ดังตฤณ : อันนี้เป็นสิ่งที่จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนเลยนะ ท่านสอนให้สัมผัสจิตคน ถ้าอ่านสติปัฏฐานแบบตลอดสายจริง ๆ ท่านสอนให้อ่านวาระจิตคนได้ด้วย ไม่เชื่อลองไปอ่านดูนะ
คือขึ้นต้นมา
ท่านให้รู้ลมหายใจตัวเองก่อน พอรู้ลมหายใจตัวเองแล้ว
ก็ให้ไปดูว่าคนอื่นเขาหายใจยังไง มันมีเข้ามีออกเหมือนกัน มันมียาวมีสั้นเหมือนกัน
แล้วเราจะพบว่า ความต่างมันอยู่ตรงที่ว่า ของเราเนี่ย มันยิ่งเจริญสติไปมาก มันยิ่งยาวขึ้น
ยาวขึ้น ของคนอื่นส่วนใหญ่จะสั้นลง สั้นลง
นะครับ
พอได้รู้ว่า
แต่ละลมหายใจมันมีสั้นมียาวไม่เท่ากัน เราก็จะเริ่มสัมผัสว่า แต่ละลมหายใจ มันนำพาเอาความสุข
หรือว่าความทุกข์มา ถ้าเราสัมผัสได้ว่า ของตัวเองเนี่ยมีสติรู้ แล้วก็สัมผัสได้จริง
ๆ ว่า ลมหายใจแต่ละระลอก มันพาความสุขและความทุกข์มาไม่เท่ากัน ไม่เท่าเดิม
มันก็จะเริ่มจำได้ เริ่มเกิดความรู้ว่า ภาวะของสุข ภาวะของทุกข์ที่มากับแต่ละลมหายใจ
ในคนอื่นก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เห็นเลยนั่ง ๆ ดูอยู่เนี่ยว่า เขากำลังหายใจเข้า
หายใจออกอยู่ด้วยความรู้สึกเป็นทุกข์ หรือเป็นสุข อยู่ ๆ บางทีมันไปรู้เองเลยนะว่า
เขากำลังคิดอะไร คิดถึงอะไร คิดเป็นอกุศล หรือว่าเป็นกุศล ไปรู้ภาวะของจิตเขาว่า
มืดหรือสว่าง
ตัวภาวะของจิต
ตัวภาวะของอารมณ์ มันก็เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลว่ามันเป็นคลื่น แม้แต่กระทั่งร่างกายของเรา จริง ๆ แล้วก็เป็นคลื่น
ถ้าในทางควอนตัมฟิสิกส์ มันเป็นคลื่นความสะเทือนของอะตอมที่มันมีพันธะต่อกัน
คือเราไม่ต้องเห็นเข้าไปถึงระดับอะตอม
เห็นเอาแค่นี้ว่าลมหายใจกำลังเข้า ลมหายใจกำลังออกอยู่
เราก็ทราบถึงภาวะความเป็นคลื่นแล้วนะครับ
คลื่นที่มันเข้ามาเป็นคลื่นลม
เป็นธาตุลม มีอาการพัดเข้า มีอาการพัดออก แล้วก็คลื่นโดยความเป็นคลื่นสดชื่น
หรือว่าคลื่นแห่งความห่อเหี่ยว ถ้าสามารถรู้ได้ถึงภาวะความเป็นคลื่นเป็นระลอก ๆ
นี้ได้อยู่ตลอด แล้วก็สามารถสังเกตเห็นว่า คลื่นของเราเป็นอย่างไร
คลื่นของคนอื่นมันก็มีธาตุแท้ หรือความเป็นมูลฐานเหมือนกัน ไม่ต่างกันเลย
มีความเป็นธาตุพัดเข้า พัดออก ที่เรียกว่าธาตุลม
หรือมีความเป็นธาตุที่นำความสดชื่น หรือว่านำความเหี่ยวแห้งเข้ามาสู่ร่างกาย
คนหายใจสั้น
คือ ผู้ที่เอาความเหี่ยวแห้งเข้าสู่ร่างกาย
คนหายใจยาว
คือ ผู้ที่เอาความสดชื่นเข้าสู่ร่างกาย เนี่ยมันเป็นคลื่นเหมือนกัน
แล้วการที่เราสัมผัสคลื่นของตัวเองได้
ก็ทำให้สัมผัสคลื่นของคนอื่นได้เป็นปกติด้วยเช่นกันนะครับ
สำหรับคนทั่วไปที่ไม่เข้าใจหลักการ
แล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า จะอาศัยจุดสังเกตอย่างไรมาพัฒนาความสามารถตรงนี้
ก็จะงงนะว่า เอ๊ะ!
เมื่อกี้ที่สัมผัสได้เนี่ย มันหลอกตัวเองหรือเปล่า อุปาทานไปหรือเปล่า
แต่ทำไมพอไปคุยกับเขาว่า “เออเป็นอะไรรึเปล่า คิดมากรึเปล่า” เออมันกำลังคิดมากอยู่จริง ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงรู้นะครับ
ทีนี้ถ้ามาดูที่พระพุทธเจ้าสอน
ก็จะทราบเป็นขั้นเป็นตอนเลยนะครับว่า ท่านสอนให้รู้วาระจิตคนอื่นได้ยังไงนะครับ
แต่จริง ๆ ทางพุทธสอนให้รู้วาระจิตคนอื่น ไม่ใช่เพื่อที่จะไปจับไต๋เขานะครับ
แต่ว่าเพื่อที่จะให้เห็นว่า ไม่ต่างกันเลยกับภาวะของเรา ชีวิตของเรา นะครับ
ของเราเป็นอย่างไร ของเขาเป็นอย่างนั้น ของเราเป็นยังไง มันมีความไม่เที่ยง
มีความไม่ใช่ตัวเดิม มีความไม่ใช่ตัวตนอยู่ตลอดเวลา ของคนอื่นก็อย่างนั้น
ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเดิม เพราะไม่ใช่ตัวตน!
-------------------------------------------
๒๒
สิงหาคม ๒๕๖๓ รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน หยุดเบื่อด้วยอุเบกขา
คำถาม : จิตมีลักษณะเป็นคลื่นหรือไม่
หลายครั้งที่ผมเหมือนสัมผัสคลื่นความคิดคนอื่นได้ เช่น
อยู่ใกล้คนที่อารมณ์หงุดหงิด ต่อให้ไม่รู้ว่าเขาหงุดหงิดหรือไม่ ก็รู้สึกร้อนเหมือนเหนี่ยวนำให้เราหงุดหงิดไปด้วย?
ระยะเวลาคลิป ๕.๐๘
นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=dz9phwYnj9I&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=8
ผู้ถอดคำ แพร์รีส
แพร์รีส
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น