ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน
ยังผิดศีลข้อมุสาเจริญสติได้ถึงขั้นใด?
วันที่ 1 สิงหาคม
2563
ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน
พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คืนวันเสาร์สามทุ่มนะครับ
สำหรับคืนนี้ เป็นหัวข้อที่สำหรับเราๆ
ท่านๆ หรือคนทำมาหากิน ที่บอกว่า เราอยากจะเจริญรอยตามพระศาสดา อยากปฏิบัติธรรม
แต่ติดภารกิจ หรือว่าความเป็นฆราวาส ที่ต้องมีอาชีพการงานบางอย่าง ที่ก็น่าเห็นใจสำหรับหลายๆ
คน บอกว่า ถ้าให้เขาพูดบริสุทธิ์ในเรื่องของศีล พูดจาไม่โกหก ไม่บิดเบือน
ไม่มีอิ๊อ๊ะอะไรเลย จะอยู่ไม่ได้ ทำไม่ได้
ก็คงไม่ต้องยกตัวอย่างนะ เพราะหลายๆ
ท่านน่าจะรู้อยู่เต็มอกอยู่นะครับว่า บางทีไม่สบายใจเลย ที่ต้องอยู่กับหน้าที่การงานแบบยังต้องมีมลทินทางวาจานะครับ
เรามาเริ่มกันจากการทำความเข้าใจก่อนว่า
ศีล มีความสำคัญกับการภาวนาแค่ไหน อย่างไร นะครับ
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เคยให้อุบายทำสมาธิง่ายๆ กับลูกศิษย์ของท่านนะครับ บอกว่าให้สำรวจดูว่า
ในวันนั้น ศีลของเราครบทุกข้อไหม คือสำรวจมาเป็นข้อๆ เลยนะ
วันนี้ฆ่าสัตว์ไปหรือเปล่า
วันนี้ไปฉ้อโกง หรือลักทรัพย์ใครเขาไหม ไปผิดลูกผิดเมียใคร โดยผู้ที่อารักขาหรือผู้ปกครองเขาไม่อนุญาตหรือเปล่า
แล้วก็มีพูดโกหกมดเท็จ พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียดใส่ใคล้นินทาว่าร้ายอะไรต่างๆ
รวมทั้งกินเหล้า สุรายาอีอะไรทั้งหลาย
ถ้าสำรวจมาเป็นข้อๆ แล้วรู้สึกว่า
ข้อนี้ เราไม่ได้ผิด ถึงแม้มีเรื่องมายั่วยุ
ถึงแม้มีสังคมรอบข้าง หรือว่าเพื่อนมาบีบ เราก็ไม่เอาตาม อย่างนี้นี่ จะค่อยๆ
เกิดความอิ่มใจขึ้นมาทีละข้อ จนกระทั่งรู้สึกว่ามีความสุข มีความเบาใจ
มีความรู้สึกว่าจิตอยู่กับธรรมะที่สว่าง เรียบง่ายแล้วก็มีความเป็นไปเอง
ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องพยายามเค้นอะไร สมาธิก็เกิดได้ แล้วก็ที่สำคัญนะ เป็นสมาธิที่ผ่องแผ้ว
เป็นสมาธิที่ให้ความรู้สึกสบาย เป็นความรู้สึกสะอาด เป็นความรู้สึกว่าพร้อมจะสงบ
แล้วก็สามารถเห็นอะไรได้ตรงตามจริงนะ
ทีนี้อย่างหลวงพ่อพุธสอนแบบนี้
ลูกศิษย์บางคนก็ยิ้ม บอกสบายมาก เป็นเรื่องที่ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พอไปถึงระดับที่เป็นเจ้าของกิจการ หรือมีเงินมีทอง
ไม่จำเป็นต้องไปง้อกับคนที่ไม่สนใจสินค้าของตัวเอง หรือว่ากิจการของตัวเอง แบบนี้
ศีลก็รักษาได้สบายๆ บอกว่าจะให้เอาเงินมาล่อ หรือว่าเอาโปรเจคไหนที่เป็นโปรเจคโตๆ
มาล่อใจก็ตาม ก็รู้สึกว่า โอเคไม่คุ้ม
ในเมื่อรู้สึกว่าจิตของตัวเองที่บริสุทธิ์สะอาด สามารถรักษาศีลได้ ดีกว่าเงินอยู่
ก็เรียกว่ามีลูกศิษย์ของหลวงพ่อพุธกลุ่มหนึ่ง
บอกว่าทำได้ แล้วก็รู้สึกสบายใจจริงๆ เวลาที่สำรวจความสะอาดของศีลตัวเองนะ
แต่ถ้ารองลงไป ไม่ใช่เจ้าของกิจการ ยังต้องดิ้นรน
ยังต้องเหมือนกับอยู่ใต้อาณัติของคนอื่น บางทีมันเลือกยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของการปั่นยอด
เรื่องของการที่จะนำเสนอสินค้า แล้วบอกว่ามีคุณสมบัติอย่างนั้นอย่างนี้ ตามที่เจ้านายสั่ง
ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ถึงขนาดนั้น ไม่ใช่
ไม่ได้สมคำคุยโตอะไรแบบนี้นี่นะ
หรือบางที มีความจำเป็นบางอย่าง ที่จะต้องปกปิดความลับของบริษัท
เป็นพนักงานระดับที่ต้องออกหน้า เป็นพนักงานที่เขาเรียกว่าเอาไว้เป็นกันชน
ทำหน้าที่เหมือนกับว่า บอกประกาศว่า ความจริงเป็นอย่างนั้น ความจริงเป็นอย่างนี้ ทั้งๆที่ใจรู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่
อันนี้ก็เรื่องของความลำบากที่จะเป็นฆราวาส แล้วสามารถรักษาศีลได้บริสุทธิ์สะอาด
เป็นปัญหาของคนทำมาหากิน ที่อยากเจริญสติ
เอาง่ายๆ นะ พูดกันตรงๆ นะ
ว่าคนเจริญสติ ก็เหมือนนักการเมืองทุกคนน่ะ อยากเป็นนายกฯ
คนเจริญสติทุกคนก็อยากบรรลุธรรมนะ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา
ทีนี้ที่ไม่ธรรมดาคือ
พอยังเป็นฆราวาสอยู่แล้วอยากเจริญสติ จนถึงมรรคถึงผล แล้วประสบปัญหาอะไรแบบนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของการถูกบังคับให้ยินยอมผิดศีลโดยไม่เต็มใจอะไรแบบนี้นี่
พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับภิกษุว่า เพศฆราวาสนี่เป็นทางมาของธุลี นี่คือ
นอกจากเรื่องของกามคุณทั้งห้า ยังมีเรื่องอะไรแบบนี้แหละที่การทำมาหากิน
จะบริสุทธิ์สะอาดร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ยาก
คือเป็นไปได้ถ้าหากเรามาไกลพอ
พอที่จะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่เปื้อนๆ หรือเป็นมลทิน
แต่จะยากที่เริ่มต้นทำงานขึ้นมา อยู่ใต้อาณัติคนอื่น แล้วจะไปคอนโทรล ไปควบคุมให้องค์กรเขา
อยู่ในร่องในรอยแบบเดียวกับความคิดเห็นของเรา บางทีลำบาก
ทีนี้เรามาพูดในแง่หนึ่ง
ก่อนที่จะเข้าถึงคำตอบนะ ว่ายังมุสาอยู่นี่ แล้วสามารถเจริญสติได้ถึงขั้นไหน
เราลองมาพูดอันนี้ก่อนว่า การโกหกถ้ารู้ กับไม่รู้ว่าเป็นบาป
อันไหนโทษหนักกว่ากัน คำถามนี้ก่อน
คือคนส่วนใหญ่จะบอกว่า ถ้าไม่รู้
ไม่ถือว่าผิด คือนึกว่าใครๆ เขาก็ทำกัน เพราะฉะนั้นโทษคงไม่หนักมาก
อันนี้มีการแถลงไขชี้แจงว่า จริงๆ แล้วนี่ ที่ไม่รู้ว่ามันเป็นบาป
ที่ไม่รู้ว่าผิด ใจจะยึดเข้าไปเต็มเหนี่ยว ยึดบาปเข้าไปเต็มๆ
ท่านเปรียบเหมือนกับเด็กที่ไม่รู้ว่า
ถ่านแดงๆ หรือว่าหินแดงๆ มีความร้อน ก็เอามือจับเข้าไปเต็มกำเลย มือก็มอดไหม้
พุพอง ต่างกับผู้ใหญ่ รู้ทั้งรู้ว่า หินก้อนนี้ หรือเหล็กก้อนนั้น แดงๆ นี่
ร้อนแน่นอน ร้อนแบบอย่าได้เข้าไปใกล้ แต่ถูกบังคับให้เข้าไปจับ บอกว่า
ถ้าไม่จับจะเชือดคอลูก ไม่จับจะฆ่าเมียของตัวเอง ฆ่าครอบครัวอะไรแบบนี้
ก็เลยจำเป็นต้องไปจับ ไปกำ แต่ตอนจับ ตอนกำ คนที่รู้ใช่ไหมว่าก้อนหินมันร้อนอยู่
ก็เลยจับไม่เต็ม แล้วก็เหมือนกับยั้งๆ มีอาการเหมือนกับ ระวัง
ไม่ให้พื้นที่ของฝ่ามือจับก้อนหินแดงนั้นเข้าไปเต็มกำ
เปรียบอย่างนี้ ฉันใดฉันนั้น เวลาคนเรารู้ทั้งรู้ว่า
อันนี้เป็นบาป จะมีความละอาย จะมีความรู้สึกไม่ดี
จะมีความรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ยินดีเข้าไปเต็มที่ ซึ่งอันนี้สำคัญ
ถ้าเราทำบาปทั้งรู้
มีความละอายใจเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วฝืนใจ เพราะว่าไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ไหนไปให้ครอบครัว
แบบนี้จะทำอยู่ด้วยความรู้สึกว่า วันไหน หาทางเลือกใหม่ได้จะไปทันที
ไม่เอาแบบนี้แล้ว ยิ่งทำจะยิ่งมีความทุกข์ ยิ่งมีความรู้สึกลำบาก ยิ่งมีความรู้สึกอัดอัด
ยิ่งมีความรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เลย
ลักษณะของใจที่ไม่เอาบาปตรงนี้
มีผลสำคัญคือทำให้จิตไม่สกปรกเต็มที่
จิตที่ไม่สกปรกเต็มที่เวลามาเจริญสติ จะแกว่งตะกร้าล้างน้ำได้ เอาใส่ตะกร้าล้างน้ำได้ง่ายๆ
เพราะว่า ความละอาย หรือจิตสำนึกนี่ เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้จิตไม่เป็นอกุศลเต็มที่
จิตไม่เพี้ยนเข้าไปเต็มพิกัด แล้วถ้าจิตไม่เพี้ยนเต็มพิกัด
จะสามารถกลับมาตั้งเป็นสมาธิ สามารถที่จะรู้เห็นอะไรตามจริงได้
ตรงนี้เราทำความเข้าใจตรงนี้ก่อน
ทีนี้เข้าสู่คำตอบจริงๆ ว่า แล้วถ้ายังมุสาอยู่
จะเจริญสติได้ถึงขั้นไหน
ผมยกให้ดูแบบชัดๆ เป็นรูปธรรมเลยนะ อย่างถ้าคุณสามารถที่จะฝึกหายใจอย่างเป็นสุขได้ หายใจยาวด้วยการพองท้องออกมาก แล้วก็ยุบท้องลงไป เสร็จแล้วพอรู้สึกหิวลมหายใจใหม่ ก็หายใจใหม่ด้วยการพองท้อง หายใจอย่างมีความสุขนี่ เป็นไปได้ หายใจอย่างผ่อนคลาย หายใจอย่างรู้สึกว่า มันสบายทั่วตัว อย่างนี้เป็นไปได้ แล้วก็สามารถเห็นได้ว่า ลมหายใจนี่ เดี๋ยวก็มีความยาว เดี๋ยวก็มีความสั้น เอาแน่เอานอนไม่ได้
เพราะอะไร
เพราะว่าร่างกายของเรานี่หายใจยาวเข้าตลอดเวลาไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้นะ
บางทีต้องเว้นวรรค หรือบางทีต้องมีการหายใจสั้นๆ บ้าง ขึ้นอยู่กับจังหวะ
ขึ้นอยู่กับความพร้อมของอวัยวะที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ
ซึ่งเมื่อสามารถหายใจอย่างเป็นสุขได้
ก็จะเป็นสมาธิได้พอประมาณ คือเกิดสมาธิได้ล่ะ
แล้วก็เห็นอนิจจังได้พอประมาณล่ะ
แต่จะยาก ที่จะถึงสมาธิได้ในระดับที่เห็นลมหายใจเป็นสาย
เพราะอะไร เพราะว่าจิตที่ขุ่นมัว จิตที่มีมลทินห่อหุ้มอยู่ จะไปถึงความมีสมาธิแบบเห็นภายในออกมาจากความสว่างได้ยาก
พูดง่ายๆ รวมจิตให้เกิดความสว่างผ่องแผ้ว
ขนาดเห็นภาวะภายในอย่างชัดเจนได้ค่อนข้างลำบาก
ฉะนั้น เวลาจะดูว่าความคิดไม่เที่ยง
ความคิดเป็นอนิจจังอะไรนี่ ก็จะยากเป็นเงาตามตัว
คุณลองสังเกตดูเถอะ เวลาที่ ... เอาไม่ต้องโกหกนะ
เอาแค่ฟุ้งซ่านจัดๆ เอาแค่พูดเพ้อเจ้อเหม่อลอย ไม่มีจุดหมายปลายทางนี่
โอกาสที่จะรู้สึกถึงความคิดว่า มันเบาบางบ้าง หนาหนักบ้างนี่ แทบไม่มีเลยนะ
แทบเป็นศูนย์เลยนะ ส่วนใหญ่จะหนาหนักอย่างเดียว จะไม่เบาบางให้เห็น
นี่ตรงนี้นะ พูดง่ายๆนะ ถ้าจิตไม่บริสุทธิ์
ถ้าจิตมีมลทิน โดยเฉพาะข้อมุสาวาทนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการพูดเพ้อเจ้อ
พูดคำหยาบอะไรต่างๆ แล้วมันมีความสกปรกขึ้นมา ความคิดเองจะมืด จะมีความเป็นอกุศล
มีความเป็นหลุมดำขนาดที่ เราไม่สามารถจะเห็นความเป็นไปของกายใจนี้ ตรงตามจริงได้
เมื่อไม่สามารถเห็นอะไรได้ชัดเจน
โอกาสที่จิตจะรวมลงถึงขนาดเป็น ฌาน เห็นว่ากายนี้ใจนี้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน
ก็แทบไม่มีเช่นกัน
อันนี้เข้าใจว่าน่าจะตอบเคลียร์นะ
คือผมสรุปง่ายๆ ว่า เข้าสมาธิเห็นลมหายใจโดยความเป็นของที่มันยาวบ้าง สั้นบ้าง
มีความสุขได้ มีสมาธิได้อ่อนๆ แต่โอกาสที่จะรวมลงเป็นฌาน เห็นอนัตตา นี่จะยากมาก
เพราะความคิดยังมีมลทิน ยังเปื้อน ยังเปื้อนฝุ่น
ทีนี้ถามว่า แล้วทำอย่างไรล่ะ
หมดสิทธิ์สิ?
เราก็มามองอย่างนี้กันว่า
พระพุทธเจ้าเคยตรัส ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม
คือถ้าเราหวังเจริญสติ
หวังเอาความปลอดภัยในการเดินทางในสังสารวัฏ หวังปิดอบายได้จริงๆ ด้วยการบรรลุโสดาปัตติผล คือต้องวัดใจกันว่า เราจะเอาอย่างไรกับชีวิตนะ
ถ้ายังจำเป็นต้องทำมาหากิน
ต้องหาเงินหาทองอยู่ ก็ทำไปก่อน ทำไปทั้งที่ไม่เต็มใจทำนั่นแหละ
ความไม่เต็มใจที่เรารู้อยู่เต็มอก
ว่าอันนี้ไม่ใช่ใจจริงของเราเลย เราทำเพราะถูกบังคับ มันฝืนใจ จำเป็นต้องทำ
ถ้าเมื่อไหร่เราหาทางไปได้ดีกว่านี้ มีทางเลือกให้เรามากกว่านี้ เราจะไปทันที
เราจะไม่อยู่ตรงนี้ เราจะไม่อยู่ตรงที่ที่จะต้องฝืนใจโกหก
ในที่สุดธรรมะจะเปิดทางให้นะครับ
คือถ้าคุณเอาจริง ระหว่างนี้
คุณต้องมีการพยายามพิสูจน์ พิสูจน์ใจให้ธรรมเห็น ให้ธรรมะท่านเห็นว่า
เราเอาศีลทุกข้อนะ ไม่ทำผิด ไม่ละเมิด ยกเว้นอยู่ข้อเดียว
มันจำเป็นต้องทำมาหากินนี่ แล้วก็รวมทั้งได้ตั้งหน้าตั้งตาเจริญสติ
ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนด้วย
แบบนี้นี่ ขอให้ตั้งความเชื่อไว้
จะค่อยๆ มั่นใจขึ้นเรื่อยๆ นะ จะเห็นออกมาจากภายในว่า ภายในเริ่มมีพลังมากขึ้นๆ
แล้วสามารถที่จะเปลี่ยนไปดัดแปลงความจริงที่อยู่ในชีวิตตามไปได้ด้วย
คืออันนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกินเอื้อมนะ
แค่เราตั้งใจขึ้นมาจริงๆ ว่าถ้ามีทางเลือกอื่นให้ เราจะกระโจนไปทันทีไม่รีรอ
ไม่เสียดายเงินทองที่อยู่ข้างหลัง เราเอาเฉพาะแค่รอดตัว เลี้ยงชีพได้ เลี้ยงครอบครัวได้
แต่จิตที่เป็นแก่นของชีวิตจริงๆ เราจะเจริญสติ เอาแก่น เอาหลักธรรมที่พระพุทธเจ้า ท่านอยากให้สาวกได้ปฏิบัติเจริญรอยตามท่านกันจริงๆ
เท่านั้น
อันนี้ เหล่าแอดมินฝากบอกมานะ คือเดี๋ยวนี้
ในเฟสบุ๊คเหมือนกับแสดงความเห็นไม่เหมือนกัน แอดมินสามคนเห็นไม่เหมือนกัน ฉะนั้น
ถ้าตกหล่นใครไป ไม่มีการลำเอียงนะ แต่บางทีก็เป็นเรื่องในหน้าจอที่มองไม่เห็นนะครับ!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น