วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563

คำถาม : การที่เราใส่บาตรพระ 1 รูป ถ้าเราต้องการจะอุทิศให้ใคร เช่น เทวดา พ่อ แม่ เจ้ากรรมนายเวรจะจำกัดไหมว่า ของ ๑ ชิ้น อุทิศให้หลาย ๆ คน บุญนั้นจะถูกแบ่งสัดส่วน ให้เขาได้รับน้อยลงมั้ย คะ ช่วยแนะนำวิธีวิธีที่ควรปฏิบัติขณะทำบุญสักอย่าง หรือใส่บาตรอุทิศด้วยค่ะ?

 ดังตฤณ :  คิดเปรียบเทียบอย่างนี้ก็แล้วกัน สมมติว่าคุณมีเปลวเทียน ไฟบนเทียนของคุณเนี่ยนะครับ ถืออยู่เล่มเดียว แล้วเดินเข้าไปในหมู่คน ๑,๑๐๐ คน ที่มีเทียนเช่นกัน แต่ยังไม่มีไฟ คุณเอาไฟไปต่อให้พวกเขา คุณต่อได้กี่คน?

 

มันก็ต่อได้ครบ ๑๐๐ ครบ ๑,๐๐๐ คน จนกว่าแท่งเทียนของคุณจะละลายหมดนั่นแหละ ตราบใดที่ใจของคุณยังมีสว่างจากการทำบุญ มีความรู้สึกว่า เออเนี่ยทำบุญสำเร็จ ช่วยคนได้ ทำให้เขามีความสุขขึ้นได้ ชีวิตสบายขึ้น หลุดพ้นจากความลำบากได้ หรือพระสงฆ์องค์เจ้าได้รับสิ่งของ ที่จะไปทำให้พวกท่านมาสืบศาสนาต่อได้ด้วยการปฏิบัติธรรมเจริญสติ

 

พอใจมันมีความชุ่มชื่นจากการเห็นผลนั้นแล้ว ใจที่ชุ่มชื่นนั้นมันยังอยู่อีกนานแค่ไหน ก็นั่นแหละ ตรงนั้นแหละที่คุณสามารถอุทิศไป หรือเผื่อแผ่ไปเป็นวงกว้างได้ไม่จำกัด

 

จริง ๆ แล้วถ้าหลักการอุทิศ เริ่มต้นต้นมาควรจะให้เหมือนกับการแผ่เมตตา คือ มีการแผ่ออกไปแบบไม่มีประมาณ

 

คำว่า ไม่มีประมาณ ง่ายกว่าที่จะจำเพาะเจาะอีก เพราะคุณไม่ต้องนึกถึงหน้าใครเลย ถ้ากำลังมีความสุขอยู่กับการทำบุญชนิดไหนก็ตาม แล้วความสุขชนิดนั้นมันทำให้ใจของคุณเหมือนแผ่ผายออกไปแบบไม่จำกัด แบบไม่มีประมาณ ตรงนั้นแหละที่คุณสามารถอุทิศแบบไม่มีประมาณได้เช่นกันนะครับ

 

คือพอเรานึกไปว่า ขอให้ใครก็ตามที่รับรู้อยู่ จะด้วยแก้วหูแบบมนุษย์ หรือว่าแก้วหูอันเป็นทิพย์ก็ตาม ขอให้ได้โปรดมีใจร่วมยินดีอนุโมทนาในความสุขความสดชื่นในบุญของเราเท่าเทียมกันด้วยเถิด เท่านี้ก็จะเหมือนกับคุณเอาเทียนเล่มเดียวนะครับ เทียนที่มีไฟเนี่ย เหมือนกับชูไว้ แล้วก็บอก ใครอยากมาได้ไฟ มาเอาเลย เขาก็จะเอาเทียนของเขา ส่วนตัวของเขาจิ้มเข้ามา แล้วก็ได้ไฟกลับไป

 

จิต จริง ๆ เปรียบเป็นเทียนไม่ได้นะ เพราะว่ามันมีความส่องสว่าง มันเป็นฟอง เป็นฟองธรรมชาติที่มีความสุขสว่างอยู่ แล้วถ้าหากว่าจิตดวงอื่น ๆ ได้มารับรู้ถึงความสว่างตรงนั้น เหมือนกับมารับแสงสว่างตรงนั้น มันก็เหมือนกับเปิดรับ เปิดรับความสว่างเข้าไป มันก็จะได้กำลัง ก็จะได้บุญตามเราไปด้วย

 

ส่วนที่ว่าจะได้บุญเหมือนกับเรารึเปล่า เท่ากับเรารึเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับว่า กำลังใจในการอนุโมทนา หรือว่าพลอยยินดีไปกับเรามันจะเต็มที่แค่ไหน ถ้าเต็มที่เต็มร้อยจริง ๆ เนี่ยเอาเป็นว่า ถ้าสมมติว่ามองเป็นมนุษย์เนี่ยนะ เขาต้องมีความเต็มใจที่จะมาทำแบบเดียวกับเราทีเดียว เกิดกำลังใจ เกิดแรงบันดาลใจจะมาทำแบบเดียวกับเราบ้าง อย่างนั้นเรียกว่า รับบุญเต็มขั้น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่นอกนั้นก็จะลดส่วน ทอนกำลังลงมา อย่างเช่น บอกว่า เอออนุโมทนานะ แล้วมีใจมีความสุขขึ้นมาด้วยวูบหนึ่ง อย่างนี้เรียกว่า ได้บุญมาส่วนหนึ่งเล็ก ๆ

 

แต่คนเนี่ย ประเภทที่บอกว่า โอเคอนุโมทนา แต่ใจไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย ไม่มองเห็นภาพเลยว่าเราทำบุญอะไรไป นี่ก็ไม่ได้อะไรเลยนะ ได้แต่พูดให้รักษาความรู้สึกกันเฉย ๆ นะครับ

 

คือบางคน นอกจากไม่ได้อนุโมทนาแล้วยังคิดอีกว่า “เอ๊ะไอ้นี่ทำไมงมงาย ทำไมโง่อย่างนี้นะ ไปเชื่ออะไรเรื่องบุญเรื่องบาปเรื่องอะไรมันไม่มี”  มันกลายเป็นว่าได้รับส่วนบาปมาอีก

 

เพราะฉะนั้น คนที่จะอุทิศส่วนกุศล หรือว่าจะเผื่อแผ่บุญ เผื่อแผ่ความสว่างออกจากใจของเรา ควรจะมีความฉลาดด้วยนะ ฝึกจากการที่เราคุยกับมนุษย์ด้วยกันนี่แหละ

 

อย่าแค่ว่า “วันนี้ไปทำบุญมานะจ๊ะ ขอให้อนุโมทนาด้วย” แบบนี้นอกจากเขาจะรู้สึกว่าไม่ได้สดชื่นตาม เขายังรู้สึกเกิดความฝืด เกิดความฝืน แล้วก็เกิดอคติ เกิดความคิดไม่ดี ด่าขึ้นมานะว่า “บ้ารึเปล่า”

 

ของมันมองไม่เห็นน่ะว่ามันมาเผื่อแผ่กันได้ตรงไหน แม้แต่ความรู้สึก ก็ยังรู้สึกตามไม่ได้ มันก็มองไม่ออกจริง ๆ อ่านเกมไม่ออกนะว่า การที่เราจะมาอุทิศบุญอุทิศกุศลเนี่ย มันจะเกิดขึ้นจริงได้ยังไงนะครับ

 

แต่ถ้าอย่างน้อยเราเล่า แล้วก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่า สิ่งที่เราทำไปมันได้ประโยชน์ ยกตัวอย่างนะ อย่างไปทำบุญที่วัด พระรูปนั้นรูปนี้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างไร สอนการเจริญสติ สอนธรรมะยังไงแบบไหนมา พอคนฟังเขาเกิดความรู้สึก เออพระรูปนี้ดีแฮะ แค่นี้มันเป็นทุนแล้ว มันเป็นฐานแล้ว

 

พอเราบอกว่าวันนี้เราไปทำบุญมา เอาอุปกรณ์เอาปัจจัยสี่ไปให้ เอาหยูกยาไปถวายท่าน มันจะเกิดความรู้สึกสดชื่นตามขึ้นมาด้วย ราวกับว่าเขาตามเราไปทำนะครับ เนี่ยเป็นเพราะว่าจิตมันไปจูง มันจูงเข้าลู่เข้าทางบุญกุศลกันได้ ด้วยการทำให้เห็นภาพ ทำให้รู้เรื่อง ทำให้นึกภาพออก

 

ทีนี้อย่างเวลาเราอุทิศบุญอุทิศกุศล จะตามความเชื่อ เจ้ากรรมนายเวร หรือว่าผู้ล่วงลับไปแล้วอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากว่าเรามีโฟกัสจริง ๆ มีความรู้สึกสดชื่นเบิกบานจริง ๆ จิตของผู้ที่เขาจะรอรับแสงสว่างอยู่ เขาจะรู้สึกได้

 

แต่ถ้าหากว่าจิตของเราแห้งแล้ง เหมือนกับพูดอุทิศไปอย่างนั้นแหละ พูด ๆ ไปขอให้มารับบุญมารับกุศล แต่ตัวเองยังนึกไม่ออกเลยว่า หน้าตาบุญหน้าตากุศลให้ความรู้สึกอย่างไร แบบนี้มันได้แบบกะปริบกะปรอย

 

หรือว่าคนเนี่ย เนื่องจากไปทำบุญกับพระสงฆ์องค์เจ้า ก็ที่ตั้งของบุญมันก็ใหญ่จริงนะ แต่ว่าตัวของผู้อุทิศ ผู้กล่าวอุทิศ มันไม่มีกำลังใจแรงพอที่จะเหมือนกับกระตุ้นให้จิตวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ เขาเกิดความรู้สึกพลอยชื่นใจ พลอยยินดีตามไปได้ด้วยนะครับ

 

จริง ๆ แล้วถ้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ หรือว่าภาวะยินดี หรือว่าไม่ยินดีในโลกหลังความตายเนี่ยนะครับ เอาง่าย ๆ เลย เราสามารถบอกบุญให้คนเขาเกิดความชุ่มชื่นตามได้มั้ย หรือว่าใจของเราเองมันมีความชุ่มชื่นอันเกิดจากการได้แค่รู้สึกว่า วันนี้ไปทำบุญมา หรือว่ามีความชุ่มชื่นจากการได้รู้ ได้เห็นจริง ๆ รู้แจ้งเห็นจริงว่า วันนี้เราไปทำประโยชน์อะไรให้ใครมา เขาได้รับประโยชน์อะไรจากเราไปนะครับ

 

การมีความสามารถจำแนกความต่างของสิ่งที่ละเอียดอ่อนทางใจแบบนี้ได้อย่างชัดเจน จะทำให้คุณพลอยมีความเข้าอกเข้าใจเรื่องโลกวิญญาณหลังความตายตามไปด้วยนะครับ แล้วก็จะเห็นด้วยนะว่า มันไม่ใช่เรื่องเหลวไหลเลย ภาวะทางใจภาวะทางจิตเนี่ย มันมีความซับซ้อนพิสดารแค่ไหนก็ตาม แต่มันสามารถที่จะมีสติรู้ได้ระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่นี่เอง

----------------------------------------

๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน หยุดเบื่อด้วยอุเบกขา

คำถาม     
: การที่เราใส่บาตรพระ 1 รูป ถ้าเราต้องการจะอุทิศให้ใคร เช่น เทวดา พ่อ แม่ เจ้ากรรมนายเวรจะจำกัดไหมว่า ของ ๑ ชิ้น อุทิศให้หลาย ๆ คน บุญนั้นจะถูกแบ่งสัดส่วน ให้เขาได้รับน้อยลงมั้ย คะ ช่วยแนะนำวิธีวิธีที่ควรปฏิบัติขณะทำบุญสักอย่าง หรือใส่บาตรอุทิศด้วยค่ะ?

ระยะเวลาคลิป
           ๙.๒๙ นาที
รับชมทางยูทูบ           https://www.youtube.com/watch?v=ufP5W5fuVaU&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=5

ผู้ถอดคำ 
แพร์รีส แพร์รีส


** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น