วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ถาม : มุมมองของคนทั่วไป ต่างจากมุมมองของผู้ที่เจริญสติอย่างไร

ดังตฤณจิตของคนทั่วไปจะคลุมเครือๆ อยู่ตรงนี้ .. (ศีรษะ) ความคิด .. อยู่กับ กลุ่มความคิด เพราะฉะนั้น หน้าตารูปร่างของเราภายใน จะรู้สึกว่าหล่อ จะรู้สึกว่าสวย ก็ต่อเมื่อกลุ่มความคิดนี้ มันสว่าง มันขาว มันดี

 

แต่ถ้าหากว่า มืดๆ เทา ๆ อยู่ เราก็จะรู้สึกว่า รูปร่างหน้าตาภายในของเรานี่ ก็อย่างนั้นๆ ยิ่งถ้าหากว่ามีความเกลียด มีความโกรธใครอยู่แรงๆ จะมืด..ขนาดที่ทำให้รู้สึกว่าหน้าตาของเราข้างในนี้ น่าเกลียดอยู่ข้างในแน่ๆ ..ซึ่งนี่ไม่ใช่อุปาทาน ..จิตมันดูน่าเกลียดจริงๆ เหมือนปีศาจจริงๆ

 

ทีนี้ พอเอาจิตแบบนั้นมาพยายามทำสมาธิ ดูลมหายใจหรืออะไรก็แล้วแต่ จับพลัดจับผลูมารวมกัน แล้วมันลงไปจากเดิม ที่เป็นฐานที่ตั้งทางความคิด ลงไปที่สถานที่ตั้งทางความรู้สึก ซึ่งอยู่กลางอก ก็เลยมีความรู้สึกเหมือนดิ่งลงไป ดิ่งตกจากที่สูง

 

คือ พอจิตรวมกระแสได้ รวมลงไป.. ความรู้สึกรวมนี้แหละ ที่เหมือนกับเราตกจากที่สูง ลงไปรวมแน่นอยู่ในที่หนึ่ง แต่ว่าสมาธิแบบที่เราเกิดขึ้นแบบมืดๆ แบบนี้ เอาไปใช้งานอะไรไม่ได้ ที่มืดอยู่อย่างนี้ ก็แค่รู้สึกนิ่ง รู้สึกว่าง แต่ก็ไปต่อไม่ถูก 

 

ฉะนั้น ถ้าเราเคลียร์จิตเคลียร์ใจได้ อย่างเช่น บางคนมีช่วงไปปลีกวิเวก ไปอยู่ในที่ไกลๆ แล้วไม่เกี่ยวข้องกับผู้คน จิตใจปลอดโปร่ง คิดถึงแต่อะไรดีๆ ตื่นเช้าขึ้นมา ก็ทำวัตรสวดมนต์ ตกเย็นก็ทำวัตรสวดมนต์อีก แล้วก็ไม่มีเรื่องข้องเกี่ยวอะไรกับการหาอยู่หากิน ที่วุ่นวายสับสน

 

แถมอาหาร..ก็ตั้งใจไว้ว่าจะกินน้อยๆ เพียงวันละ 2 มื้อ ยามวิกาลจะไม่เอาอะไรเข้าปาก ไม่มีอะไรเข้าท้อง แบบนี้ก็ท้องเบาตัวเบา แล้วจิตก็เหมือนกับมีความสว่างมากที่สุดที่จะเป็นไปได้

 

ฉะนั้น จุดเริ่มต้นขึ้นมา ก็จะไม่ใช่อาการหมอกมัวคลุมเครือ แต่จะมีความรู้สึกโล่งๆ โปร่งๆ เมื่อมองดูลมหายใจไปไม่เท่าไหร่ ก็จะเห็นเหมือนกับมีความสว่างขึ้นมา

 

พอมีความสว่างอย่างนั้น แล้วจิตรวมลง กลุ่มความคิดที่สว่าง และกระแสจิตที่กระจายๆ ออกไป แบบที่ไม่มีหมอกมัวมาก เวลามันรวมดวงนั้น จะไม่กระจุกแน่นอยู่แค่ช่วงอก แต่จะเปิดแผ่ออกไป ความรู้สึกของคนที่ได้สมาธิจริงๆ ก็เลยกว้าง เลยมีความรู้สึกเหมือนว่าเป็นอิสระ เหมือนกับเราไปอยู่ในอีกโลกใบหนึ่งที่ไม่คับแคบ

 

คนที่เปรียบเทียบระหว่างโลกใบนี้ ที่เห็นด้วยตาเปล่า กับโลกที่เห็นด้วยจิตที่เป็นสมาธินี้ เหมือนเป็นคนละมิติกัน โลก .. earth .. นี้เป็นโลกใบเดิม แต่โลกภายในของเรา ข้ามไปอีกมิติหนึ่งแล้ว เวลาที่กลับมาก็เลยรู้สึกงงๆ เหมือนไม่อยากกลับมาเข้าเมืองเลย แล้วก็จะพยายามทำโลกภายในให้สุกสว่าง มีความเบา มีความเบิกบานมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

 

ซึ่งแบบนั้น ก็เป็นความหลงอีกชนิดหนึ่ง ที่ทางพุทธศาสนาเราชี้ให้มองว่า ถ้าติดอยู่กับโลกที่สว่างใบนั้น โลกที่สว่างภายในนี้ เรียกว่า เป็นการยึดติดอยู่กับภพหรือสภาวะของพรหม ตายไปก็ไปเกิดเป็นพรหม จิตนี้เมื่อดับจากความเป็นมนุษย์ไป จะไปสู่สภาพอีกสภาพหนึ่ง..ไปปฏิสนธิ เรียกว่า มีปฏิสนธิจิต อยู่ในอีกภพภูมิที่มีแต่ความสว่าง ความปราณีต และไม่เกี่ยวข้องกับกาม ซึ่งตรงนั้นแหละ ที่เรียกว่าพรหมภูมิ ..ก็ยังติดอยู่

 

ที่นี้ ถ้าจะทำสมาธิแบบพุทธจริงๆ อย่างอานาปานสติเต็มขั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสซอยไว้ให้เข้าใจเลยว่า อานาปานสติขั้นไหนดูกาย อานาปานสติขั้นไหนดูเวทนา อานาปานสติขั้นไหนดูจิต และอานาปานสติขั้นไหนกำลังพิจารณาธรรมขั้นสูง

 

พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าแค่ทำอานาปานสติเป็น.. ก็สามารถถอดจิต ออกจากอาการยึดอาการหลง ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงอรหัตผลได้เลย

 

แต่ต้องเข้าใจจริงๆ ต้องเห็นจริงๆ ว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร ซึ่งตรงนี้แหละที่เป็นจุดมุ่งหมายหลักที่ผมกำลังจะ.. อาจจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือ ในการทำให้สำเร็จบริบูรณ์!

____________

ถอดคำ : นกไดโนสคูล

ตรวจทาน / เรียบเรียง : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=KbgbqUcyL24

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น