ดังตฤณ : ขอให้จำไว้อย่างนึงนะครับว่า ถ้าหากเราจะนั่งสมาธิแบบพุทธ
จะเจริญสติในแบบที่เห็นกายใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง ห้ามไปตั้งคำถาม หรือตั้งโจทย์นะว่า
เอ๊ะเกิดภาวะแบบนี้ เกิดปรากฏการณ์แบบนั้นแล้วจะทำอย่างไร จะโต้ตอบอย่างไร
ลักษณะการโต้ตอบพูดง่ายๆว่า อาศัยความอยาก
อาศัยความจงใจที่จะกำจัดมันทิ้ง หรือว่าดัดแปลงให้มันดีขึ้น ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่สติ
แต่เป็นการกระทำ เป็นการกระทำเพื่อหวังผลอะไรอย่างหนึ่ง
พูดง่ายๆว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เราจงใจ ถ้าเมื่อไหร่หวังผล
เมื่อนั้นตัวตนมันปรากฏขึ้นเต็มทันทีนะครับ
แต่ถ้าหากว่าเรารู้แม่นๆ
รู้อย่างขึ้นใจว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าจะให้เราทำจริงๆในการเจริญสติก็คือรับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันอยู่ได้ไม่นานเดี๋ยวมันก็ต้องหายไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรากฏการณ์ทางจิต
ปรากฏการณ์ในขณะมีสมาธิ จะเป็นภาพจะเป็นนิมิตอะไรก็ตาม
จะเป็นสภาวะปรากฏการณ์พิลึกพิลั่นพิสดารแต่ไหนเนี่ยนะครับ มันดีหมด
ดีตรงที่มันปรากฏชัด เพราะว่าตอนที่จิตของเราเป็นสมาธิเนี่ย
อะไรๆมันปรากฏแบบไม่เลอะไปเลือนมา มันปรากฏตั้งอยู่ให้เราเห็นว่ามันมา มันมีมันภาพแบบใดแบบหนึ่ง
หรือว่ามีสีใดสีหนึ่งขึ้นมา ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เราดู เรารู้อยู่เฉยๆ เหมือนกับคนนั่งชมภาพยนตร์เนี่ย
รู้ ใจมันรู้อยู่ว่าเราไปดัดแปลงแก้ไขอะไรในสิ่งที่อยู่ในภาพยนตร์ไม่ได้แล้ว
เขาผลิตออกมาเรียบร้อย มีผู้กำกับ มีดารา
มีนักแสดงอะไรที่อยู่พ้นจากขอบเขตความสามารถของเรา ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวนะครับ
ทุกอย่างมันจบ มันเสร็จสิ้น มันมีกระบวนการอะไรของมันเรียบร้อยแล้ว
เรามีหน้าที่แค่ดู เหมือนคนดูหนังนะครับ แล้วควรจะเป็นคนดูหนังที่มีใจมีสติ
รับรู้อยู่ว่าเราเป็นคนดู
ปกติเนี่ยคนดูภาพยนตร์เพื่อเสพความบันเทิง
ก็จะปล่อยใจให้มันอินเข้าไปกับหนังเต็มที่ เพื่อที่จะได้เสพรสชาติของชีวิตตัวละครที่มันแสดงให้เราดูได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
แต่ความสุขแบบขึ้นๆลงๆในทางบันเทิงอย่างนั้นเนี่ยนะครับ
การเจริญสติแบบพุทธของเราไม่เอา เราเอาความเป็นคนดูในแบบที่รู้ตัวว่าเป็นคนดู ไม่อินเข้าไปกับภาพยนตร์
อย่างเช่นสีฟ้า
อย่างเช่นควัน มันจะปรากฏพิสดารแค่ไหน มันจะดูพิลึกพิลั่นยังไงก็ตาม น่าปฏิเสธ
หรือว่าน่าเอาเข้าตัวก็ตาม เราทำตัวเป็นคนดูว่า มันเกิดขึ้น แล้วเราห้ามไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้
แล้วมันจะหายไปเมื่อไหร่ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่ต้องไปเร่ง
การที่เราตั้งจิตไว้แบบนี้
ตั้งความเข้าใจ ตั้งมุมมองไว้แบบนี้ มันจะทำให้จิตเข้าสู่ภาวะ ผู้รู้ ผู้ดู
ไม่ใช่ผู้แสดง ไม่ใช้ผู้อินกับการแสดง
ตอนแรกๆเนี่ย
เวลาที่เป็นสมาธิแล้วเกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้นมา มีควัน มีสีฟ้า
เราอาจจะมีความตื่นเต้นก็ให้ยอมรับไปตามจริงว่ามันตื่นเต้น
มันมีความคิดปฏิเสธไม่อยากเอาก็ให้รู้ว่า เออมันมีความรู้สึกอึดอัดขัดๆอยู่ข้างในว่าไม่อยากเอา
ไม่อยากมี ไม่อยากเห็น กลัวจะไม่ได้สมาธิที่ถูกต้อง
หรือถ้ามันมีความอยากจะให้สีฟ้ามันแปลงร่างกลายเป็นอะไรสักอย่างขึ้นมา
หรือมีความสงสัย มีความใคร่รู้ มีความอยากดูว่า เออเดี๋ยวมันจะมีความพิสดารกลายรูปกลายร่างเป็นอะไรได้อีก
ความอยากเหล่านี้มันเป็นส่วนของจิตที่ไม่เป็นกลาง
จิตที่ไม่มีความสามารถในเชิงของสติรู้ตามจริง
ทีนี้
“สติรู้ตามจริง” มันปรากฏขึ้นเมื่อไหร่ มันปรากฏขึ้นตอนที่เราเห็น
เออเนี่ยมันมีสีฟ้า แล้วเราเฉย เพราะเตรียมไว้ในใจล่วงหน้าก่อนว่า
เกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราจะเห็นมันไม่เที่ยง ไม่ใช่ไปมีหน้าที่ขับไล่ไปไม่เอานะ
หรือว่าเอาเข้ามา ยิ่งมายิ่งดีจะได้ดูเป็นผู้วิเศษ จะได้ดูเป็นคนที่ทำสมาธิเก่ง
เอาไปคุยกับเพื่อนได้ว่า อึ้ยนี่ฉันเห็นแบบนี้มา
การที่เรามีสติอยู่ล่วงหน้า
ไม่เอาทั้งผลักไส ไม่เอาทั้งดึงเข้าตัว มันจะทำให้จิตสร้างความเคยชินขึ้นมาแบบหนึ่ง
คือ อะไรเกิดขึ้นก็ตาม ทำเป็นเฉยแต่ไม่ใช่ไม่รู้ไม่ชี้นะ ทำเป็นเฉยแต่ดูด้วย รู้ด้วยว่าไอ้ที่มันมา มันมาเมื่อไหร่
แล้วที่มันไป มันไปตอนไหน
ถ้าคนที่เจริญอานาปานสติมาจนเกิดความชำนาญ
จะเห็นได้ว่าลมหายใจของตัวเองเป็นศูนย์กลาง เป็นแบล็คกราวน์การรับรู้อยู่
เป็นฐานที่ตั้งของสติอยู่ นี่ตอนนี้เข้า ตอนนี้ออก
แล้วตอนที่ควันสีฟ้ามันปรากฏขึ้นมา มันปรากฏขึ้นมาที่ลมหายใจไหน
แล้วควันสีฟ้ามันคลายตัวเข้มข้นขึ้น
แปลงตัวเป็นอะไรที่มันใหญ่โตขึ้นก็รู้ด้วยว่ามันเกิดขึ้น ณ ลมหายใจไหน ตัวนี้มันมีแกนอ้างอิงชัดเจน
---------------------------------------------
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์ ๑
สิงหาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม ตอนนั่งสมาธิ
มันเหมือนมีควันสีฟ้ามาอยู่ตรงหน้า ควรเเก้อย่างไร?
ระยะเวลาคลิป ๗.๒๙ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=8qh64bI6lAM&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=8&t=0s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น