วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2563

การเจริญสตินอกจากมนุษย์แล้ว ภพภูมิอื่นสามารถเจริญสติได้หรือไม่ครับ อย่างพวกสัมภเวสี?


ดังตฤณ :  ก็มีภพของเทวดาแล้วก็ภพของพรหม เทวดาต้องเป็นเทวดาที่เจริญสติจนกระทั่ง เห็นว่ารูปไม่เที่ยงเป็นอนัตตา เทวดามีลมหายใจนะ คือมี อัสสาสะ ปัสสาสะ เห็นได้ลมหายใจอันเป็นทิพย์เนี่ย กำลังเข้า-ออก หรือหยุดอยู่นะครับ

ถ้าเป็นชั้นพรหม ท่านสามารถเห็นได้ว่ากายอันเป็นทิพย์เนี่ย สักแต่เป็นรูปๆหลอก เป็นอนัตตา

เทวดาธรรมดาก็สามารถเห็นเป็นอนัตตาได้ แต่มันจะยากกว่าความเป็นพรหม เพราะว่าความเป็นเทวดาสมาธิท่านไม่ถึงขึ้นฌานนะครับ หรือถ้าจะเจริญสมาธิให้ถึงขั้นฌานได้ก็ต้องปลีกวิเวก ซึ่งบนสวรรค์เนี่ยปลีกวิเวกยาก เต็มไปด้วยเครื่องล่อใจ เต็มไปด้วยกามคุณทั้ง ๕ ที่ยิ่งกว่าในโลกนี้คูณเข้าไปสิบ คูณเข้าไปร้อย คูณเข้าไปพัน

ถ้าคุณบอกว่าโลกนี้ละกามได้ยาก บนโน้น(สวรรค์)ยิ่งยากกว่านั้น เรียกว่า .. เอาเป็นว่ารอดยากนะ รอดจากกามคุณได้ยาก

แต่ถ้าเป็นชั้นพรหม ท่านไม่ต้องเอาตัวรอดจากกาม เพราะจิตของท่านเป็นฌานเป็นปกติอยู่แล้ว เป็นผู้ทรงฌานอยู่แล้วนะครับ ทีนี้สำคัญก็คือว่า จะเอาอนิจจสัญญากับอนัตตสัญญาติดตัวไปจากโลกมนุษย์ได้แค่ไหน มันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละท่านจะได้เจริญสติมาได้เข้มข้นเพียงใด

ในสมัยพุทธกาลก็มีพระอยู่รูปหนึ่ง ท่านเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติมาก เดินจงกรมจนกระทั่งกลิ้งหลุนๆ ท่านก็ยังเอาตัวกลิ้งไปเพื่อที่จะจงกรมต่อ ไม่ยอมหยุดนิ่ง เอาชีวิตเข้าแลกจริงๆ ท่านมรณภาพไปก็ไปเกิดเป็นเทวดา ท่านก็เห็นว่าสวรรค์ทิพยวิมาน หรือว่านางฟ้านารีบนสวรรค์เป็นเหตุให้เกิดความประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท ท่านก็ไม่เอา ก็กำหนดจิตกลั้น อัสสาสะ ปัสสาสะ จุติลงมา “จุติ” แปลว่า เคลื่อน เคลื่อนลงมาสู่ความเป็นมนุษย์ เพื่อที่จะมาปฏิบัติธรรมต่อ

อันนี้ก็ขอให้เข้าใจนะครับว่า ถ้าเป็นเทวดาที่ท่านใฝ่ธรรมมาจริง แล้วก็ปฏิบัติธรรมมาจริงๆเนี่ย คือท่านไม่ได้สนใจจะไปปฏิบัติต่อแค่อยู่บนโน้นนะ ท่านเอาตัวลงมาทั้งตัวเลย มาเป็นมนุษย์ต่อ บอกว่ามนุษย์นี่แหละ คือสิ่งที่นักเจริญสติปรารถนา สภาพนี้นี่แหละที่สามารถเห็นความไม่เที่ยงได้ง่าย แล้วเวลาปล่อยวางมันปล่อยจริง แล้วมันเกิดความรังเกียจ เกิดความอึดอัดในภาวะความเป็นกาย ความเป็นใจ ไม่เห็นมีอะไรดี ไม่เที่ยง แล้วก็หลอกล่อให้กระโจนเข้าสู่บาปได้ง่าย สู่บ่วงกรรม สู่บ่วงวิบากที่มันรออยู่ไม่มีที่สิ้นสุด ก็จะมีความรู้สึกว่า เออเนี่ยมันน่าทิ้ง

แต่ถ้าเป็นกายทิพย์ของเทวดา กายทิพย์ของเทพเนี่ยนะ มันไม่มีอะไรให้น่าทิ้ง มันมีความรู้สึกมันเป็นของจริงว่า เนี่ยน่าเอา น่าพิศวาส น่าพิสมัย แค่เอาความนุ่มนิ่มสัมผัสแบบทิพย์ มันก็ทำให้เคลิ้มแล้ว ยิ่งกว่าโดนยาสะกดให้ลุ่มหลงมัวเมาในกามราคะ มันยิ่งกว่านั้นเยอะ

เพราะฉะนั้นถ้าเป็นเทวดาแล้วเขาไม่ค่อยคิดกันหรอกเรื่องมาเจริญสติเห็นความไม่เที่ยง เห็นอนิจจัง หรือว่าเห็นความเป็นอนัตตานะครับ แล้วก็จะไม่มีความสกปรกแบบร่างของมนุษย์ให้พิจารณาว่าน่าทิ้งนะครับ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า การเห็นความสกปรกของร่างกาย เป็นอาทีนวสัญญา คือเห็นว่า เห็นกายโดยความเป็นโทษ เห็นกายโดยความเป็นของไม่น่าเอา เป็นของที่น่าทิ้ง มีได้ในร่างของมนุษย์นี่เท่านั้นแหละ

มีภพมนุษย์ที่เจริญได้ทั้งสติ แล้วก็มีอุปกรณ์เครื่องมือให้สติเจริญได้ถึงมรรคถึงผล ถึงมรรคถึงผลคือ ทิ้งไม่เอาสภาพความน่าอึดอัด ความน่าระอา ความโสโครก ความแออัดยัดทะนาน ด้วยของเน่าเหม็นเนี่ยมันมีอยู่แต่ในภพของมนุษย์ ถ้าเกินขึ้นไปเทวดาไม่มีแบบนี้

หรือถ้าจะต้องตกต่ำไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างนี้ก็ไม่มีสติให้เจริญอีก คือมีร่างกายที่เน่าเหม็นเหมือนกัน เหมือนกับมนุษย์ แต่ไม่มีสติแบบมนุษย์ เพราะฉะนั้นภพมนุษย์คือสถานีเลือกนะครับ จะเอาแบบไหนก็ได้ เลือกไปสวรรค์ เลือกไปนรก หรือจะเลือกไปนิพพาน

---------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         การเจริญสตินอกจากมนุษย์แล้ว ภพภูมิอื่นสามารถ
                              เจริญสติได้หรือไม่ครับ อย่างพวกสัมภเวสี?
ระยะเวลาคลิป           ๕.๓๖ นาที
รับชมทางยูทูบ               https://www.youtube.com/watch?v=sIZjWCd0z68&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=7&t=0s

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น