วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ขอคำแนะนำการภาวนาให้คุณตาอายุ 87 ปี รู้เรื่องบ้าง หลงบ้าง

ดังตฤณ : อันนี้ไม่ใช่สอนคุณตาแล้วล่ะ ต้องสอนเราเอง ให้อุเบกขา พี่เข้าใจว่าเรารักของเรามาก อยากให้ท่านได้ดี แต่ว่าบางทีเราก็ต้องมองให้เป็นธรรมชาติ ธรรมดาของโลก ว่ามาถึงจุดหนึ่ง ชีวิตมันให้ได้แค่นั้น มันไปได้แค่นั้น 

 

คือ เท่าที่เป็นอยู่นี่ ดูเหมือนมันดีที่สุดแล้ว ให้จิตของท่านอยู่กับกุศล ที่เราถามนี่ มันเหมือนจะให้ท่านภาวนา เจริญสติแบบรู้เรื่องรู้ราว 

 

ซึ่งถ้าสติของท่านยังอยู่ในสภาพกระพร่องกระแพร่ง จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างนี่ ..อันนี้ คือ เพดานที่เหมาะสม

 

แต่ถ้าเราอยากให้ท่านภาวนาให้เป็น อาจจะไปบอกให้ท่านท่อง พุทโธ สิ ท่องพุทโธไปเรื่อย ๆ ถ้าหากท่านท่องไม่ได้ เราก็จะผิดหวัง เข้าใจ point ไหม คนที่เสีย คือ เสียที่ใจเราเอง ..เราตั้งความหวังให้ท่านได้ดีมาก ๆ แต่ท่านไปไม่ได้ถึงที่เราหวัง มันก็จะเกิดความผิดหวังที่เราเอง

 

(ผู้ถาม) ถ้าเราเอาลูกประคำให้ท่านลองนับระหว่างวันจะได้ไหมคะ 

 

(พี่ตุลย์) ..นี่ ดูอาการนะ.. ท่านอยากจะเหม่อมากกว่าจะให้มาทำอะไรที่เป็นภาระ คือ บางทีอาจจะทำเอาใจเรา.. มานับลูกประคำ มาท่องพุทโธ อะไรแบบนี้ ..แต่เอาใจของท่านเองจริง ๆ ท่านอยากจะเหม่อมากกว่า ท่านอยากจะอยู่สบาย ๆ ไม่ต้องทำอะไรมากกว่า เข้าใจ point ไหม 

 

คือ ถ้าเราเอาไปให้ท่านทำ มันจะเหมือนเอาภาระไปให้ท่านแบก โดยที่ท่านไม่ได้เต็มใจ งานภาวนานี่ เป็นงานที่ต้องเต็มใจ เราจะไปบังคับใครไม่ได้ 

 

ทีนี้ ถ้าอยากจะแนะนำให้ท่านมีสติอยู่กับอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็ทดลองได้ แต่ว่าอย่าคาดหวัง อันนี้ คือ point ที่พี่บอกเรา คือ ไม่ใช่บอกว่า เฮ้ย อย่าไปอะไรทั้งสิ้น ไม่ใช่อย่างนั้นนะ คือ ถ้าแนะนำอะไรได้ อาจจะเปลี่ยน อาจจะทดลองไปเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่ตั้งความคาดหวัง ว่าท่านจะทำแน่ ๆ 

 

แต่ถ้าท่านชอบอะไร เช่น ถ้านับประคำแล้วท่านชอบขึ้นมา ก็เอาเลย เต็มที่ สนับสนุนและให้กำลังใจ ..แต่ถ้าท่านไม่ยินยอมพร้อมใจ ก็อย่าไปเสียใจซะเอง นั่นน่ะ point ของพี่

____________ 

คำถามเต็ม : อยากให้พี่ตุลย์แนะนำการภาวนาให้คุณตาหน่อยค่ะ อายุท่าน 87 ปี ตาบอด 2 ข้างมาเป็นเวลานานพอสมควร ซึ่งท่านทำใจได้แล้ว โดยปกติ มีคนดูแลที่นำสวดมนต์ก่อนนอน แต่อยากให้คุณตา ได้ฝึกภาวนาด้วย... ท่านรู้เรื่องบ้าง แต่บางทีก็มีหลงบ้างค่ะ


ดังตฤณวิสัชนา @ ศูนย์เรียนรู้วรการ

วันที่ 15 พฤศจิกายน 2563

 

ถอดคำ : นกไดโนสคูล

ตรวจทาน / เรียบเรียง : เอ้

สวดมนต์ร่วมกันก่อนจบรายการ

 ดังตฤณ :  เรามาสวดมนต์ด้วยกันนะครับ สำหรับคืนนี้เรามาลงเอยที่การสวดอิติปิโสก่อนนอนอย่างเคย

                                         คุณดังตฤณนำสวดมนต์

โดยอัญเชิญ พระบูรณพุทธ เป็นพระประธาน

                                      และใช้ ))เสียงสติ(( ช่วยสวดมนต์


ก็จบไปสำหรับคืนนี้นะครับ รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน หัวข้อ กินบุญปีเก่า เพื่อที่จะอิ่มบุญปีใหม่ แล้วคืนวันที่ ๓๑ ก่อนเที่ยงคืนประมาณ ๑๕ นาทีโดยประมาณนะครับ เรามาพบกันเพื่อสวดมนต์ข้ามคืน ถ้าหากว่าท่านใดอยู่บ้านแล้วก็อยากจะร่วมสร้างความสว่างถักทอมหากุศลด้วยกันแบบปีที่แล้วนะครับ ก็เดี๋ยวค่ำคืนวันที่ ๓๑ เรามาพบกันที่นี่นะครับ สำหรับคืนนี้ขอลาไปก่อน

ราตรีสวัสดิ์ครับ

ดูลมหายใจทุกวัน เผลอเป็นบางเวลา แต่ก็กลับมาดูต่อเมื่อมีสติ ถ้าทำไปเรื่อยๆแบบไม่เร่งรีบ จะมีอานิสงส์อะไรบ้าง?

 ดังตฤณ : บางคนพูดตรงๆเลยนะครับว่า ไม่มีอานิสงส์อะไรเลยนะ ถ้าดูลมหายใจอย่างเดียวโดยไม่มีความเข้าใจประกอบไปด้วย คือทั้งชาติได้แต่ดูลมหายใจแล้วไม่เกิดสติ ไม่เกิดปัญญาในแบบที่จะให้เห็นกายใจเป็นของไม่เที่ยงเลย

จำไว้นะครับ อานาปานสติ ไม่ใช่การจ้องลมหายใจ

ผมเขียนไว้หลายครั้งมากๆ แล้วก็ยังไม่สามารถเอาชนะความไม่เข้าใจของชาวพุทธส่วนใหญ่ได้ คือก็ไม่รู้ว่าวันไหนจะเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับอานาปานสติได้นะครับ

เพราะแม้แต่ครูบาอาจารย์ดีๆบางรูปบางองค์ ท่านก็พูดเลยนะครับว่า อย่าไปทำอานาปานสติ เสียเวลาเปล่า เพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่ ทำอานาปานสติแบบไม่เข้าใจจริงๆนะครับ

ถ้าปราศจากสัมมาทิฏฐิ ถ้าปราศจากความเข้าใจแบบที่พระพุทธเจ้าอยากจะให้เข้าใจ ดูลมหายใจอย่างเดียวไม่เกิดอะไรขึ้นเลยนะครับ ไม่ว่าจะทำไปนานแค่ไหน เพราะว่าในที่สุดแล้ว คุณจะได้แค่สติที่เข้ามาอยู่กับลมหายใจ แต่ไม่เกิดสติเห็นความไม่เที่ยง ไม่รู้แนวทาง ไม่เกิดทิศทางที่จะทำให้จิตรวมเป็นสมาธิเห็นความไม่เที่ยงของกายใจ

หลักการที่ถูกต้องนะครับ

เราจะรู้หรือไม่รู้แค่ไหนก็ตามเกี่ยวกับลมหายในเนี่ยนะครับ สำรวจเข้ามาเรื่อยๆด้วยว่า ตอนรู้สึกถึงลมหายใจเรารู้อะไรอีกบ้าง

ถ้ารู้แค่ว่า เออเนี่ย หายใจอยู่ หายใจเข้า หายใจออก แบบนั้นไม่ใช่อานาปานสตินะครับ

มันจะเริ่มเป็นอานาปานสติเมื่อคุณมีสติรู้ว่า ที่กำลังหายใจอยู่เนี่ย หายใจเข้า หรือหายใจออกหรือว่าหยุดหายใจ แล้วก็ลมหายใจแต่ละลม มันมียาว มันมีสั้นต่างกัน และในขณะที่หายใจอยู่นี้อาจจะดูว่าที่หายใจไปเนี่ย หายใจอยู่ในท่าไหน หายใจอยู่ในท่านั่ง หายใจอยู่ในท่าเดิน หรือว่าหายใจอยู่ในท่านอน

เพื่ออะไร?

เพื่อที่จะต่อยอดการรู้ลมหายใจเป็นการรู้กายตามจริงว่า
กายตั้งอยู่ในอิริยาบถแบบนี้ 
เห็นอาริยาบถไปเพื่ออะไร?
เพื่อที่จะให้มีสติเต็มเห็นทั้งตัว
เห็นทั้งตัวเป็นยังไง?
ไม่ใช่ว่าเห็นรายละเอียดทุกร่องทุกรูทุกขุมขน ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ
แต่เห็นแบบที่มันจะรู้สึกว่าที่ตั้งของตัวตน ที่ตั้งของอุปาทาน หน้าตาเป็นแบบนี้ กำลังนั่งอยู่แบบนี้ นี่คือที่ตั้งของอุปาทาน นึกว่าเป็นตัวเรา นึกว่าเป็นร่างกายของเรา

แต่พอหายใจไปแล้วรู้ว่ากำลังอยู่ในอิริยาบถนี้ เห็นอิริยาบถนี้มันต้องเคลื่อนไหวต้องกระสับกระส่ายทนอยู่กับท่าเดิมไม่ได้ เนี่ย!มันเริ่มเห็นแล้วว่า กายเนี่ยมันต้องเปลี่ยน มันต้องแปรไป มันเหมือนเดิมอยู่ตลอดไปไม่ได้ นับตั้งแต่ท่าทางที่มันกำลังเป็นอยู่เนี่ย เนี่ยนั่งอยู่แล้วหายใจ แล้วรู้ว่าหายใจด้วยท่านั่ง ต่อไปพอจะลุกเดินจะอะไรเนี่ยนะครับ ถ้าเราไม่เผลอสติไปนานนัก เราก็จะกลับมาเห็นว่า ที่หายใจอย่างรู้อิริยาบถอยู่นี้ มันรู้ว่าอิริยาบถต่างไปเรื่อยๆในแต่ละช่วงลมหายใจ

จากนั้นก็จะเห็นว่าอิริยาบถที่กำลังเป็นอยู่ อยู่ในปัจจุบันเนี่ย บางทีมันเบา บางทีมันผ่อนคลาย แต่บางทีมันหนัก เพราะว่ามันกรำ มันเกร็ง อันนี้มันจะค่อยๆเห็นขึ้นไปเรื่อยๆตามแนวทางตามทิศทางรู้ กาย เวทนา จิต แล้วก็สภาพธรรมทั้งปวงที่อยู่ในขอบเขตนี้

แต่ถ้าเอาแต่เห็นลมหายใจไป ถามว่าอานิสงส์คืออะไร?

ก็คือได้เห็นลมหายใจนั่นแหละ (คุณดังตฤณยิ้ม)

มันไม่ได้เข้าใจ มันไม่ได้เกิดปัญญาในทางที่จะหลุดพ้นจากอุปาทาน พ้นจากความยึดมั่นสำคัญผิดในกายใจนี้นะครับ

-------------------------------------------

๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน กินบุญปีเก่า อิ่มบุญปีใหม่

คำถาม : ดูลมหายใจทุกวัน เผลอเป็นบางเวลา แต่ก็กลับมาดูต่อเมื่อมีสติ ถ้าทำไปเรื่อยๆแบบไม่เร่งรีบ จะมีอานิสงส์อะไรบ้าง?

ระยะเวลาคลิป    ๗.๐๓  นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=gov91CtKY9w&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=4

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ภาวนาโดยตามดูลมหายใจ แต่สังขารทรมานจากโรคหมอนรองกระดูด ทานยาก็ง่วงภาวนาไม่ไหว ขอคำแนะนำ

 ดังตฤณ : (คุณดังตฤณยิ้ม) ก็ไม่ทราบบังเอิญหรืออย่างไรนะครับ คือผมก็เพิ่งเจอปัญหานี้มาด้วยตัวเองพอดี ผมเข้าใจปัญหานี้ดีนะครับ ก็เพิ่งประสบมา

การที่เรามีความปวดสังขารจากโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม เพราะว่าพอคนอายุมากๆอะไรๆมันเริ่มที่จะผุพังให้เห็น คือมันยังไม่ถึงขั้นเน่าเปื่อย แต่เริ่มผุพัง เริ่มแสดงความไม่ใช่ของที่เราจะรักษาไว้ หรือว่าบัญชาได้ให้มันเป็น ให้มันสดใหม่เหมือนตอนเป็นเด็กน้อยเป็นหนุ่มสาว มันแสดงอาการพยศ อาการที่นึกจะเจ็บก็เจ็บ นึกจะปวดก็ปวด นึกจะหลุดก็หลุดก็หลุด คุณไม่ต้องทำอะไรมันจัดให้

อันนี้ขอแนะนำนะครับ ออกกำลังแต่เนิ่นๆ บริหารร่างกายแต่เนิ่นๆ แต่ต่อให้คุณบริหารร่างกายยังไงมันก็จะมีจุดใดจุดหนึ่งหลุดไปอยู่ดี แต่อย่างน้อยที่สุดประคองมันไว้ รักษามันไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นะครับ แล้วก็พวกแคลเซียมวิตามินมีประโยชน์จริงนะครับ มันช่วยชะลอมันช่วยในเรื่องของการทำให้สภาพที่เสื่อมมันมีสปีด(speed)ความเสื่อมที่ช้าลง

อย่างผมเองหาหลายหมอมากๆ แล้วในที่ก็เจอนะเจอจนได้ บางทีมันเป็นเรื่องจังหวะเวลาจริงๆนะ คือหมอบางคนเราไม่มีทางเจอในตอนที่เรายังต้องเสวยกรรมเกี่ยวกับร่างกายอยู่ นี่พูดกันตรงไปตรงมาเลยนะครับ เพราะหมอบางคนเป็นหมอที่ถูกกับโรคเราจริงๆ เข้าใจโรคเราจริงๆสามารถช่วยเราได้จริงๆนะครับ อันนี้ต้องเอาทางนี้ด้วยนะครับ

ส่วนที่ว่าถ้าจะเอาในเรื่องของบุญ เรื่องของกุศลเนี่ยนะครับ คือบางทีถ้าร่างกายเขาจะให้ผลในทางที่จะบีบเราให้อยู่ในสภาพย่ำแย่จริงๆเนี่ย บางทีบุญก็สู้ไม่ได้นะครับ พูดง่ายๆบุญใหม่สู้ไม่ได้ ยกเว้นแต่ว่าเราจะทำมาเรื่อยๆ แล้วก็สามารถเอาตัวรอดจากความทุกข์ ณ เวลาที่มันบีบ แต่ว่าเวลาที่บอกว่าจะสู้ด้วยจิตอย่างเดียว จะให้มันมีความสุขจะให้มันมีอะไร เพราะร่างกายมันมีหลายจุด บางจุดต่อให้ฌานก็สู้ไม่ได้นะครับ ยกตัวอย่างเช่น โครงสร้างกระดูด หรือว่าสภาพเสื่อมของสังขารบางอย่าง แม้ครูบาอาจารย์ที่เก่งๆที่ชำนาญในฌาน อยู่ในป่า บางทีท่านก็ต้องให้หมอรักษา ท่านก็ต้องให้มีเทคโนโลยีทางการแพทย์มาช่วยเยียวยา มาช่วยพยุง มาช่วยประคองนะครับ อย่าเข้าใจว่าเราจะใช้บุญมารบกับโรคภัยไข้เจ็บทางกายได้ครอบจักรวาลนะ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ

ขออนุญาตอันเชิญตัวอย่างนะครับ อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็เคยที่จะเจ็บป่วยอาพาธ แล้ววิธีรักษาของท่านก็ใช้วิธีแบบพระอรหันต์ คือให้พระอรหันต์ด้วยกันมาสวดโพชฌงค์ เพราะโพชฌงค์เป็นธรรมเพื่อการตรัสรู้ เป็นของใหญ่ที่สุดในจักรวาลชิ้นหนึ่ง เป็นธรรมะที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาลอย่างหนึ่ง เมื่อมีพระอรหันต์มาสวดให้ฟัง ก็เหมือนกับเอาสิ่งที่สว่างที่สุดในจักรวาลมาช่วยเยียวยา มาช่วยให้สภาพทางกายสบายขึ้นได้นะครับ อันนี้ก็เป็นตัวอย่างว่า บางที่ถ้าเราจะใช้เรื่องของเงื่อนไขเกี่ยวกับบุญกุศล มันไม่ใช่ทำยังไงก็ได้ สวดบทไหนก็ได้ หรือว่าต่อให้สวดโพชฌงค์เหมือนกัน แต่ถ้าจิตไม่ถึง บางทีมันก็ไม่มีประโยชน์

สำหรับคำตอบของข้อนี้ เนื่องจากว่าผมเองเพิ่งฟื้นตัวเหมือนกันเกี่ยวกับเรื่องข้อต่อ เกี่ยวกับเรื่องอะไรต่อมิอะไร มันมีหลายวิธีเลยนะ เอ้านี่ ขออนุญาต พอดีเลยอยู่บนโต๊ะพอดี แอดมินเบลล์ส่งมาให้นะครับ ก็ใช้ได้นะที่เหมือนกับเอามารองคอดึงให้กระดูกข้อต่อมันดันออกมาจากสภาพที่มันก้ม ที่มันอยู่ในสภาพที่หมอนรองกระดูกเสื่อมอยู่แล้วมันจะยิ่งทำให้แย่ลง มันก็มีตัวยืดตัวทำให้ดีขึ้นได้ ลองสืบๆหาๆดูมันมีหลายวิธี แล้วก็อย่างพึ่งบุญใหม่อย่างเดียว พึ่งบุญเก่าที่พาเราไปเจอหมอ เจอยา เจอเทคโนโลยีทางการแพทย์อะไรดีๆนะครับ

บุญใหม่เนี่ย ขอให้เข้าใจด้วยนะ มันหมายถึงการที่เราพาตัวเองออกไปเจอบุญเก่าด้วยนะ คือบุญเก่าของเราเนี่ยอาจจะมาในรูปของยา แต่ถ้าเราดื้อไม่กินยา อาจมาในรูปของหมอแต่เราดื้อไม่ยอมไปพบหมอ อย่างนี้เนี่ยนะบุญเก่ารออยู่ก็ไม่ได้เจอกัน (คุณดังตฤณยิ้ม)

ไม่รู้จะเป็นคำตอบที่ครอบคลุมหรือเปล่า แต่ก็บอกไว้นะครับ ประสบการณ์ส่วนตัวของผมบอกได้เลยนะครับว่า บุญเก่าไม่ได้มาในรูปของการที่เรานึกถึงบุญ แล้วบุญจะมาช่วยให้หายเองโดยไม่ต้องทำอะไร เรื่องทางกายมันก็ต้องอาศัยเหตุทางกายมาประกอบด้วย มาเป็นตัวทำให้อะไรๆมันเข้าลู่เข้าทางในแบบของกายภาพด้วยนะครับ

-------------------------------------

๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน กินบุญปีเก่า อิ่มบุญปีใหม่

คำถาม : มีความปวดในสังขารจากโรคหมอนรองกระดูก จะภาวนาโดยตามดูลมหายใจ เเต่ทำไม่ได้เลยค่ะ พอทานยาก็ง่วงมากภาวนาไม่ไหว ขอคำเเนะนำ เเค่นั่งสวดมนตร์ก็ปวดหลังเเล้ว?

ระยะเวลาคลิป    ๗.๓๐  นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=zYbHF2SB8tk&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=5

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

มีปัญหาชีวิตด้านครอบครัวหนักมาก ทำอย่างไรจึงจะถอนกรรมเก่าได้เร็วขึ้น?

 ดังตฤณ :  คนส่วนใหญ่ก็ต้องการอะไรที่มันทำแล้วเห็นผล ก็เหมือนกับการบริโภคสินค้าทั่วไปเหมือนกันนะครับ สินค้าชนิดไหนที่ให้ผลทันใจ เราก็ซื้อสินค้าชิ้นนั้น แล้วก็สินค้าชิ้นนั้นก็จะเป็นที่นิยมสูง เนื่องจากว่าคนเราสิ่งที่ต้องการก็คือ ความรวดเร็วแล้วก็ได้ผลจริง

ทีนี้เรื่องของบุญ เรื่องของบาป ถ้าเรามองว่าปัญหาครอบครัวเป็นเรื่องของบาป เราต้องมองว่าบาปมันไม่ได้ทำกันวันเดียว มันทำกันหลายวัน หลายเดือน หรือหลายปี ทั้งที่ระลึกได้ ระลึกไม่ได้

การที่เราจะเอาบุญอะไรอย่างหนึ่งไปคัดง้าง หรือว่าทำลายล้างสิ่งที่สะสมมานาน จะเป็นบาปเก่าที่นึกไม่ได้ในชาติปางก่อนก็ตาม หรือว่าบาปใหม่ที่ยังจำได้อยู่หลัดๆนี้เองว่า เคยทุ่มเถียง เคยด่าพ่อด่าแม่ เคยโน่นนี่นั่นอะไรกันเนี่ยนะครับ เหล่านั้นมันเป็นสิ่งที่เราต้องระลึกว่า นั่นคือด้านมืดที่มันเกิดขึ้น ถ้าเทียบเหมือนกับเราเสกมนต์ เสกมนต์ดำมาครอบหัวครอบตัว ครอบตัวเรานานจนกระทั่งมันมืดมิดไปหมดแล้ว ทีนี้มันจะมีความสว่างแบบไหน ที่มันยิ่งใหญ่เกินความมืดดำที่มันครอบหัว หรือว่าครอบตัวเราอยู่กับคนรอบตัวด้วย

สิ่งที่ทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นบุญขั้นสูงสุดก็คือการเจริญสติภาวนา

ทีนี้การทำความเข้าใจอย่างการเจริญสติภาวนาเนี่ย ไม่ใช่ทำกันได้ในขณะที่กำลังมีอกุศลจิตเกิดขึ้นอยู่ มีโทสะแรงๆ มีโมหะหนาๆ มีตัวโลภะอย่างแข็งกล้า สามารถทำผิดศีลข้อไหนก็ได้เพื่อที่จะให้มีโลภะนั้น เนี่ย!อย่างนี้โอกาสที่จะเจริญสติภาวนามันเป็นไปไม่ได้นะครับ เพราะว่า บุญขั้นสูงเหมาะกับบุญที่ยกระดับขึ้นมาแล้วถึงขั้นกลาง โลภะ โทสะ โมหะหยาบๆต้องหายไปแล้ว เหลือแต่ที่มันละเอียดพอที่พร้อมยกระดับขึ้นมา

ทีนี้มันมีความยากอีกอันหนึ่งคือ ไม่ใช่เราทำบุญอยู่แค่คนเดียว มันต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากคนในครอบครัวด้วย เนี่ย!มันยากหลายชั้น

เรามักได้ยินได้ฟังกันว่ามีอุบายลัดทางใดทางหนึ่ง ไอ้ที่ใช้วิธีทางไสยศาสตร์กันเนี่ย คือผมไม่เถียงนะ มันมีบางคนทำได้จริงๆ แต่คนส่วนใหญ่มันไม่ใช่แบบนั้น วิบากที่กำลังเล่นงานมันไม่ใช่จะใช้ทางลัดอะไรมาแก้ได้ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป

แล้วถ้าคุณเป็นหลักของครอบครัว คำว่า หลักของครอบครัว ไม่ได้หมายถึง ผู้นำทางการเงินนะครับ แต่หมายถึงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ถ้ามีคุณอยู่แค่คนเดียวที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องสว่างๆ เกี่ยวกับบุญกุศล เกี่ยวกันเรื่องการเจริญสติ คุณต้องรู้ตัวว่าคุณถอยไม่ได้ยอมแพ้ไม่ได้ เพราะถ้าคุณถอยหรือว่ายอมแพ้คนเดียว จะไม่มีอะไรดีขึ้นเลยในชาตินี้ อันนี้เป็นสิ่งที่จะต้องยืนหยัดไว้ก่อนเป็นอันดับแรก

และจากนั้นต้องระลึกว่า คุณเท่านั้นที่จะเห็นลู่ทาง ใช้ความฉลาด ใช้สติที่มันเกิดขึ้นในสมรภูมิจริง ให้มองเป็นสมรภูมิ ให้มองเป็นสนามรบว่า ณ เวลาที่เกิดเหตุไม่ดีขึ้นจริงๆเนี่ยนะครับ มันมีธรรมะข้อไหนบ้างที่เข้ามาสู่จิตใจคุณได้ ธรรมะข้อนั้นแหละที่จะเป็นตัวชนวนที่จะเป็นจุดเริ่มต้น ค่อยเป็นค่อยไป ที่จะไขความสว่างขึ้นที่ละน้อยทีละนิดตามสถานการณ์จริง

จำไว้เลยนะครับว่า มันจะไม่มีอุบายภายนอกอะไรที่ทำจากข้างนอก แล้วมันจะมาดีขึ้นข้างใน ณ เวลาที่เกิด มีแต่สติปัญญาที่เกิดขึ้น ณ จุดนั้น ที่มันจะพาเราไปสู่ความสว่าง แล้วก็ทำให้คนรอบตัวค่อยๆสว่างตาม นี่อันนี้นโยบายนะครับ

ทีนี้เพื่อที่จะมีต้นทุนที่จะช่วยให้สถานการณ์มันดีขึ้นตามลำดับ คุณอาจจะเพิ่มทุนให้ตัวเองด้วยการสวดมนต์แผ่เมตตา แล้วนึกล่วงหน้าว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบซ้ำๆ เดิมๆ เก่าๆ คุณจะมีจิตแบบนี้ จิตที่มันเย็นพอ จิตที่มันมีเมตตาพอ แล้วก็ด้วยจิตที่มีเมตตา ด้วยจิตที่มีกุศล ตรงนั้นเนี่ย มันจะมีคำพูดอะไรที่มันสามารถออกไปได้บ้าง

อย่างเรามาถามตอบตรงนี้กันสั้นๆเนี่ย บอกว่ามีปัญหาครอบครัว ผมก็ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรนะครับ เพราะบางปัญหาของบางบ้านมันสุดๆจริงๆ

อย่างบางคนไปติดยา ไปติดมาจากนอกบ้าน เราตามขี่หลังเขาไปหรือตามเขาไปนอกบ้านมันก็ไม่ได้ หรือบางคนไปยืมเงินไปเล่นพนัน หรือไปทำอะไรที่มันร้อนๆ ร้ายๆ เกินกว่าที่เราจะมาแผ่เมตตาแล้วจะให้เขากลับตัวกลับใจเนี่ยนะ แต่อย่างหนึ่งแผ่เมตตาแล้วมีคำพูดยังไงที่จะช่วยให้เขาเกิดจิตสำนึกขึ้นมา

คุณจำไว้นะครับ คำว่า จิตสำนึก ก็คือกุศลจิตนั่นเอง กุศลจิตที่แรงพอจะละบาป กุศลจิตที่แรงพอที่จะคิดเพิ่มบุญ ถ้าหากว่าจิตของคุณมีอาการละบาป แล้วมีอาการเพิ่มบุญอยู่เป็นปกติ จนกระทั่งสามารถทำให้เขารู้สึกขึ้นมาได้ว่า เออ คุณยืนอยู่ในเขตสว่างจริงๆ แล้วคุณมีความฉลาดเลือกคำพูดมากพอที่ทำให้เขารู้สึกว่า เออ ตอนนี้คุณไม่ได้ด่าเขา คุณไม่ได้ไปพยายามที่จะตอกย้ำซ้ำเติมว่าเขาเป็นคนเลว แต่คุณมีคำพูดอะไรบางอย่าง มีสติมีความฉลาด ณ ขณะเกิดเหตุ กระตุ้นให้เขาเกิดการกลับมาคิดได้ กระตุ้นให้จิตของเขาเปลี่ยนสภาพจากอกุศลดำมืดเป็นกุศลที่มันมีความสุขสว่างขึ้นมา เนี่ย!ตัวนี้มันจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป ค่อยๆช่วย แล้วก็ทำให้อะไร อะไรมันดีขึ้นไปตามลำดับนะครับ

คุณจะหวังพึ่งกุศลก็ได้ ไปทำบุญสังฆทาน แล้วก็อธิษฐานอะไรแบบนี้ถ้าจะให้สบายใจนะ แต่ก็อย่าลืมการทำตามขั้นตามตอน ตามที่มันจะรู้สึกว่าเป็นไปได้จริงด้วยนะครับ

การอยู่ในภพมนุษย์คือวิธีที่ดีที่สุด ที่คนเราจะจูนเข้าหากันก็คือด้วยคำพูด และคำพูดที่จะจูนจิตของคนเข้าหากันได้ ต้องเป็นคำพูดที่กระตุ้นให้เกิดความคิด ไม่ใช่เป็นคำพูดที่กระตุ้นให้เกิดโทสะนะครับ อันนี้คือหลักการ

------------------------------------------

๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน กินบุญปีเก่า อิ่มบุญปีใหม่

คำถาม : มีปัญหาชีวิตด้านครอบครัวหนักมาก ทำอย่างไรจึงจะถอนกรรมเก่าได้เร็วขึ้น?

ระยะเวลาคลิป    9.20  นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=EFVwYm9yOio&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=1&t=35s

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

** IG **

ช่วยเล่าอายุและการลงโทษของนรกแต่ละหลุมให้ฟังหน่อยค่ะ

 ดังตฤณ : เรื่องของอายุและการลงโทษในนรกเนี่ยนะ บางทีเราก็ได้ยินได้ฟังกันมาเยอะว่า มันจะต้องโทษกี่หมื่นกี่แสนปีเท่านั้นเท่านี้ แล้วบางทีมันนึกไม่ออกแล้วก็ทำใจให้เชื่อไม่ได้

อายุในนรกบางขุมมันไม่ได้นับกันเป็นปีนับกันเป็นกัปกัลป์ หมายความว่า มนุษย์เกิดตายเป็นหมื่นเป็นแสนชาติเนี่ย นี่ยังไม่ขึ้นจากนรกเลยนะครับ

บางทีถ้าเรามานั่งจาระไนกันนะ มันไม่จบ มันไม่ได้คำตอบที่ออกมาเป็นภาพในหัวที่ชัดเจนนะว่า อายุในนรกมันเท่าไหร่กันแน่ หรือว่าการที่คนๆหนึ่งไปใช้กรรมในนรก ไปใช้บาปในอบายภูมิมันยืดเยื้อด้วยความรู้สึกยืดเยื้อแค่ไหน

เอาเป็นอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลาที่คุณฝันร้าย สมมติว่าคุณรู้ตัวว่ากำลังฝันร้ายอยู่ ไม่รู้จะออกจากฝันร้ายนั้นได้ยังไง แล้วก็มันยืดเยื้อไปเรื่อยๆ ความรู้สึกอยากจะออกจากฝันร้ายมันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่มันก็ยืดเยื้อไม่รู้จบ นั่นน่ะคืออายุของนรกชนิดหนึ่ง

คำว่า นรก ส่วนใหญ่ที่ลงไปในนรกได้เนี่ยนะ มันต้องมีโทษทัณฑ์ที่หนัก มันต้องมีอะไรที่เป็นตัวคุมให้ได้รับผลแบบที่ทรมานนาน ทรมานกาย ทรมานใจ

อย่างในโลกใบนี้ ตอนที่เรายังครองสภาพมนุษย์อยู่อย่างนี้เนี่ยนะ ที่เขาเรียกว่าตกนรกทั้งเป็น มันเป็นความทรมานทางใจ มันเป็นความรู้ว่า อีกกี่เดือนอีกกี่ปีนะที่จะหลุดออกจากสภาพแบบนี้

บางคนเข้าไปอยู่ในคุกที่จับต้องได้มีลูกกรง แต่บางคนอยู่ในบ้านที่มันแสนสบาย แต่มีความทรมานใจราวกับตกอยู่ในนรก ถามตัวเองอยู่ทุกวันว่า เมื่อไหร่ถึงจะพ้นสภาพนี้ไป เมื่อไหร่ถึงจะได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ไอ้สภาพยืดเยื้อยาวนานทางความทรมานใจนั่นแหละ มันเป็นตัวที่ช่วยให้เราอนุมานได้ว่า นรกมีอายุประมาณใด คือมันเป็นอายุทางความรู้สึกว่า มันไม่สิ้นสุดสักที

ทีนี้ในความเป็นจริงคือบางทีถ้าคุณเจริญสติรู้กายใจไปถึงจุดหนึ่ง บางทีถ้าคุณไปรับรู้อะไรที่มันเป็นของจริงเนี่ย หลายสิ่งหลายอย่างอาจจะไม่ตรงกับตำรา แต่สิ่งหนึ่งที่คุณจะเชื่อได้ว่ามันตรงกันทั้งตำราแล้วก็ของจริงก็คือ ความทุกข์ที่เข้มข้นในอบายภูมิมันไม่น่าพิสมัย แล้วมันยืดเยื้อยาวนานเหมือนจะไม่รู้จบจริงๆ เนี่ย!ถ้าทำใจไว้อย่างนี้นะครับ บางทีเราไม่ต้องการเป็นคำตอบที่เป๊ะๆไปเลยว่า มันกี่เดือน มันกี่ปี เพราะกี่เดือนกี่ปีในโลกมนุษย์เนี่ย จริงๆแล้วไปตัดสินมิติอื่นไม่ได้

เพราะขึ้นต้นมา มิติอื่นมันต้องดูว่าจิตวิญญาณเป็นยังไง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจิตใหญ่เหมือนพระพรหม เวลาจะเหมือนหยุด เหมือนจะไม่มีการเคลื่อนของเวลา ทั้งๆที่จริงๆมีการเคลื่อนแต่ความรู้สึกมันหยุด เพราะอะไร เพราะจิตมันนิ่งมาก มันไม่มีความเคลื่อนของจิต ความรู้สึกก็เลยเหมือนกับไม่มีเวลาเคลื่อน

แต่ถ้าจิตเล็ก มด ปลวก หรือว่าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก หรือว่าสัตว์นรก หรือว่าเปรตในแดนเปรตเนี่ยนะครับ คือลักษณะจิตพวกนั้นจะยู่ยี่ มันจะเหมือนกับจิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความอึดอัด เต็มไปด้วยความไม่เป็นสุขไม่อยู่นิ่ง เวลามันก็เคลื่อนไปช้า

ยิ่งจิตยู่ยี่มากขึ้นเท่าไหร่ มันจะยิ่งมีความอึดอัดทรมาน และความทรมาน ความทุกข์ มันก็จะทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้า เพราะมันไม่อยากให้อยู่ในสภาพนั้น มันอยากจะหลุดออกจากสภาพนั้น ความใจร้อนเร่งร้อนอยากจะหลุดออกจากสภาพนั้นนั่นแหละ ที่ทำให้เวลาเหมือนเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้านะครับ

อันนี้ก็เป็นเรื่องจริงที่คุณสามารถทราบได้ นับตั้งแต่กำลังเจริญสติโดยอาศัยกายมนุษย์นี้ จิตมนุษย์แบบนี้เป็นเครื่องมือเป็นอุปกรณ์ส่องให้เห็นความจริงเกี่ยวกับเรื่องภาวะภพภูมิ

ทีนี้ถ้าหากว่าพอจะได้แนวทางตรงนี้จับจุดถูกว่า ยิ่งจิตมีความทุกข์เท่าไหร่ เวลายิ่งเคลื่อนไปช้ามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งจิตมีความสุขมากขึ้นเท่าไหร่ เวลายิ่งเคลื่อนผ่านไปเร็ว หรือว่าราวกับไม่ผ่าน คือไม่มีเวลาอยู่เลย คือพูดง่ายๆว่าเข้าสู่ภาวะสัมบูรณ์ ตอนได้ฌานตอนที่จิตมันมีความหนักแน่นถึงอัปปนาสมาธิเข้าถึงฐานจริงๆ จะเหมือนเวลามันหยุด ก็เพราะว่ามันมีความสุข มันไม่รู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหวนะครับ อันนี้จับจุดจากตรงนี้

แล้วก็เราจะสามารถอนุมานได้ถูกว่า ภพภูมิต่างๆนับจากล่างสุดไปถึงบนสุด มีความต่างกันอย่างไร ที่จะไม่มีเวลาเคลื่อนจริงๆคือ นิพพาน เท่านั้น

อย่างพระพรหมเนี่ย รู้สึกว่าเวลาหยุด แต่จริงๆยังมีอัสสาสะปัสสาสะได้ คือมีลมหายใจเข้า-ออก อย่างพวกที่เป็นพรหมชั้นที่เรียกว่าเป็นปฐมฌานอะไรอย่างนี้ ก็ต้องมีสภาพทางกายอะไรบางอย่าง สภาพอันเป็นทิพย์ที่จับต้องได้โดยความทิพย์ที่เคลื่อนไหว ก็รู้ว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้เวลาหยุดจริง มันมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหว

แต่อย่างพรหมบางพวกไม่มีรูปให้จับต้องเลย เป็นสภาพของจิตอย่างเดียวที่ยึดเอาอากาศเป็นอารมณ์ หรือว่ายึดเอาตัวรู้เป็นอารมณ์ หรือว่ายึดเอาความไม่มีอะไรเลยเป็นตัวอารมณ์ อย่างนี้มันก็จะเหมือนกับเวลาไม่ผ่านไปจริงๆ มันอยู่อย่างนั้น คงสภาพอยู่อย่างนั้น แต่ที่แท้แล้วมันก็จะมีการปฏิรูปของภาวะทางจิต ถ้าหากว่าถึงอายุขัยก็กลับมาเกิดมนุษย์ได้ใหม่ หรือแม้แต่กระทั่งกระโจนลงมาลงนรกได้อีก ถ้าหากว่าบาปกรรมมันจะให้ผลจริงๆ

พูดง่ายๆว่า อายุของภพภูมิอื่นๆ เราประมาณเอาไม่ได้ด้วยวันเดือนปีแบบมนุษย์ แต่เราสามารถอนุมานได้ว่า ยิ่งทุกข์เวลายิ่งผ่านไปช้า ยิ่งสุขเวลายิ่งผ่านไปเร็วนะครับ

-------------------------------------

๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน กินบุญปีเก่า อิ่มบุญปีใหม่

คำถาม : ช่วยเล่าอายุและการลงโทษของนรกแต่ละหลุมให้ฟังหน่อยค่ะ

ระยะเวลาคลิป    8.27  นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=ws0piW80UqM&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=2

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส


** IG **

เมื่่อก่อนใช้อารมณ์ในการพูดคุย ปัจจุบันลดลงมาแล้ว แต่ยังมีกลับมาบ้าง จะมีวิธีแก้ไขอย่างไรและจะเปลี่ียนนิสัยนี้ได้ไหม?

 ดังตฤณ : ถ้าคุณไปตั้งใจเปลี่ยนตัวเองเนี่ยนะครับ เฉพาะแง่นี้แง่เดียวเลยคือเรื่องของความเป็นคนเจ้าอารมณ์ มันไม่ได้หมายความว่าคุณเปลี่ยนแค่นิสัยเจ้าอารมณ์นะครับ แต่คุณเปลี่ยนตัวเองจากคนๆหนึ่ง เป็นคนอีกคนหนึ่งเลย เปลี่ยนชีวิตมันง่านหรือว่ายาก?

เปลี่ยนตัวเองจากคนๆหนึ่ง เป็นอีกคนๆหนึ่งมันต้องใช้เวลา หรือว่ามีอุบายชั่วข้ามคืนแล้วทำได้ ลองคิดดูนะครับ

ทีนี้ถ้าคุณไม่ตั้งเป้าแค่ว่า เราจะเปลี่ยนตัวเองจากเป็นคนเจ้าอารมณ์เป็นคนที่มีเหตุมีผลเยือกเย็นอะไรแบบนี้นะ ซึ่งมันเป็นก้าวกระโดดที่นึกไม่ออกว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง

แต่ตั้งเป้าแบบย่อยๆก่อน เช่น ถ้าหากว่ามีเรื่องแรงๆมากระตุ้นให้เกิดภาวะเป็นยักษ์เป็นมารขึ้นมาข้างใน คุณตั้งเป้าไว้ว่า คุณจะเห็น ณ ขณะเป็นยักษ์เป็นมารนั้นว่า กำลังหายใจอยู่ในอิริยาบถใด ตั้งเป้าให้ได้แค่นี้ก่อน

คืออย่างไปตั้งเป้าว่ายักษ์มารในตัวเองจงสูญสลายไป จงตายจากความเป็นตัวเราไป อันนั้นมันเกินกว่าที่จะเป็นไปได้ แต่มันเป็นไปได้ ถ้าเราฝึกอยู่เรื่อยๆ เนี่ยนั่งอยู่เล่นๆเนี่ยนะ หรือว่าเดินอยู่เล่นๆ แล้วหายใจรู้ หายใจอย่างรู้ว่ากำลังอยู่ในอิริยาบถนั้นๆ ฝึกไว้ให้เกิดความชำนาญ ฝึกไว้ให้เป็นทุน

เสร็จแล้วพอเกิดภาวะยักษ์มารขึ้นมา มันมีสภาพมืดๆ เหมือนที่มันจะก่อตัวขึ้นมา มีเขี้ยวมีเล็บมีหนามตามตัวงอกออกมาให้รู้สึกได้ มีอะไรมืดๆเหมือนกับปีศาจในภาพยนตร์อะไรแบบนี้ที่ก่อตัวขึ้นมาจากข้างใน อันนั้นน่ะเราตั้งใจไว้ล่วงหน้าเลยว่า ณ ขณะที่เป็นยักษ์เป็นมารนั้น เราจะกลับมารู้ลมหายใจ เพื่อที่จะได้เห็นว่า เราเป็นยักษ์เป็นมารอยู่ในอิริยาบถไหน ถ้าเป็นยักษ์เป็นมารอยู่ในอิริยาบถยืน ก็ให้รู้ไปว่า เออ ในท่ายืนของกายนั้น เกิดยักษ์เกิดมารขึ้น ในลมหายใจหนึ่งๆมันมียักษ์มีมารเกิดขึ้นได้เข้มข้น หรือว่ายาวนานเพียงใด สามารถนับได้ว่าพอรู้ลมหายมันจะรู้ว่าอยู่ไปกี่ลมหายใจ ตั้งเป้าไว้แค่นี้ เอาแค่นี้เลยอย่าให้มากกว่า

เวลาตั้งโจทย์กันมานะ ทำยังไงจะเปลี่ยนนิสัย?

แล้วตัวคำถามในใจที่แท้จริงคือ ขออุบายอะไรสักอย่างที่มหัศจรรย์ สามารถเปลี่ยนดิฉันได้ในชั่วข้ามคืนมีมั้ย?

ถ้ามีก็จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง ไม่มีนะครับ แบบนั้นไม่มี อุบายแบบนั้นเป็นไปไม่ได้ และถ้าพยายามมันจะท้อ เนื่องจากยิ่งหาทางลัดเท่าไหร่ ทางมันยิ่งยืดไกลออกไปมากขึ้นเท่านั้น

แต่ถ้าเราจับจุดถูกนะครับว่า ตัวเราเองเวลาเป็นยักษ์เป็นมาร หรือว่าเจ้าอารมณ์ขึ้นมา มันไม่มีสติ มันไม่มีหลักให้สังเกตว่า จะกลับมาตั้งหลักยังไง กลับมาตั้งตัวยังไง แล้วหาหลักไว้ล่วงหน้าโดยการซักซ้อมในเวลาที่จิตใจอยู่ในสภาพปกติ เรารู้ไปเรื่อยๆ รู้ไปเล่นๆว่า เรากำลังหายใจอยู่ในท่าไหน ถ้าหายใจไปด้วยแล้วรู้อิริยาบถปัจจุบันไปด้วย จนเกิดความเคยชินขึ้นมา เสร็จแล้วไปถูกกระตุ้นให้เกิดภาวะยักษ์มาร เราเอาความเคยชินนี้ไปใช้ เอาทุนนี้ที่สร้างไว้ไปใช้ คุณจะเห็นเลยว่า ภาวะยักษ์มารที่มีสติประกอบอยู่ด้วย อายุมันจะสั้น อายุขัยมันจะอยู่ได้แต่ไม่กี่ลมหายใจ แล้วมันจะเปลี่ยนไป ค่อยๆเปลี่ยนออกมาจากความเข้มแข็งของสติ

ความเคยชินที่เราจะใช้สติรู้ รู้กายรู้ใจ รู้ภาวะที่มันปรากฏตามจริง ณ จุดเกิดเหตุมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนกับว่าภาวะยักษ์มารมันเคยชนะเรามาได้ยังไงตั้งนาน อ๋อ ก็เพราะว่าเราไม่มีหลักที่จะเอาอะไรไปสู้กับมัน ไม่มีอาวุธ มีแต่ไม้จิ้มฟันที่จะเอาไปงัดกับซุง

ไม้จิ้มฟันคืออะไร?

ก็คือตั้งสติระงับอารมณ์หน่อยอะไรอย่างนี้นะ นี่เรียกว่าไม้จิ้มฟัน

ส่วนไอ้ความเคยชินที่จะเป็นยักษ์มารมันอยู่กับเรามาตั้งกี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่ทราบนะครับ ไอ้นี่เรียกว่าเป็นท่อนซุง อย่าเอาไม้ซีกไปงัดกับไม้ซุงนะครับ เพราะว่ายิ่งงัดมันยิ่งท้อ แต่ให้เอาจากมวยถูกคู่หน่อย เอาเลื่อย เอาเชือก เอาอะไรต่อมิอะไรที่มันจะสามารถไปงัดไปทัดทานกับท่อนซุงทั้งท่อนได้นะครับ

-----------------------------------------------

๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน กินบุญปีเก่า อิ่มบุญปีใหม่

คำถาม : เมื่อก่อนเป็นคนพูดเสียงดังใช้อารมณ์ในการพูดคุย แต่ปัจจุบันไม่ค่อยใช้อารมณ์แล้ว ถ้ามีอะไรมากระทบแรงๆก็ยังกลับมาใช้อารมณ์แรงๆได้อยู่ จะมีวิธีอย่างไรให้เท่าทันและสามารถระงับได้ทันก่อนที่มันจะออกมาภายนอก และทำอย่างไรจะเปลี่ยนนิสัยที่เป็นคนใช้อารมณ์ได้?

ระยะเวลาคลิป    ๗.๐๓  นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=9H6-Qk90Jg8&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=3

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน กินบุญปีเก่า อิ่มบุญปีใหม่

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน กินบุญปีเก่า อิ่มบุญปีใหม่


ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันเสาร์สามทุ่ม ก่อนจะขึ้นปีใหม่กัน

 

ช่วงคืนวันที่ 31 (ธันวาคม) ถ้าไม่มีอะไรขัดข้อง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราก็จะมาสวดมนต์ข้ามคืนกันอีกแบบปีที่แล้ว หลายคนยังติดใจอยู่ ว่าสวดแล้วรู้สึกสบายใจขึ้น รู้สึกว่าปีหน้า หมายถึงปีที่ผ่านมานี่ น่าจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้าง

 

สำหรับการสวดมนต์ข้ามคืน ก็อย่างที่บอกเมื่อปีที่แล้วว่า ถ้าเราขึ้นต้นด้วยจิตที่ดี ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ความรู้สึกย่อมดีตาม

 

หลายคนบอกว่า พอสวดมนต์ข้ามคืน ก็ให้ความรู้สึกว่า อะไรที่จะแย่ก็ไม่แย่เสียทีเดียว ที่ถามๆ มา มีหลายคนเลยที่บอกว่า จิตใสใจเบาตอนช่วงข้ามคืนขึ้นปีใหม่ ช่วยได้เยอะ เพราะว่าจิตใจที่กำลังหดหู่ จิตใจที่กำลังหมดหวัง จิตใจที่กำลังใกล้เคียงที่จะซึมเศร้า ได้ฟื้นตัว แล้วเกิดความรู้สึกว่ามีกำลังใจ อยากจะให้ทั้งปีถัดไป ได้มีกำลัง มีความแจ่มใสแบบนั้น

 

นี่คือความสำคัญของการขึ้นต้น ด้วยจิตที่เป็นกุศล หรือถ้าหากว่าเราทำให้เป็นมหากุศลได้ ยิ่งดีใหญ่เลย

 

มหากุศล คืออะไร คือมีจิตเต็ม เป็นสมาธิ มีความเป็นดวงสว่าง ไม่ใช่หลุมดำ ไม่ใช่จุดดึงดูดความสุข แต่เป็นแหล่งผลิตความสุขขึ้นมาแทน

 

อย่างคืนนี้นะครับ ก็ตามหัวข้อนะครับ บอกว่า กินบุญปีเก่า อิ่มบุญปีใหม่ หมายความว่าอย่างไร

 

หมายความว่า เราใช้บุญที่ทำมาแล้วนั่นแหละให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ไปเบิกธนาคารบุญอะไรมา ไม่ใช่แบบนั้นนะ แต่เอาของจริง ที่ยังทำให้เราเกิดความแช่มชื่นได้อยู่เมื่อระลึกถึง

 

คืนนี้ เราพูดถึงอะไร ขอให้นึกถึงการวางแผน

 

หลายคนรู้สึกว่า ตัวเองประสบความล้มเหลวกับการวางแผน ว่าปีหน้าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ จะเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ คือไปตั้งเป้าเอาลอยๆ โดยไม่มีการทบทวน ไม่มีการสร้างพื้นยืน ไม่มีพื้นให้ยืนได้จริง ไม่มีสปริงบอร์ดให้ออกตัวแบบก้าวกระโดดกัน  ก็เลยไม่ประสบความสำเร็จ

 

ยกตัวอย่าง อย่างบางคนบอกว่า ปีที่ผ่านมา เล่นเกมมากเกินไป รู้ตัว ปีหน้าจะไม่เล่นแม้แต่เกมเดียว เลิกหมดเลย นี่ก็เหมือนกับไปกะเกณฑ์ให้ตัวเอง ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  สู้กับตัวเองรุนแรงเกินไป ตัวเองสะสมนิสัยแบบที่ไม่ดี หรือว่า ที่ร้ายๆ มาเป็นเดือนเป็นปี แต่อยู่ๆ จะมาหักดิบเอาวันเดียว บอกว่าจะเลิกเลย ส่วนใหญ่ทำกันไม่ได้ เพราะว่าใจคนเป็นไปตามความเคยชิน ไม่ได้เป็นไปตามที่ไปกะเกณฑ์ หรือว่าจะมาบังคับ ข่มขู่ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ทำได้ทันทีทันใด แต่ต้องมีฐาน มีสปริงบอร์ด

 

ถ้าใครได้สปริงบอร์ด จะรู้เลยว่า มันสำคัญขนาดไหน กับการออกตัวแบบก้าวกระโดด

 

ถ้าออกตัวแบบก้าวกระโดดได้ ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งสิ้น จะเป็นเรื่องของการเรียน การกีฬา การดนตรี หรือว่าการบุญการกุศล ถ้าคุณได้สปริงบอร์ด ถ้าคุณออกตัวได้แบบก้าวกระโดด คุณจะมีกำลังใจ คุณจะมีความรู้สึกสนุกคึกคัก มีฉันทะ มีความอยากจะทำให้มันยิ่งๆ ขึ้น มีความก้าวหน้า มีความคืบหน้า

 

แต่ถ้าออกตัวแบบแห้งแล้ง ไม่มีกำลังใจ ไม่มีความชุ่มชื่น ไม่มีสปริงบอร์ด ไม่มีอะไรช่วยทั้งสิ้น ออกตัวก้าวเดียวจอด นี่ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของจิตใจมนุษย์ โดยเฉพาะจิตใจของมนุษย์ยุคเรา เป็นจิตชนิดอ่อนแอ เรามาพูดกันแบบตรงไปตรงมา ยอมรับความจริง ว่าเราสบายกันจนกระทั่งไม่มีความเข้มแข็งมากพอ ที่จะทำอะไรตามความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวได้

 

ฉะนั้น คืนนี้นะครับ เรามาดูกันว่า ปีที่ผ่านมา .. วันนี้ เรายังไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลย .. ไปดูปีที่ผ่านมานี่ จะเอามาเป็นสปริงบอร์ดได้ไหม

 

หลักการก็คือว่า เราจะมาทบทวนบุญกัน เอาชนิดที่นึกได้ทันที ชนิดที่คิดออกว่าบาปบางอย่าง พอหักใจได้แล้วก็เกิดความภูมิใจ เกิดความสุขขึ้นทันที เรามาลิสต์เป็นข้อๆ เพื่อให้เกิดภาพรวมของบาปบุญอย่างชัดเจน

 

คือถ้าอยู่ๆ คุณไปนึก เอ๊ะ ปีที่ผ่านมา ทำบุญอะไรมาบ้าง หรือว่าเราละบาปอะไรได้บ้าง อาจขึ้นใจแค่ไม่กี่ภาพ ไม่กี่ครั้ง เอาที่แบบมีความสุขจริงๆ ที่ประทับลงไปอยู่ในหัวใจ บางทีจะนึกออกลำบาก

 

แต่ถ้าหากว่า เรามาทบทวนกันแบบเขียนเป็นข้อๆ ตามหลักการที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ให้ละบาป เพิ่มบุญ แล้วก็ยังจิตให้ผ่องใส อันนี้นี่ จะทำให้นึกออก บอกถูกนะ แล้วก็สามารถที่จะมาสำรวจกันได้อย่างชัดเจนเป็นข้อๆ

 

ผมเขียนให้ดูเป็นโครงสร้าง แบบที่เห็นแล้วนึกออกทันทีเลยว่า การมีจิตใจแบบพุทธ แบบชาวพุทธที่เราเน้นกันเรื่อง ละบาป เพิ่มบุญ แล้วก็ยังจิตให้ผ่องใสนี่นะ หน้าตาโครงสร้างเป็นแบบนี้


คือเรามี เรื่องของทาน เรื่องของศีล แล้วก็เรื่องของการเจริญสติภาวนา นะครับ

.

.

ซึ่งก็แบ่งแยกย่อยออกไปได้ อย่างเช่น ทาน คุณนึกดู พอเขียนเป็นอย่างนี้จะชัดเจนนะ ทรัพยทาน อภัยทาน วิทยาทาน ธรรมทาน

เมื่อนึกถึง ทรัพยทาน พูดง่ายๆ ให้สตางค์ หรือให้สิ่งของเสื้อผ้าอะไรแบบนี้ ครั้งไหนในปีที่ผ่านมา คุณรู้สึกว่าประทับใจตัวเองที่สุด คือพอให้ไปแล้วปลื้ม ให้ไปแล้วไม่ติดข้อง ไม่มีอาการคิดเล็กคิดน้อย ไม่มีอาการย้อนกลับมาเสียดาย ภาพไหนที่ขึ้นใจก่อน พิมพ์ลงไปเลย หรือเขียนลงใส่กระดาษไปเลย เพื่อที่จะบันทึกกรรมของตัวเอง ให้เกิดความแจ่มชัดในหัวเดี๋ยวนี้นะครับ ว่าสิ่งที่เราทำมาที่เรียกว่าเป็นบุญ หน้าตาเป็นแบบนั้น มีความรู้สึกแบบนั้น แล้วก็ย้อนกลับมานึกถึงแล้วมีความสุขประมาณนี้

หรืออย่าง อภัยทาน คือเอาง่ายๆ ถ้าปกติเป็นคนที่จะคิดอะไรแรงๆ ในหัว สาปแช่งชาวบ้านไปทั่ว หรือใครทำให้เราเจ็บใจน้อยใจ เสียใจ แล้วจะต้องมีคำด่าที่วนเวียนอยู่ในหัว หรือพร้อมจะพรั่งพรูออกมาทางปาก เสร็จแล้วสามารถห้ามใจได้ สามารถเกิดอารมณ์ประมาณว่า อย่าไปเอาเรื่องดีกว่า อย่าไปถือสาเขาเลย ปล่อยๆ ไปเสียบ้าง แล้วเกิดความรู้สึกสบายใจ โล่งอก ว่าเราทำได้ เราสามารถให้อภัยได้ เขียนลงไปเลย พิมพ์ลงไปเลย ว่าเราทำได้อย่างนี้ คิดได้อย่างนี้ แล้วก็หักห้ามใจได้อย่างนั้น

 

ถ้าหากว่านึกถึง ย้อนนึกว่าเราทำได้ จะเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาว่า เคยทำได้ เดี๋ยวก็ต้องทำได้อีก เคยทำได้มาแล้ว จะทำไม่ได้อีกได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องทำได้อีก

.

แล้วอย่าง วิทยาทาน ความรู้ความเข้าใจ ใครถามอะไรเกี่ยวกับข้อมูลที่เป็นแบบโลกๆ หรือแม้กระทั่งทฤษฎีทางธรรมะอะไรอย่างนี้ แล้วเราเกิดกุศลจิต อยากจะช่วยให้คำตอบเขาโดยไม่คิดอะไร ไม่มีการแลกเปลี่ยน

 

คือถ้าสอนตามหน้าที่ แลกเงินด้วยใจแห้งๆ อย่างนี้ไม่เอานะ ไม่นับ เพราะอย่างนั้นไม่ใช่การให้ทาน อย่างนั้นคือการที่เราออกแรง แลกเงิน

 

แต่ถ้าใจของเรามีความรู้สึกว่า ให้ความรู้เขาแล้วเกิดความสุข เกิดความรู้สึกมีปีติที่ได้ช่วยให้เขารู้เพิ่มขึ้น เปลี่ยนเขาจากไม่เข้าใจ เป็นเข้าใจ เปลี่ยนเขาจากไม่รู้ เป็นรู้ เปลี่ยนเขาจากที่ไม่สามารถที่จะเลี้ยงตัวให้รอดได้ กลายเป็นเลี้ยงตัวให้รอดได้ อะไรแบบนี้ เหมาเป็นวิทยาทานนะ


ความรู้สึกว่าได้ให้ เป็นการให้เปล่า เป็นการให้สมองของเขาโตขึ้น หรือว่าเต็มขึ้น อันนี้แหละ วิทยาทาน

ส่วนธรรมทาน คือไม่ใช่จะต้องไปสอนทฤษฎีธรรมะ หรือมาลิสต์หัวข้อว่าข้อธรรมมีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เป็นความรู้ความเข้าใจ ในทางที่จะทำให้จิตใจของคนๆ หนึ่ง สามารถบรรเทาความทุกข์ลง มีความทุกข์ที่เบาบางลง หรือกระทั่งเข้าใจแนวทาง ว่าการเจริญสติ ต้องทำอย่างไร อาจพูดด้วยตัวเอง ด้วยความรู้ความเข้าใจของตัวเอง ด้วยวิธีคิดของตัวเอง หรือหยิบยกคำพูดครูบาอาจารย์มา หรือว่าส่งลิงก์ แชร์อะไรที่เรารู้สึกว่า เราเคยได้ประโยชน์มาจากตรงนี้ แล้วก็อยากให้เขาได้ประโยชน์ตามแบบนั้น อันนี้คือธรรมทาน

 

พูดง่ายๆ เปลี่ยนคนที่หลงผิดให้กลายเป็นคิดชอบ เปลี่ยนคนที่ยังไม่เข้าใจธรรมะ ให้กลายเป็นเข้าใจธรรมะ .. เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของจิตใจ เน้นเข้ามาที่ความรู้สึกภายใน ซึ่งต่างจากความรู้ที่เป็นแบบโลกๆ เป็นวิทยาทานอะไรแบบนั้น

 

คือพอเรานึกออกว่า ปีที่ผ่านมาเราเคยให้ธรรมะ ให้คนได้คลายทุกข์คลายโศก หรือว่าคลายจากความหลงผิด มาเป็นความเห็นชอบได้ แล้วเกิดความปลื้มใจ เกิดความภูมิใจขึ้นมา นั่นแหละตรงนั้น เขียนลงไปพิมพ์ลงไป

.

จากนั้น เรื่องศีล อันนี้คงตรวจดูกันได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว ชัดเจนอยู่แล้วนะ แต่จะมีข้อหนึ่งที่คนยังไม่ค่อยเข้าใจกันก็คือ ข้อมุสาวาท คือเหมารวมหมดเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นการโกหก โกหกแบบปั้นน้ำเป็นตัว หลอกลวงให้เขาเข้าใจไขว้เขว นี่คนบางคนบอกตัวเองถือศีล แต่ตั้งต้นขึ้นมาไปใส่ข้อมูล ใส่อะไรต่อมิอะไรให้คนฟังเกิดความไขว้เขว เพื่อที่จะเบี่ยงเบน ให้เกิดความเข้าใจผิดตามที่ตัวเองต้องการ อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นมุสาชนิดหนึ่งนะ

หรืออย่างพูดจาหยาบคาย คำหยาบๆ คายๆ ร้ายกาจๆ หรือไม่รู้จริงแต่ก็ไปนินทาว่าร้ายคนอื่นเขา ให้เขาเสียหาย

.

หรือว่าพูดจาไม่บันยะบันยัง เพ้อเจ้อไปเรื่อย คือพูดเรื่อยเปื่อย วนไปวนมาเป็นชั่วโมงๆ แบบนั้นคือเพ้อเจ้อนะ คือถ้าจิตใจซัดส่าย ฟุ้งซ่านไร้เป้าหมาย พูดไปเรื่อยๆ ขอให้ได้พูด อันนั้นคือเป็นมุสาวาทชนิดหนึ่ง ทำให้จิตพล่านไป ทำให้จิตเบลอ ทำให้จิตมีความเป็นอกุศล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พูดเพ้อไปเรื่อยๆ ในทางที่เป็นไปในแบบที่เป็นบาป คือพูดอะไรที่ดาร์กๆ พูดอะไรที่เหมือนกับ เอาเรื่องชาวบ้านมา ตั้งข้อสังเกตแล้วใส่ความเห็นตัวเองลงไป ในแบบที่ลงเรื่องเพศบ้าง เรื่องอะไรที่ต่ำๆ คือเห็นหน้าเขาแล้วสันนิษฐานไปต่างๆนานา นี่ก็เรียกว่าเพ้อเจ้อเหมือนกัน

 

พูดง่ายๆ ว่าอะไรก็ตาม พูดอะไรแล้วทำให้จิตของเราเป็นอกุศล ทำให้จิตของคนอื่นเป็นอกุศล มองโลกในแบบที่เป็นไปในแง่ร้ายทั้งๆ ที่ไม่มีข้อเท็จจริง ไม่ได้รู้จริง ไม่ได้มีหลักฐาน พูดไปแล้วไม่เป็นประโยชน์ อย่างนี้เพ้อเจ้อหมดเลย

 

แต่ประเภทที่เหมือนกับพูดเพื่อให้ระวัง พูดข้อเสียของคนอื่นเพื่อให้เกิดความระมัดระวัง จะได้มีสติ ไม่ไปคบค้าสมาคมหรือว่าไม่ไปยุ่งเกี่ยว ไม่ไปหลงคำลวงของเขา อย่างนี้ไม่ถือว่าเพ้อเจ้อ ไม่ถือว่าส่อเสียดนินทานะครับ

 

ทีนี้ถ้าสำรวจไปแล้ว ศีลข้อ วจีทุจริต ถ้าหากว่าปีที่ผ่านมา เรานึกได้ว่า เออนี่เคยชินที่จะพูดอย่างนี้ เป็นอกุศล เป็นสิ่งที่ไปกระตุ้นให้คนอื่น มีจิตมืดจิตบาปตามเราไปด้วย  แล้วหักห้ามใจได้ ถอนอาการแบบนั้นได้ นี่ แบบนั้นใส่เข้าไป เพราะทันทีที่เราละบาปได้ จะเกิดบุญแทนที่ขึ้นทันที

 

จะเห็นได้จากใจนะ เวลาที่ .. อย่างบางคน รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าไม่อยากพูดคำหยาบตามชาวบ้านเขา แต่ก็พูดไปตามท้องเรื่อง เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เสร็จแล้วก็ไม่สบายใจอยู่ลึกๆ ว่า ทำไมเราต้องพูดหยาบคาย พูดคำร้ายๆ อะไรที่ชาวโลกพูดกัน ใจเราไม่ได้สนุก ใจเราไม่ได้สะใจตามเขา แต่ก็พูดไปอย่างนั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราก็เป็นพวกเดียวกับเขา

 

ตรงนี้ ถ้าวันหนึ่งคุณนึกมาได้เองว่า ไม่พูดดีกว่า แล้วก็เกิดความรู้สึกโล่งขึ้น สบายใจขึ้น ตรงนี้ใส่เข้าไป ถือว่าเป็นการละบาป แล้วเกิดบุญขึ้นแทนที่ทันทีนะ

.

หรืออย่างข้อของการเจริญสติ ถ้าสำรวจไปแล้ว นึกดูว่าช่วงปีที่ผ่านมา มีการสวดมนต์ช่วงไหนหรือคืนไหน แบบเฉพาะเจาะจงเลย สวดแล้วรู้สึกราวกับว่าเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระพุทธเจ้า มีความสุขมาก มีความปลื้มมาก ราวกับว่า จิตใจของเรา จิตวิญญาณของเรา กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง ก็ให้นึกไปว่า ปีที่ผ่านมา ทำได้ประมาณกี่ครั้ง สิบครั้ง ยี่สิบครั้ง หรือทำได้ทุกคืนเลย

 

บางคนบอกว่า โอ้โห ปีทองจริงๆ ปี 63 ที่ผ่านมานี่ ใครๆ ว่าเป็นปีมืด แต่เราสวดมนต์พบกับจิตที่สว่างโร่ เป็นปีแรกที่สวดได้ทุกคืนเลย เงินทองอะไรไม่ค่อยได้มา ซึ่งก็เหมือนกับชาวบ้านเขา แต่ทรัพย์ภายใน หรือความสว่าง ความสุขสว่างรุ่งเรือง เป็นปีทองของจิตวิญญาณจริงๆ ก็อาจใส่เข้าไปว่า ทั้งปีที่ผ่านมาสวดมนต์ แล้วเกิดความสุข เกิดปีติ เกิดความรู้สึกว่าเราได้อยู่ใกล้กับพระพุทธเจ้านิดเดียว แค่เอื้อม ราวกับว่า ได้ย้อนกลับไปอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์ ก็ให้ใส่เข้าไปว่า บุญที่ผ่านมา ปีนี้ปี 63 ที่กำลังจะผ่านไป เป็นปีทองเป็นปีที่คุ้ม ปีเดียวนี่คุ้มชีวิตแล้วของเราทั้งชีวิตอะไรแบบนี้ ด้วยการสวดมนต์แล้วเวิร์ค (work) ทุกคืนนะ

 

แต่ถ้าบอกว่าปีที่ผ่านมาสวดได้แค่ครั้งสองครั้ง มีความสุขแค่หนสองหน ก็ใส่ไปตามจริง อย่างน้อยก็ไปกระตุ้นให้นึกออกว่า ปีที่ผ่านมาไม่ได้สูญเปล่า เป็นปีที่สว่างกระปริบกระปรอย หรือมีความสว่างเป็นตัวชนวน ให้เกิดประกายความสว่างขั้นต่อๆ ไป ปีต่อๆ ไปได้

หรืออย่างนั่งสมาธิ ลิสต์ไปเลย ปีนี้เรามาเริ่มทำอานาปานสติ มามีความรู้ มีความเข้าใจว่า การทำอานาปานสติ ไม่ใช่จ้องลมหายใจอย่างเดียว จ้องลมหายใจอย่างเดียวไม่เรียกอานาปานสติ ไม่เรียกการเจริญสติด้วยซ้ำ เรียกการเจริญสตึ

 

ถ้าเราเกิดความรู้ว่า ดูลมหายใจเพื่อที่จะเห็นว่า หายใจครั้งนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ภายในขอบเขตกายใจนี้ แล้วพูดง่ายๆว่า หายใจอย่างรู้ว่ากำลังอยู่ในอิริยาบถไหน หายใจอย่างรู้ว่า กำลังมีความเกร็งเนื้อเกร็งตัว อึดอัดเป็นทุกข์ หรือว่าผ่อนคลายสบายตัวสบายใจ จนกระทั่งสามารถเห็นความไม่เที่ยงของสภาพทางกาย สภาพทางใจได้ นี่ให้ลิสต์ไปเลยนะ พิมพ์ลงไปเลย ใส่เข้าไปเลยว่า นี่ก็คือ บุญ ที่เกิดขึ้น ในช่วงปีที่ผ่านมา

 

หรือเดินจงกรม ที่ผ่านมาปีก่อนๆ ไม่เคยที่จะประสบความสำเร็จ หรือเกิดความเชื่อมั่นได้เลยว่า ตัวเองเดินจงกรมเป็นกับเขา แต่ปีที่ผ่านมาเริ่มจับจุดถูก แทนที่จะเดินมั่วๆ ก็อย่างน้อยรู้เท้ากระทบ ให้เกิดศูนย์กลางของสติ ว่ามีกระทบแป๊ะๆ ไป แล้วเกิดความรู้ขึ้นมาว่าตัวกำลังเดินอยู่ แล้วตัวที่เดินนี่ไม่ใช่ตัวเรา เกิดความรู้ว่า ที่เดินอยู่ไม่ใช่กายเดิน แต่เป็นจิตเดิน แล้วจิตนี่แต่ละรอบ มีความผ่องใส มีความขุ่นมัวไม่เท่ากัน ไม่เสมอกัน

 

ถ้าได้เห็นอะไรแบบนี้ แล้วเกิดความเข้าใจขึ้นมาว่า คำว่าจงกรม คือ การเดินให้รู้เข้ามาถึงกาย รู้เข้ามาถึงใจ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนได้ นี่ใส่เข้าไปเลย ต่อให้เดินได้แค่ครั้งเดียวที่มีอาการรู้แบบนี้ ก็ถือว่าคุ้มชีวิตแล้ว อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ มีชีวิตแค่วันเดียวรู้ว่ากายใจนี้ไม่เที่ยง เป็นแค่ขันธ์ห้า ดีกว่ามีชีวิตตั้งร้อยปี โดยที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องของกายใจ

 

หรืออย่างใครไม่ได้เดินจงกรม ไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้สวดมนต์เลย แต่ว่าอยู่ระหว่างวันแล้ว สามารถเห็นขึ้นมาแวบๆ อย่างเขาว่า ว่าหายใจแล้วเดี๋ยวก็มีหายใจยาว เดี๋ยวก็มีหายใจสั้น หายใจอย่างรู้ว่ากำลังนั่งอยู่ นั่งหายใจ หายใจอย่างรู้ว่ากำลังเดินอยู่ เดินไปนี่ หายใจเป็นอย่างไร แล้วเกิดความเหมือนกับ ทราบขึ้นมาว่า เวลาที่เขาบอก เจริญสติ ก็คือดูเข้ามาในกายใจ ไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหน อิริยาบถใด ไม่จำเป็นต้องหลับตานั่งสมาธิ ไม่จำเป็นต้องเข้าทางจงกรม อยู่ระหว่างวันก็ทำได้ ก็ลิสต์ไป ถ้าเกิดขึ้น แม้แต่ว่าครั้งเดียว หรือสองครั้ง ก็ถือว่าอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส วันเดียว คุ้มชีวิตแล้ว

.

พูดกันง่ายๆ เลยนะ ปีที่แล้ว ถ้าทบทวนได้ เกี่ยวกับเส้นทางของการเจริญทาน เจริญศีล แล้วก็เจริญปัญญา มาได้เป็นข้อๆ อย่างไรนะครับ แล้วเกิดความรู้สึกดีขึ้นมาว่า ปีที่ผ่านมา ไม่สูญเปล่า

 

จะมีกำลังใจขึ้นมาทันทีเช่นกันว่า ปีหน้านี่ เราจะตั้งใจละบาปอะไรต่อบ้าง แล้วก็คือทำความเข้าใจจากตัวอย่างของปีที่ผ่านมาเลยนะ ว่า ละบาปได้เมื่อไหร่ เพิ่มบุญได้เมื่อนั้น

 

บุญมาแทนที่ทันทีที่ละบาปได้ ละบาปนี่ไม่ใช่ไปขอศีลจากพระที่วัดนะ แต่ต้องมีเรื่องยั่วยุ พิสูจน์ใจว่าจะเอาอย่างไร ถ้ามีเรื่องแบบนี้ขึ้นมา มีเรื่องเพศตรงข้ามขึ้นมา แล้วใจบอก ไม่อยากปวดหัวแล้ว ไม่อยากก่อเวรก่อกรรม ไม่อยากจะมีภัยมีเวร ด้วยจิตที่มืดดำแล้ว แล้วสามารถตัดใจได้ ละได้ ตัวเบา จิตเบา อันนี้นี่คือตัวอย่างของปีที่ผ่านมาเลยว่า กายเบา จิตเบาจากการละบาปหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วก็จะเกิดกำลังใจว่า ปีหน้าเราจะละให้ได้หมดจดยิ่งกว่านี้ มากข้อยิ่งกว่านี้นะ

 

หรือถ้าหากว่าเรามองเห็นแล้วว่า อ๋อ การละบาปก็คือตรงกับหัวข้ออภัยทาน ตรงกับหัวข้อรักษาศีลห้า ก็อาจวางแผนเพิ่มเติมว่า อภัยนี่ ที่ยังอภัยไม่ได้ปีหน้า จะอภัยอย่างไรต่อ จะอภัยใครได้อีก ที่เรานึกว่าชาตินี้เราจะไม่สามารถอภัยได้ ลองมีชาเลนจ์ (Challenge) ไหม เกมท้าทายจิตวิญญาณตัวเอง ว่าจะทิ้งขยะสกปรก หรือว่าอารมณ์ที่โสโครก ทิ้งไปแบบไม่เสียดาย เหมือนกับถ่มเสลดทิ้ง ทำได้ไหม

 

ถ้าหากว่าเรามีการวางแผนไว้ว่าจะทำ คุณจะรู้สึกดียิ่งกว่าวางแผนทางธุรกิจ ว่าปีหน้าจะทำอะไรให้บรรลุเป้าหมาย ประสบความสำเร็จบ้าง เพราะว่าเรื่องทางธุรกิจ หรือว่าเรื่องงาน การงานภายนอกนี่นะ บางทีก็ให้ความรู้สึกอย่างนั้นๆ แหละ เวลาที่ประสบความสำเร็จขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าคุณเป็นพวกที่ประสบความสำเร็จเรื่อยๆ อยู่แล้ว ตามขั้น ตามตอนที่ชีวิตพามา แล้วคุณจัดการกับสิ่งที่เป็นเป้าหลักๆ ของชีวิตได้ คุณจะไม่รู้สึกว่าภูมิใจอะไรเพิ่มเท่าไหร่

 

ยิ่งอายุมากขึ้น แล้วคุณประสบความสำเร็จทางธุรกิจมากขึ้นเท่าไหร่ จะยิ่งเฉยมากขึ้นเท่านั้น จะรู้สึกอย่างนั้นๆ แหละ ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรเพิ่ม

 

แต่ถ้าหากว่า มีความสำเร็จในเรื่องการวางแผนในเรื่อง การตั้งเป้าบนเส้นทางธรรมนี่นะ ยิ่งปีผ่านไป คุณจะยิ่งเกิดความแช่มชื่น เกิดความรู้สึกสดใหม่ แปลกใหม่ เป็นอีกชีวิตหนึ่ง ยกระดับสภาวะ หรือภพภูมิทางใจให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ จะรู้สึกได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าใคร เจริญสติภาวนาได้ผลนะ เห็นกายใจชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เออ ข้างในมีสภาพว่าง ที่ไม่อยากเอาเปลือกทางความคิด หรือเปลือกของกิเลสร้อนๆ ไม่ต้องออกแรงสลัด มันเข้ามาไม่ถึงใจอยู่แล้ว

 

ยิ่งเห็นไป ยิ่งเกิดความรู้สึกว่า เส้นทางของเรานี่ ตรงกับสวรรค์ และนิพพานจริงๆ ไม่ต้องให้ใครมายืนยัน ไม่ต้องไปสำรวจตรวจสอบกับใคร สามารถที่จะรู้ใจจากตัวเองได้เลย เดี๋ยวนี้เลยว่า ถึงตรงนี้เราละอะไรไปได้บ้าง แล้วก็วางแผนจะเพิ่มอะไรขึ้นได้อีก อันนี้ก็เป็นไปตามแนวทาง ละบาป เพิ่มบุญ แล้วก็ยังจิตให้ผ่องใสตามรอยพระอรหันต์ท่านนะครับ

 

ก็คิดว่าคงน่าจะเข้าใจตามหัวข้อนะ คือ กินบุญเมื่อปีก่อนที่ผ่านมา กินบุญอย่างไร คือเอาบุญมานึกถึงอีกนั่นเอง กินบุญเก่านี่ เพื่อที่จะอิ่มบุญในช่วงปีใหม่นะครับ!

___________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน กินบุญปีเก่า อิ่มบุญปีใหม่

วันที่ 26 ธันวาคม 2563

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=rLsD7TN3zBQ&t=945s