วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ระหว่างเจริญสติ เราเห็นความคิดที่ ๑ ผุดขึ้น มันจะมีความคิดที่ ๒ ผุดขึ้นบอกว่า “ เห็นแล้ว คอยตามดู ” พอตามดูไปเรื่อยๆ อยากทราบว่าความคิดที่ ๒ นับว่าเป็นความคิดเทียบเท่ากับ ความคิดอื่นๆที่ผุดขึ้น หรือเป็นตัวรู้คะ หรือว่าเป็น “ความสงสัย” ?

 

ดังตฤณ :  (คุณดังตฤณทวนคำถาม) ระหว่างเจริญสติเราเห็นความคิดที่ ๑ ผุดขึ้น มันจะมีความคิดที่ ๒ ผุดขึ้นบอกว่า “เห็นแล้ว คอยตามดู” 

ดังตฤณ :  อันนี้เป็นข้อสังเกตของคนที่รู้เห็นความคิดนะครับ  

(ทวนคำถามต่อ) พอตามดูไปเรื่อยจนเห็นความคิดที่ ๑ หายไปจริงๆ อยากทราบว่า ตัวความคิดที่ ๒ นับว่าเป็นความคิดที่เทียบเท่ากับความคิดอื่นๆที่ผุดขึ้น หรือเป็น “ตัวรู้” หรือเป็น “ตัวสงสัย” กันแน่

ดังตฤณ :  เราย้อนกลับมาพูดท็อปปิค(topic)ของคืนนี้ก่อน บอกว่า ทำไมถึงสมควรทำสมาธิให้ได้ฌาน พอย้อนพูดไปถึงสิ่งที่มันเป็นของที่มันถูกเป๊ะๆตามธรรมชาติอยู่โดยตัวของมันเองเนี่ย เราจะย้อนกลับมาเข้าใจคำถามนี้ได้ง่ายขึ้นนะครับ

การได้ถึงฌานเนี่ยนะครับ ถ้าตามทางวิทยาศาสตร์ก็คือว่า คลื่นสมองย่านช้ามันจะเด่นขึ้นมากว่าย่านอื่นมาก จนกระทั่งเรามีความรู้สึกว่า ความคิดมันหายไป เพราะคลื่นสมองย่านช้าที่มันขึ้นมามันมีความสม่ำเสมอ แล้วก็มีความต่อเนื่องที่นาน ช่วงนึงนานมาก มันอยู่ย่านต่ำมากๆ คือรอบของคลื่นสมองเนี่ย มันแทบจะแบบว่า ๑ วินาทีเนี่ยนะมีแค่ครึ่งรอบ หรือบางแหล่งบอกว่าเคยเจอคนที่ไม่มีแม้แต่รอบเดียวก็มีนะครับ อันนี้ก็เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

แต่ที่เขายอมรับกันทั่วไปคือ ๑ วินาที มันมีแค่ครึ่งรอบเท่านั้นเอง ไม่เต็มรอบ ต้องรอถึง ๒ วินาที คลื่นสมองถึงจะครบรอบ เนี่ยที่เป็นคลื่นสมองย่านช้าที่มันเด่นมากๆเนี่ยนะครับ

ทีนี้ในความรับรู้ของเชิงประสบการณ์ของมนุษย์ มันก็จะเหมือนเราหลุดไปอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ที่มันไม่มีความคิดเลย มันว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง ว่างจากความคิดอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่ว่างจะความฟุ้งซ่านนะครับ แม้แต่ความคิด แม้แต่กระดิกเดียวก็ไม่มีนะครับ ไม่กระดิกเลย

ทีนี้ตรงความว่างราวกับตัวเองเนี่ย หลุดจากความเป็นมนุษย์ไป ไปเป็นแค่จิตวิญญาณที่มันไม่มีความเคลื่อนไหวทางเวลา ไม่มีความรับรู้เกี่ยวกับสถานที่ รู้แต่ว่าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งของจักรวาลที่มันกว้างใหญ่ แล้วก็พ้นไปจากโลกใบนี้ ตรงนั้นมันจะทำให้รู้จักประสบการณ์ไม่คิดอย่างแท้จริง

พอถอยออกมาจากฌาน แล้วเกิดความคิดขึ้นมา ผุดความคิดขึ้นมา มันจะเด่นชัดมากเลยว่า ผุดความคิดขึ้นมาระลอกแรกเนี่ยขึ้นมาที่ตอนไหน แล้วระลอกความคิดนั้นเนี่ยถ้าหากว่า ไม่มีการตรึกนึกตาม ไม่มีการสำคัญมั่นหมายว่าความคิดนั้นคือฉัน ความคิดนั้นระลอกนั้น มันจะหายไปแบบไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยเกิดขึ้น มันจะมีแต่ความเงียบความว่างของจิตที่เห็นอยู่รู้อยู่ว่า นั่นคือการแสดงตัวความไม่เที่ยงทางความคิด เพราะมันตั้งมุมมองไว้ก่อน ไม่งั้นเนี่ยต่อให้ได้ฌานนะ ออกมาจากฌานก็จะงงๆ “เฮ้ยนี่เราเป็นใคร ฮึ้ยผุดความคิดขึ้นมานี่ๆมันอะไร”
  ทีนี้ถ้าได้มีการตั้งมุมมองไว้ถูกล่วงหน้า แล้วก็มีประสบการณ์บ่อยครั้งพอ มันจะไม่สงสัย มันจะเห็นว่าความคิดเนี่ย ผุดขึ้นระลอกหนึ่งแล้วก็หายไป นั่นเห็นเป็นสภาวะ ไม่ใช่เห็นเป็นความคิด ตัวความคิดจะปรากฏเป็นความปรุงแต่งจิตชั่วขณะหนึ่งชั่วคราว โดยไม่มีความคิดตามมาเป็นผู้ดู ผู้รู้อะไรทั้งสิ้น จิตมันจะว่าง มันจะเงียบ มันจะหายไปเลยจากความมาคิดซ้ำ

ย้อนกลับมา พอเราซึ่งเป็นผู้เริ่มจะปฏิบัติ แล้วก็มาเฝ้าดูความคิดเอาทั้งๆที่จิตยังไม่เป็นสมาธิเนี่ย มันก็จะมีคิดซ้อนคิดอะไรแบบนี้ขึ้นมา ขอให้ตั้งมุมมองไว้ง่ายๆว่า การใช้ความคิดเห็นความคิด มันเป็นปัญญาในระดับ “จินตามยปัญญา” คือเหมือนกับเกือบจะข้ามมาจากจินตนาการแล้ว แต่ยังไม่ถึงตัว “ภาวนามยปัญญา” ดี

ตัวภาวนามยปัญญา มันอยู่จุดที่จิตเห็นความคิดได้โดยไม่ต้องคิดซ้อน ตัวนี้เนี่ยคือ .. เนี่ยเดี๋ยวยกมาอีกทีนึงให้ดูภาพชัดๆ (ขึ้นแอนิเมชั่นฝึกรู้ลมหายใจเข้า-ออก) ถ้าคุณทำสมาธิจนกระทั่งลมหายใจปรากฏชัดได้ก่อน แล้วค่อยเอาฐานของจิตที่มีความสามารถเห็นลมหายใจแบบนี้ไปสังเกตว่า ความคิดผุดขึ้นที่ลมหายใจไหน ความคิดหายไปที่ลมหายใจไหน หรือความคิดมันกระจุกเป็นกลุ่มหนาแน่นขึ้นมาที่ลมหายใจไหน แล้วเบาบางลงที่ลมหายใจใด ตรงนี้เนี่ยมันจะมีฐานที่ตั้งในการเห็นความคิดอย่างชัดเจนกระจ่าง แล้วจะไม่มีการคิดซ้อน ไม่มีการคิดซ้ำ ไม่มีการคิดตามหลัง มันจะเห็นแบบที่เรียกว่าเป็น “ภาวนามยปัญญา” จริงๆ คือรู้สึกว่าพอเห็นไปอย่างนี้เรื่อยๆเนี่ย พอผุดความคิดขึ้นมา คุณจะรู้สึกว่าเราเป็นผู้คิด มันจะเหมือนกับจิตเนี่ย แยกไปเป็นต่างหากจากตัวตน แล้วก็เข้ามาดูว่า ความคิดทีมันผุดขึ้นทีละระรอก ทีละระรอกนั่นน่ะ มันแค่สักแต่เป็นภาวะปรุงแต่งจิตชั่วคราว มันจะเห็นอย่างนั้นเลยนะครับ

สรุปคือ เราไม่ต้องไปนิยามก็ได้ว่าเป็นเทียบเท่ากับความคิดอื่นๆมั้ย หรือว่าเป็นความสงสัย หรือเปล่า คือโจทย์ข้อนี้มันยืนยันอยู่แล้วว่าเป็นความสงสัยนะครับ จะเอาคำตอบว่าตรงที่เราคิดเนี่ยตกลงมันใช่ตัวภาวนาที่บริสุทธิ์หรือเปล่านะครับ เอาเป็นขั้นเป็นตอนคือ ทำอย่างนี้ไปก็ได้ รู้อย่างนี้ไปก็ได้ คือเหมือนคิดซ้อนคิดเนี่ย อย่างน้อยมันได้ทิศทาง มันค่อยๆเชพ (
shape)ความรู้ความเห็น หรือว่าสัมมาทิฏฐิให้ค่อยๆบริบูรณ์ขึ้น

ทีนี้พอสัมมาทิฏฐิมันมีความชัดเจนแล้วว่า เราจะดูความไม่เที่ยง แล้วพอมาประจวบเข้ากับจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ ทีนี้มันก็จะเหมือนกับมีความพร้อมบริบูรณ์เต็มที่นะครับ คือจิตเนี่ยพอดูคิดซ้อนคิดอยู่อย่างนี้ แล้วเกิดสัมมาสมาธิขึ้นมา ตัวสมาธิ ณ บัดนั้น มันจะจำแนกเอง มันจะรู้เองว่า ที่ผุดขึ้นมาแต่ละระลอกๆเนี่ย มันสักแต่เป็นสภาวะปรุงแต่งจิต ไม่ใช่ความคิดของเรานะครับ
!

---------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๘ สิงหาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ระหว่างเจริญสติ เราเห็นความคิดที่ ๑ ผุดขึ้น มันจะมีความคิดที่ ๒
                              ผุดขึ้นบอกว่า  “ เห็นแล้วคอยตามดู ”  พอตามดูไปเรื่อยๆ
                              อยากทราบว่าความคิดที่ ๒ นับว่าเป็นความคิดเทียบเท่ากับ
                              ความคิดอื่นๆที่ผุดขึ้น หรือเป็นตัวรู้คะ หรือว่าเป็น “ความสงสัย” ?
ระยะเวลาคลิป           ๘.๓๗ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=JDk-5DXWREs&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=5&t=0s

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น