วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2563

งานที่ทำอยู่สร้างโมหะ สร้างอัตตามากๆ ตรงข้ามกับเส้นทางที่เราอยากปฏิบัติเลย บางทีก็ไม่รู้จะทำยังไง?


ดังตฤณ :  อันนี้ก็คล้ายคลึงกับหัวข้อของคืนนี้นะครับ บอกว่า(ทวนคำถาม)การปฏิบัติธรรมต้องการละอวิชชา แต่งานที่ทำอยู่ (งานที่เลี้ยงตัวแบบฆราวาสคนนึง ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสนะครับว่า เป็นทางมาแห่งธุลี) มันสร้างโมหะให้ตัวเอง สร้างอัตตาให้ตัวเอง ตรงข้ามกับเส้นทางที่เราอยากปฏิบัติเลยไม่รู้จะทำยังไงดี

อันนี้มีวิธีง่ายๆนะครับ คือเราแยกแยะ เราตกลงกับตัวเองให้ได้นะว่า งานที่ทำเราทำเพื่อที่จะหาอยู่หากิน เพื่อที่จะเลี้ยงชีพ กายมนุษย์เนี่ยไม่เลี้ยงชีพไม่ได้นะ ถ้าเป็นฆราวาสต้องเลี้ยงชีพด้วยการทำมาหากิน ถ้าเป็นพระต้องเลี้ยงชีพด้วยลำแข้ง คือพระพุทธเจ้าตรัสว่า เลี้ยงชีพด้วยการออกบิณฑบาตนะครับ มันต้องเลี้ยงชีพ มันต้องเอาอะไรใส่ท้อง เนี่ยตรงนี้ตกลงกับตัวเองให้ได้ก่อน

ทีนี้เราเลี้ยงชีพโดยการเป็นฆราวาส แล้วก็เป็นฆราวาสที่อยากปฏิบัติธรรมด้วย มันขัดแย้งกันมั้ย มันก็ขัดแย้งกันส่วนหนึ่ง อย่างเวลาเจอปัญหาแบบนี้แหละ ตรงที่ว่า เส้นทางทำมาหากินเนี่ยบางทีมันต้องไปสร้างกิเลสให้คน หรือว่าไปสร้างกิเลสให้ตัวเอง มันเหมือนจะสวนทางกันกับเส้นทางๆจิตวิญญาณที่เราต้องการ เส้นทางๆจิตวิญญาณของเราคือ ทิ้งอัตตา ไม่ใช่เพิ่มอัตตา ทิ้งต้นเหตุของทุกข์ ไม่ใช่ไปเพิ่มต้นเหตุของทุกข์ให้มันมากขึ้น

ทีนี้พอเรามองว่าโอเคมันมีความขัดแย้งอยู่ตรงนี้ เราจะตกลงกับตัวเองยังไงให้มันมีความสมานฉันท์ราบรื่นมากขึ้นระหว่างอาชีพการงานกับจิตวิญญาณ ที่มันเป็นสุดยอดปรารถนาของเรา

ก็บอกกับตัวเองว่า ณ เวลาที่เราทำงาน ตกลงกันตัวเองอย่างนี้นะว่า เราทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง โพซิชั่น (position)ตำแหน่งหน้าที่ หรือว่าอะไรที่มันจะต้องเป็นหน้ากากกิเลสเนี่ย ไอ้ตรงนั้นเราอาจจะอินมันก็ได้ อาจจะมีมัน เพื่อที่จะใช้มันทำมาหากิน แต่เราจะรู้ว่ามันเกิดขึ้นแค่ไหน มากหรือน้อย

อย่างบางคนบอกว่า ถ้าไม่มีกิเลส ไม่มีโมหะ มันอินกับงานไม่ได้ มันเป็นสมาธิกับงานไม่ได้ เราก็รู้ไปตรงนั้นว่า เนี่ยตอนนี้เรากำลังถูกครอบด้วยกิเลสเต็มเหนี่ยวเลยนะ เหมือนกับจิตของเราจมน้ำมิดหัวเลย คือให้มีสติรู้ ไม่ต้องไปพยายามหลอกตัวเองว่า ตอนนี้เราไม่มีกิเลสนะ ให้รู้ไปว่า ณ ขณะนี้จิตมีกิเลสข้อไหนอยู่ เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าให้พิจารณาในจิตตานุปัสสนาว่า จิตมีราคะให้รู้ว่าจิตมีราคะ ขณะนี้ราคะมีอยู่ในจิต ให้รู้ยอมรับไปตามจริง แล้วเมื่อราคะมันหายไปจากจิตด้วยสติตรงนั้นที่มันรู้เนี่ย หรือถึงเวลาที่มันจะหายไปก็ให้รู้นะ เนี่ยอย่างนี้ก็เรียกว่าเราได้ส่วนในการปฏิบัติแล้ว ได้ส่วนที่จะตีกรอบไม่ให้จิตมันเตลิดลงลึกไปในเส้นทางของกิเลสแบบปักหลักเหนียวแน่น

คือมันจะค่อยๆถอนขึ้นมาทุกครั้งที่คุณเห็นความไม่เที่ยงของกิเลส เห็นมั้ยเราใช้กิเลสมาเป็นเครื่องเจริญสติได้ พระพุทธเจ้าสอนเองนะครับ อันนี้ในจิตตานุปัสสนานะครับ คือจริงๆที่พระพุทธเจ้าสอนท่านสอนขั้นแอดวานซ์(advance)นะ ที่เห็นกิเลสในจิตเนี่ย คือไม่ใช่แบบนี้หรอก แต่ว่าเราสามารถอ้างอิงได้ว่า ถ้าเรามีสติมากพอที่จะเห็นว่า กำลังเกิดกิเลสชนิดใดอยู่ในจิตของเราได้ นั่นแสดงว่า เราสามารถที่จะเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสชนิดนั้นได้เหมือนกัน แล้วถ้าเราเห็นกิเลสมันแสดงความไม่เที่ยง มันมาอยู่ในจิต แล้วออกไปจากจิต จิตเดี๋ยวมีกิเลส เดี๋ยวไม่มีกิเลส ไม่ได้มีตัวใดตัวหนึ่งคงที่ แค่นั้นเราก็เขยิบก้าวหน้าทางธรรมได้บ้างแล้วชัวร์ๆนะครับ มันไม่ใช่ว่าเรามีกิเลสแล้ว เราจะทำอะไรไม่ได้เลยนะครับ

----------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         งานที่ทำอยู่สร้างโมหะ สร้างอัตตามากๆ ตรงข้ามกับเส้นทางที่
                              เราอยากปฏิบัติเลย บางทีก็ไม่รู้จะทำยังไง?
ระยะเวลาคลิป           ๕.๓๒ นาที
รับชมทางยูทูบ               https://www.youtube.com/watch?v=Qov_cDMQx10&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=3&t=0s

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น