ดังตฤณ : ต้องเข้าใจก่อนว่าฌานไม่ใช่ของที่เที่ยงนะครับ
มันขึ้นอยู่กับว่าเราทำแค่ไหน ใส่เหตุปัจจัยใส่ความเพียรเข้าไปแค่ไหน
ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ทรงฌาน
คำว่า “ผู้ทรงฌาน” หมายความว่า อย่างแค่นึกถึงลมหายใจ
นึกถึงอาการที่ท้องพองออกมามีความสุข แค่นี้นะความสุขที่มันเกิดขึ้น
ที่มันมีกำลังหนุนอยู่แล้วเนี่ย มันก็ทำให้จิตรวมลงเป็นฌานได้ทันที
เนี่ยอย่างนี้เรียกว่าผู้ทรงฌาน
ผู้ทรงฌานเนี่ย
ความรู้สึกที่อยู่ๆจะตรึกนึกถึงกามราคะขึ้นมาเองมันจะไม่มี
มันจะไม่มีความใคร่ไปในเนื้อหนังออกมา แต่ต่อให้เป็นผู้ทรงฌานนะครับ
เกิดเห็นผู้หญิงสวยๆ หรือถ้าเป็นผู้หญิงก็เห็นผู้ชายหล่อๆ
แล้วเกิดความยินดีในรูปขึ้นมา ฌานเสื่อมได้ทันทีนะครับ
เหมือนอย่างที่มีพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า
ท่านเคยเป็นฤาษีทรงฌานได้ขนาดที่เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ด้วยความที่ไปเจอดี
ท่านเหาะไปเพื่อที่จะไปสอนพระราชา ทีนี้พระราชาครั้งนั้นก็มีมเหสีซึ่งก็คือคู่ของท่าน
คือพระนางพิมพาในอดีตก็ไปเป็นมเหสีของพระราชานั้น
พระราชานี่ชาติสุดท้ายก็เป็นพระอานนท์
ฤาษีได้เห็นมเหสีทางหน้าต่างของปราสาท
แล้วก็ผ้าผ่อนอาจจะไม่ค่อยอยู่กับที่กับทางเท่าไหร่
ด้วยความที่ว่าผูกเป็นคู่กันมานาน เป็นคู่บุญกันมานาน แล้วก็ประกอบกับที่ว่า
พระนางมีความงดงามทางสรีระ เห็นเข้านี่ฌานเสื่อมเลย ที่บินอยู่ตกลงมาเลยนะครับ
ฤาษีตนนั้นก็บอกว่า ไม่เอาแล้วไม่มาสอนแล้ว คือบ๊ายบายแล้วไม่เอาแล้วนะครับ
เข็ดเลยเพราะรู้แล้วว่า เนื้อคู่ของท่านก็อยู่ที่นั่นๆเอง
การเจอเนื้อคู่ของตัวเองในขณะที่ทรงฌานอยู่เนี่ยมันไม่เหมาะนัก ก็เลยเป็นที่มา
คือเรื่องจะจริงไม่จริงยังไม่ต้องไปสนใจหรอกนะครับ
สนใจตรงที่ว่ามันเป็นเรื่องจริงที่ต่อให้ทรงฌานอยู่ก็สามารถที่จะตบะแตกได้
ถ้าหากเห็นรูป หรือได้ยินเสียง หรือได้รสสัมผัสทางเนื้อหนังที่กระตุ้นให้กามราคะมันกำเริบขึ้นมา
ตัวของฌานแค่ทำให้เราเนี่ย
ไม่ตรึกนึกไปในทางกาม คือคนปกติทั่วไปเนี่ยนะครับ เขาบอกว่าเคยมีนักจิตวิทยาบอกว่า
อย่างผู้ชายเนี่ยจะคิดเรื่องทางเพศทุกสี่นาที ห้านาที
อันนี้จริงไม่จริงขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะไปสำรวจตัวเองนะครับ
มันจะมีความคิดแวบเข้ามาอยู่เรื่อยๆเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ
ซึ่งโดยตัวผมเองผมไม่ค่อยเชื่อเขาพูดอย่างนี้นะที่ฝรั่งพูดแบบนี้
อาจจะไปสำรวจได้กลุ่มสำรวจที่อาจจะมีความมักมากในกามอะไรอย่างนี้ ก็เอาเป็นว่า
เขาบอกคนปกติทั่วไปที่ไม่ได้มีความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
จะมีความตรึกนึกถึงกามอยู่เรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นคือที่พระพุทธเจ้าท่านให้เป็นอุบายในสติปัฏฐาน
ท่านก็ให้พิจารณากายโดยความเป็นของโสโครก โดยเป็นอสุภะ
คือไม่ใช่เพื่อให้เกิดความทุกข์ทรมานเปล่านะ แต่เพื่อให้จิตมันถอย มันแยกออกมาจากความกำหนัดยินดีทางกาย
แต่ที่นี้ถ้าถึงแม้จะไม่ได้เจริญอสุภกรรมฐาน
แต่ถ้าหากทำสมาธิอย่างถูกต้อง
ทำอานาปานสติจนกระทั่งได้รู้สึกถึงความสุขความวิเวกอันเกิดจากการเห็นลมหายใจเข้า-ออก
อย่างนี้จิตก็สงบลงจากการตรึกนึกกามราคะได้เหมือนกัน
ขึ้นอยู่กับว่าความถี่ความบ่อย หรือว่าความต่อเนื่องในการเห็นลมหายใจของคุณมันจะมีความแน่นหนาแค่ไหน
พระพุทธเจ้าเคยตรัสนะครับ
ผู้เจริญอานาปานสติ คือผู้ที่พ้นจากบ่วงมาร มารในที่นี้มีทั้งขันธมารด้วย
ราคะๆเกี่ยวกับความยินดี ความยึดติดความใคร่ในกามารมณ์ ซึ่งถ้าหากว่าพิจารณาแบบนี้
จะมองเห็นว่า ตัณหาราคะไม่ได้หมดไปเพราะฌาน ฌานแบบโลกๆหรือที่เรียกว่า
“อารัมมณูปนิชฌาน”
คือพูดง่ายๆว่าได้ฌานแบบเป็นเหมือนกับพิจารณาแค่ลมหายใจเข้า-ออกหรือว่าดูดวงกลมให้เป็นกสิณแบบนี้เนี่ยนะ
มันได้แค่กดฌานลงไปจากจิตสำนึก คือจิตสำนึกของคนที่ได้ฌานเนี่ย
มันจะไม่ตรึกนึกถึงกามเท่านั้นเอง แต่กามตัวกามมันยังอยู่ในขันธสันดาน
มันยังนอนเนื่องเป็นตะกอนอยู่
ถูกกระตุ้นขึ้นมาเมื่อไหร่มันก็กำเริบขึ้นมาเมื่อนั้น
กามราคะจะสิ้นไปอย่างสิ้นเชิงต่อเมื่อถึงอนาคามีเท่านั้น เป็นพระอนาคามี ได้อนาคามีผล คือบรรลุธรรมขั้นสาม ผ่านความเป็นพระโสดาบันมาแล้ว ผ่านความเป็นพระสกทาคามีมาแล้ว แล้วก็ได้เข้าถึงความเป็นพระอนาคามี อันนั้นแหละถึงจะเรียกว่า เป็นผู้สละเรือนโดยจิต คือจิตเนี่ยไม่เอาเรื่องกามราคะแล้ว ไม่สามารถที่จะสะเทือนด้วยภาพทางตา หรือว่าเสียงทางหูที่มันยั่วยวนแบบโลกๆได้อีกนะครับ
---------------------------------------------
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์ ๘
สิงหาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม ถ้าได้ฌาน
สามารถทำให้ตัณหาราคะหมดไปหรือบรรเทาเบาบาง
ลงไปได้หรือไม่ครับ?
ระยะเวลาคลิป ๗.๒๕ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=zFc8AVMPzx4&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=7&t=0s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น