วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พลังพุทธคุณจากการสวดถวายพร

 ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พลังพุทธคุณจากการสวดถวายพร

วันที่ 15 สิงหาคม 2563

 

ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันเสาร์สามทุ่ม สำหรับคืนนี้หัวข้อคือ พลังพุทธคุณจากการสวดถวายพรนะ

 

ก่อนอื่น ขอความกรุณานิดหนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่ช่วงถามตอบนะครับ คือต่อไปนี้อยากจะขอนิดหนึ่งว่า ถ้าใครจะสอบถามเรื่องการภาวนา ช่วยบอกด้วยว่า ภาวนามาอย่างไร อย่าเล่าแค่อาการเฉยๆ จะต่างกันมากนะ มีผลกับคำตอบนะครับ แล้วก็มีผลกับความเข้าใจของคุณเองด้วยนะว่า การภาวนาแต่ละวิธี แต่ละอย่าง ให้ผลไม่เหมือนกันนะ แล้วก็ มุมมองหรือความเข้าใจเกี่ยวกับการภาวนา จะพาคุณไปสู่จุดใดด้วย

 

เวลาที่ถามแล้วก็ตอบ ถ้าหากว่าไม่สอดคล้องกัน บางทีคุณอาจเอาคำตอบไปฟังเล่นๆ เฉยๆ ดูว่าเอาคำตอบนี่ไปทำต่อในแบบที่ผิดพลาดได้นะครับ ก็ต้องแจ้งไว้ตั้งแต่ต้นรายการ เพราะว่าหลายคนชอบตั้งคำถามตั้งแต่เนิ่นๆ

 

สำหรับหัวข้อคืนนี้เรื่องการสวดมนต์นะ ถ้าคืนนี้ใครพร้อม พร้อมหมายถึงตอนนี้เลย ก็เตรียมสวดมนต์ร่วมกันตั้งแต่ต้นรายการ เป็นแนวทางฝึกสวดเพื่อช่วยเจริญสตินะ

 

ที่มาที่ไปของหัวข้อในคืนนี้ก็มาจากคำถามที่ว่า สวดมนต์อย่างไร สำคัญไหมว่าต้องสวดในห้องพระ สมควรมีพระพุทธรูปด้วยหรือเปล่า แล้วตอนสวดจะตั้งจิตไว้อย่างไร บางทีเรานึกถึงการสวดมนต์เหมือนกับกิจกรรมพื้นๆ อะไรที่เบสิก ไม่จำเป็นต้องไปให้ความสำคัญมาก

 

แท้ที่จริงแล้ว การสวดมนต์อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเข้าใจที่ถูกต้องเลยก็ได้ในการเจริญสติ หรือการบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนานะ

 

การสวดมนต์ถ้าทำถูกทาง ประกันได้อย่างหนึ่งคือ คุณจะมีสมาธิทุกครั้งหลังสวดมนต์ ไม่ว่าจิตใจจะยุ่งเหยิงฟุ้งซ่านมาอย่างไร อย่างน้อยความฟุ้งซ่านจะบรรเทาเบาบางลง มีความสุขมากขึ้น มีความรู้สึกพร้อมจะเจริญสติมากขึ้น จุดนี้แหละ คือถ้าคุณมีโจทย์สำคัญว่า สวดไปเพื่ออะไร คุณจะตั้งข้อสังเกตได้อย่างถูกต้องว่า ตัวเองสวดมนต์อย่างถูกต้อง ตามแบบวิธีที่เราควรจะสวดกันในพุทธศาสนาหรือเปล่า

 

ครูบาอาจารย์ หลายท่านนะครับที่ บางท่านเป็นเกจิดังนะ สวดมาเป็นพัน เป็นหมื่นบท ที่เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์วิเศษที่สุด สุดท้ายช่วงวัยชรา ท่านก็เอาบทสวดอิติปิโสฯ นี่ มาโฆษณา มาประชาสัมพันธ์บอกว่าเป็นบทสวดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

 

อย่างสวดที่บอกว่า ป้องกันโควิดอะไรอย่างนี้ จริงๆ แล้วก็คือสวดอิติปิโสฯ นั่นแหละ แต่ไปเรียกอีกชื่อหนึ่งตามสูตร แต่เนื้อหานี่เหมือนกันกับในอิติปิโสฯ บางคนก็เชื่อว่า พอสร้างความเชื่อ เป็นเหมือนกับชื่อสูตรง่ายๆ คนเราก็จะยึดว่า นี่บทสวดบทนี้ป้องกันโควิดได้อะไรต่างๆ แต่จริงๆ ถ้าดูเนื้อหา บทสวดก็คือการสรรเสริญ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั่นแหละ คือการถวายพรพระนั่นแหละ

 

เพราะฉะนั้น ใครที่สวดอิติปิโสฯ อยู่ ขอให้เชื่อมั่นเถิดว่า เราสวดบทที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกแล้ว

 

แต่จริงๆ คือบทสวดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก คนมักจะเอาไปเหมือนกับอาศัยคุณวิเศษของบทสวดนี่นะ ในการอ้อนวอน เพื่อที่จะให้ได้อะไรมา ซึ่งพอไม่ได้ ก็จะรู้สึกเหมือนกับ ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งๆ ที่จริง บทสวดอิติปิโสฯ ถ้าจะศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ต้องอยู่กับคนสวด ที่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องทางพุทธศาสนาด้วย

 

คือการสวดถวายพรพระ หรืออิติปิโสฯ เป็นการเอาพลังศรัทธาในใจเรา มาทำให้เกิดจิตที่ตั้งมั่นในพระศาสนา อันนี้เหมารวมเลยนะ ศรัทธาที่ตั้งมั่นในพระศาสนาก็คือการที่เรามีความเคารพ ยึดพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ยึดพระธรรม เป็นแนวทางชีวิต แล้วก็ยึดอริยสงฆ์ เป็นแบบอย่างร่วมสมัยนะครับ

 

เรานึกถึงใคร ใจก็จะเอาความเป็นคนคนนั้นมาประดิษฐานไว้ในห้วงมโนทวาร การสวดมนต์ก็คือการน้อมเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาประดิษฐานในใจเรานั่นเอง พูดง่ายๆ นะ

 

ทีนี้พระพุทธเจ้าพระองค์จริงนี่ ท่านไม่อยู่แล้ว เราก็ได้แต่สร้างพุทธนิมิตขึ้นมาแทนพระองค์ท่าน ปัญหาในปัจจุบันคือ กลายเป็นที่เรายึดเอาพระพุทธรูป องค์ที่กำลังกราบไหว้ในใจ เป็นหลักเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะโดยปริยาย ซึ่งคุณสมบัติของพระพุทธรูป เป็นอย่างไร ใจก็จะอาศัยเป็นช่องทางในการรับพลังพุทธคุณอย่างนั้น

 

พลังพุทธคุณนี่ คือพลังแห่งการพ้นทุกข์ อันนี้สำคัญมาก ถ้าเราจะทำความเข้าใจ แล้วก็อยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง ตรงทางจริงๆ ในศาสนาพุทธนี่ เราต้องเข้าใจอย่างนี้นะ พลังพุทธคุณก็ดี พลังธรรมคุณก็ดี พลังสังฆคุณก็ดี คือพลังแห่งความพ้นทุกข์ ถ้าตั้งจิตไว้ตรงทาง พอสวดมนต์ หรือรับพลังพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณได้นี่ สิ่งที่เป็นสัญญาณบอกได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เลยคือ ใจเราจะต้องเบา แล้วก็มีความพร้อมที่จะเจริญสติ เห็นกายใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน

 

ถ้าหากว่าสวดมนต์แล้ว เป็นตรงกันข้าม ใจหนักขึ้น อีโก้หนักขึ้น อัตตาหนักขึ้น มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในตัวตนสูงขึ้น รู้สึกว่ากายนี้ใจนี้มันพองโต ใหญ่เหมือนยักษ์ แล้วอยากทำอะไรเหมือนมาร แบบนี้เป็นการสวดที่ไม่ใช่การสวดในแนวทางแบบพุทธ

 

วัดง่ายๆ แค่นี้ จำง่ายๆ พลังพุทธคุณที่ได้จากการสวดนี่นะ น้อมพลังพุทธคุณเข้ามาอยู่ในใจ ดูง่ายๆ ว่าเราได้รับพลังพุทธคุณหลังสวดมนต์หรือเปล่าก็คือว่า ใจเราเบา หรือใจเราหนัก

 

ใจเรามีอุปาทานในตัวตนน้อยลง พูดง่ายๆ ว่าความมานะน้อยลง หรือว่าอัตตามานะเข้มข้นขึ้น คืนนี้เราสาธิตด้วยการมาสวดมนต์พร้อมกัน ถวายพรแด่พระพุทธรูปองค์หนึ่ง

 

ก็เป็น (คุณดังตฤณนำองค์พระพุทธรูปขึ้นมา) 

องค์นี้นะ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยนะครับ จะอยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ด้านซ้ายหงาย แล้วก็พระหัตถ์ขวา จะวางคว่ำลงที่หัวเข่า หรือพระชานุ แล้วก็นิ้วพระหัตถ์จะชี้ลงที่พื้นธรณี ซึ่งก็เป็นสัญญาณ เป็นสัญลักษณ์บอกว่า เป็นเหตุการณ์คราวที่พระพุทธเจ้าเอาชนะมารได้นะครับ

 

พระพุทธรูปนี้ องค์นี้เลย แกะสลักจากกิ่งพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา อินเดีย ก็หลังจากที่ผมได้กราบไหว้บูชาอยู่พักหนึ่ง ก็ได้ทราบนะครับ คือประจักษ์กับใจตัวเองว่า ไม่เคยสัมผัสถึงความสว่างเย็นจากองค์พระขนาดเท่านี้มาก่อน คือเป็นอะไรที่ เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างพอสมควร เดี๋ยวสวดเสร็จเราจะมาเล่าที่มาที่ไปขององค์พระองค์นี้ในภายหลังนะครับ

 

ตอนนี้คือจะบอกกล่าวก่อนว่า การสวดมนต์ เวลาถ้าคุณอยู่ในห้องพระ แล้วก็กำลังกราบไหว้บูชาพระพุทธรูปอยู่นี่นะ สวดได้สองแบบ

แบบแรกนะครับ คือเปิดตาจับองค์พระไว้ตลอด

แบบที่สอง คือจับตามององค์พระจนรู้สึกถึงความสุขภายในแล้วปิดตาลง

 

อันนี้สำคัญนะ นี่แหละที่จะฝึกสมาธิ ฝึกกสิณอะไรกันนี่นะ ส่วนใหญ่นี่ ทำกันผิด แล้วก็ไม่เกิดผล แต่ถ้าหากว่าคุณเข้าใจหลักการนะครับ คือเราจะมององค์พระจนเกิดความรู้สึกถึงความสุข ความมีปีติสุขในใจนะครับ แล้วค่อยหลับตาลง จากนั้นนึกถึงความสุข คือประคองรักษาความรู้สึกเป็นสุขจากการมององค์พระไว้ แล้วสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ภาพองค์พระ หรือนิมิตองค์พระจะปรากฏขึ้นในใจเอง

 

อันนี้จากหลักการแบบขันธ์ห้าเลยนะ คือตัวสัญญา หรือความจำ จะไม่ปรากฏด้วยวิธีการที่เราพยายามหน่วงนึกไว้เฉยๆ แต่จะปรากฏ ค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากว่า เรามีความสุข แล้วก็เอาความสุขจาก .. จากตัวอย่างก็คือการน้อมเอา มององค์พระนี่นะ ไว้ ด้วยความรู้สึกสัมผัสว่า องค์พระที่เราทอดตามองสบายๆ ให้ความรู้สึกเป็นสุข ให้ความรู้สึกเบา ให้ความรู้สึกสว่างอย่างไร

 

จากนั้นนี่พอเราหลับตาลง ด้วยความรู้สึกเป็นสุขแบบนั้น ภาพองค์พระจะปรากฏในใจของเราเองโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม

 

เดี๋ยวมาทดลองกัน แล้วก็ไม่ต้องกลัวสวดผิดสวดถูกอะไรทั้งสิ้นนะ เพราะพอสวดเสร็จ ผมจะช่วยไกด์ให้อีกทีว่า จะดูใจของตัวเองอย่างไร แล้วถ้าสมมติว่า สวดไป รู้สึกว่าสวดไม่ได้ผล หรือสวดผิดอะไรต่างๆ เราสามารถย้อนกลับมาดูไลฟ์ได้อีกไม่จำกัด

 

ฉะนั้นขณะที่เราฝึกสวด ที่กำลังจะฝึกสวดตอนนี้นี่นะ ไม่ต้องกลัวว่าจะสวดผิดหรือสวดถูกนะครับ เดี๋ยวเรามาเริ่มกันนะ

 

แค่มองนี่ เลือกได้สองอย่างนะ คือ หนึ่งคือว่าเราเปิดตา มององค์พระสบายๆ โดยไม่หลับตา ไม่ปิดตานะครับ แล้วก็สวดไปด้วยเลย

หรืออีกทางหนึ่ง เราทอดตามององค์พระจนเกิดความรู้สึก มีความสุขแล้ว ให้เอาความรู้สึกเป็นสุขนั้น ประคองไว้ในใจนะครับ แล้วหลับตาลงด้วยความสุขแบบเดิมนะ ไม่ต้องนึกถึงองค์พระแบบไปเพ่งหรือว่าไปเค้น แต่ความสุขที่เกิดจากการได้ทอดตามององค์พระ จะทำให้นิมิตขององค์พระปรากฏในใจเราเอง แล้วทีนี้เวลาเราสวดมนต์ การสวดของเรา ด้วยเจตนาถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชานี่นะ ก็จะทำให้ภาพองค์พระอยู่ในใจของเราเอง ไม่ต้องไปสนใจว่าชัดหรือไม่ชัด สนใจแค่ว่าเราสวดอย่างมีสมาธิ สวดอย่างมีความสุขนะครับ จากการที่ได้ทอดตามององค์พระนี่แหละ!

________

ถอดความ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=V2dfWFCUWaM

 

(อ่านต่อบทความ “ทดลองสวดมนต์ร่วมกันโดยใช้องค์พระ”)

https://dungtrinanswer.blogspot.com/2020/08/blog-post_42.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น