่เราสามารถกำหนดทิศทางของสติ ให้รู้ว่านั่นเป็นแค่ภาวะจิตชนิดหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร

การเห็นนั่นเห็นนี่ด้วยสภาวะของจิตที่เป็นสมาธิ มันก็เป็นสัมผัสที่เพิ่มขึ้นมาจาก หู ตา แต่มันไม่ได้วิเศษตรงที่ช่วยให้เราพ้นทุกข์ หรือว่าช่วยให้เราถือมั่นยึดมั่นน้อยลง ตรงข้ามมันจะไปเหนี่ยวนำ หรือล่อลวงให้เราไขว้เขว ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรที่ไม่เคยยึดมาก่อนเลยก็ได้

อย่างเมื่อก่อน ก่อนที่จะทำสมาธิ โอ้ยคุยโขมงโฉงเฉงกับเพื่อน

“ไม่เชื่อหรอก คนไปเห็นโน่นเห็นนี่ เจอนรกสวรรค์ หรือว่าหลับตาแล้วสามารถเห็นอะไรได้โดยไม่ต้องใช้แก้วตา ไม่เชื่อ!

พอมาเจอด้วยตัวเองถึงได้เชื่อว่ามีจริงๆ แต่พอเชื่อแล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ กลายเป็นเราไปขวนขวาย แล้วก็พยายามศึกษาเพิ่มเติมถึงการใช้ประสาทสัมผัส การใช้สัมผัสที่ ๖ มาเล่นโน่นเล่นนี่ เสียทีที่อุตส่าห์พบพระพุทธศาสนา

คนที่เขาเล่นฤทธิ์เล่นเดช หรือว่าเล่นการรู้เห็นอะไรต่างๆ มันเล่นกันมาชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่ได้วิเศษอะไรนะครับ แต่ที่จะมาเล่นกับการถอนอุปาทานว่า กายนี้ ใจนี้ ภาวะของจิตอย่างนี้ อย่างนี้มันไม่ใช่ตัวตน มันปรากฏขึ้นเป็นมายาลวงใจชั่วคราว อันนี้มันไม่เคยทำกันมาชั่วกัปชั่วกัลป์ เพราะถ้าทำมาชั่วกัปชั่วกัลป์ ป่านนี้ไปนิพพานกันหมดแล้ว ที่จะมาดูกายดูใจโดยเป็นสภาวะชั่วคราวไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนไม่ค่อยมีใครสนใจกัน นี่ก็ถือว่าเป็นด่านดักนะครับ

ขอให้ทราบว่า นั่งสมาธิแล้วเกิดความสามารถพิเศษอะไรขึ้นมา มันเป็นด่านดักชนิดหนึ่ง ที่ทำให้เราเกิดอุปาทานหลงไปว่า เรามีความสามารถพิเศษขึ้นมา จริงๆแล้วมันไม่ได้พิเศษเลยนะครับ แม้คนที่ได้ตาทิพย์ รู้เห็นโลกตั้งเป็น ๑,๐๐๐ ในคราวเดียวอย่างเช่น พระอนุรุทธะ ท่านก็มาพิจารณาตัวว่า เรารู้อะไรมากขนาดนี้ ไม่เห็นบรรลุธรรมสักที ไปถามพระสารีบุตร พระสารีบุตรท่านบอกว่า นั่นเป็นมานะของเธอ นั่นเป็นความยึดมั่นถือมั่นว่า ตัวเธอสามารถเห็นโลกได้ตั้ง ๑,๐๐๐ ในคราวเดียว มันก็เลยไม่หลุด

ทีนี้พอพระอนุรุทธะทำถูกทางที่จะพิจารณาว่า แม้ความรู้ ความเห็น แม้กายทิพย์ที่จะไปรู้ทะลุเป็น ๑,๐๐๐โลกได้ ก็เป็นแค่ของหลอก เป็นแค่ของล่อให้ยึด เป็นแค่ตัวตนชนิดหนึ่ง ที่มันเกิดขึ้นมา ซ้อน ซ้อน ซ้อน ตัวตนเป็นแสน เป็นล้านชนิด ท่านก็เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง แล้วก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้

อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่ฝึกสมาธิ แล้วก็เริ่มได้ผลอะไรขึ้นมาบ้าง เป็นเรื่องปกตินะครับ

-----------------------------------------

๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำใจรับมือกับการเปลี่ยนแปลงงาน

คำถาม : ภาวนามาโดยใช้ลมหายใจเป็นวิหารธรรมมาช่วงหนึ่ง แล้วรู้สึกเหมือนว่าสิ่งแวดล้อมข้างๆมันมีอยู่ เพราะจิตมันกระโดดไปรู้เข้า ถ้าจิตไม่ไปรู้ มันก็เหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่มี ไม่ทราบว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่อย่างไร และควรปรับปรุงหรือพัฒนาอะไรต่อไปครับ?

ระยะเวลาคลิป    ๑๐.๑๖ นาที
รับชมทางยูทูบ    https://www.youtube.com/watch?v=rEQ-COiU4W0&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=8

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น