วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน เจริญสติรักษาแผลใจ

 ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน เจริญสติรักษาแผลใจ


ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คืนวันเสาร์สามทุ่มนะครับ หัวข้อคืนนี้บอกว่า “เจริญสติรักษาแผลใจ”

 

จริงๆ แล้ว ตัวผู้ถาม หลายคน หลายท่านเลย ที่เพิ่งได้ติดตาม ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ก็บอกว่า บางทีฟังแล้วก็เป็นเรื่องของคนที่ทำกันมานาน อยากฟังอะไรที่สามารถเอาไปประยุกต์ใช้กับตัวเอง ซึ่งยังเป็นมือใหม่ หลายท่านถามมาอย่างนี้จริงๆ ว่า ต้องการ คอนเซ็ปต์ (concept) หรือว่าอะไรที่เอาไป “เจริญสติ” ในแบบที่เข้ากับภาวะมือใหม่ของตัวเองได้

 

ทีนี้จริงๆ บอกว่ามือใหม่นี่ ถ้าเรามาชี้นำกัน ก็เหมือนกับคนที่แอดวานซ์ (advance) แล้ว หรือว่าคนที่ยังอยู่ขั้นกลางๆ นั่นแหละ คอนเซ็ปต์เหมือนกัน คือเข้ามาดูกายใจนี้โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน จุดเริ่มต้นก็ดูลมหายใจบ้าง ดูอิริยาบถบ้าง ไม่ต่างกัน

แต่ความต่างจริงๆ อยู่ตรงที่ ความวุ่น กับ ความว่าง ของจิตนะ

 

อย่างถ้า คือคุณทำความเข้าใจไว้ในเบื้องต้นว่า ถ้าจิตใจว้าวุ่นอยู่ แล้วพยายามที่จะดูเข้ามาในกายใจ จะเห็นไม่ชัด หรือเห็น แต่เห็นไม่ถนัด หรือไม่ก็ไม่เห็นเลย ไม่เห็นอะไร นอกจากความม่านหมอกความฟุ้งซ่านของตัวเอง หรือความอยากได้อยากดี อยากมีอยากเป็นของตัวเองนะ

 

แต่ถ้าหากว่า ภาวนาไป มีสมาธิบ้างแล้ว แล้วก็เริ่มเห็นกายใจขึ้นมาบ้างแล้ว ประกอบกับความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ตามวัน เดือน ปี ที่เจริญสติไป แล้วข้างในตรงแก่นกลางเลย มีความรู้สึกว่าง มากกว่าวุ่น

 

ตรงนี้นี่ เวลาที่เราจะดูเข้ามาในกายใจ จะเห็นลมหายใจก็ตาม จะเห็นอิริยาบถก็ตาม หรือกระทั่งเห็นความเกิดดับของความคิด ความรู้สึกก็ตาม จะเห็นได้ค่อนข้างชัด หรือชัดเจนยิ่งนะ นี่คือความต่าง

 

จับจุดง่ายๆ เลยว่า ตอนนี้เราอยู่ในขั้นเริ่มต้น หรือว่าขั้นกลาง หรือว่าขั้นแอดวานซ์ ดูเข้ามาที่ใจนี่แหละว่า มันวุ่น หรือมันว่าง แล้วแนวทางที่เราเอาความวุ่น หรือความว่างของใจไปดูความเป็นกายใจ อันนี้แหละที่จะเป็นเครื่องวัด เครื่องชี้ ว่าเราเจริญสติ แบบที่พระพุทธเจ้าสอนอยู่หรือเปล่า

 

บางคนข้างในเริ่มว่างแล้ว เป็นสมาธิแล้ว ไม่ติดโลกแล้ว ไม่ติดอยู่กับโลกแบบหยาบๆ แต่วิธีที่ดูเข้ามา ไม่ได้ดูกายใจ ดูความว่างของตัวเองอย่างเดียว แล้วก็ยึดความว่างนั้น ก็เลยกลายเป็นว่า ว่างเสียของ ว่างแล้วเสียโอกาสไปชาติหนึ่ง ที่จะได้เห็นอะไรดีกว่าความว่างนะ ซึ่งนั่นก็คือความไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของกายใจนี้

 

ถ้าหากว่าเรามีฐานของจิตเป็นความว่าง แล้วสามารถเห็นกายใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนได้ด้วยนี่ เรียกว่าคุ้มชาติเกิดแน่นอน เพราะว่าในที่สุดแล้ว คุณจะพ้นจากอุปาทาน ความยึดติดแบบที่คนทั้งโลกเขาเป็นกันนะ

 

ทีนี้ เรามาพูดกันในฐานของจิตที่ยังวุ่นๆ อยู่นี่แหละนะ ฐานของจิตที่ยังมีความรัก ความใคร่ มีความอยากได้อยากดี อยากมีอยากเป็น อย่างคนโน้นคนนี้เขา เราจะเอาจิตวุ่นๆ แบบนั้นนี่ มาเจริญสติอย่างไร

 

ก็ยกเคสที่เป็นประเด็นทั่วไปสำหรับคนทางโลกนะ คนทางโลกทั้งหลาย ผมก็คนทางโลกนะ ยังอยู่ในโลก ยังเป็นฆราวาส ไม่ต่างจากคุณๆ นะครับ

 

เราเข้าใจกันแหละว่า ถ้ามีจิตที่ยังคลุกอยู่กับโลก เต็มที่เต็มเหนี่ยว โอกาสที่จะเจอเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือเจอความผิดหวังจากความรัก อันนี้เป็นไปได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกยุคไอที รักกันง่ายมาก เลิกกันง่ายมาก เพราะว่าเบื่อไว มีความรู้สึกเหมือนกับการรับข่าวสารน่ะ

จิตใจของคนยุคไอทีนะ อยากได้อะไรที่แรงๆ เร็วๆ แล้วก็ผ่านๆ ไป ไม่อยากที่จะไปสนใจรายละเอียดอะไรมากๆ ฉะนั้น ตอนนี้คนทางโลกเวลาจะทำร้ายกัน จะง่ายมากเลย ใครชิงพื้นที่สื่อได้ก่อน ทำร้าย ทำลาย ใส่ความฝ่ายตรงข้ามได้ก่อน คนนั้นได้เปรียบ เพราะอะไร เพราะว่าคนมีแนวโน้มที่จะเลือกเชื่อข่าวแรก

 

นี่คือจุดอ่อนของสังคมยุคนี้นะ ถ้ารู้ข่าวจากฝ่ายไหนก่อน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ผิดหรือถูก ฝ่ายนั้นจะได้รับความเชื่อถือมากกว่า เสร็จแล้วอันนี้หมายความว่าอะไร ในทางธรรมนี่ก็หมายความว่า ถ้าหากเราประสงค์ร้าย เรามีโอกาสที่จะก่อกรรมหนัก หนักหน่วงในยุคของไอที ได้มากกว่ายุคไหนๆ คนเชื่อกันเป็นล้านๆ เสร็จแล้วมาอีกสองปีสามปีต่อมา เอ้า ข่าวที่เมื่อสองปีสามปีก่อน กุเรื่องทั้งเพ ไม่มีมูลความจริงเลย  ตรงนี้นี่คนก็ลืมไปหมดแล้ว กรรมสำเร็จแล้ว

 

พูดง่ายๆ ก็คือ พออยู่ในยุคของอะไรที่ด่วนๆ เร็วๆ ผ่านๆ ก็ทำให้ใจเบื่อง่าย คืออาจรักง่าย แล้วก็หน่ายเร็ว อยากลองของใหม่ อยากมีชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน มีอะไรใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ รวมทั้งคนรัก รวมทั้งแฟน หรือคู่นอน หรือจะเรียกอะไรก็ตามนะในยุคนี้ จะกิ๊ก จะอะไรก็แล้วแต่

โดยรวมแล้วยุคเรา คนสุ่มเสี่ยงที่จะมีแผลทางใจกันอย่างสูงมาก คือถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง รักมากกว่า หรือว่ามีความจริงใจมากกว่า แทนที่จะดี กลายเป็นมีความเสี่ยงสูง ที่จะเกิดแผลใจ เพราะอะไร เพราะยิ่งรักมาก แล้วถูกทรยศ ก็ยิ่งเจ็บมาก ยิ่งปวดแสบปวดร้อนมาก

 

ทีนี้ ถ้าเราอยู่ในยุคที่เป็นไปได้ง่ายที่จะมีแผลทางใจ แล้วเราจะเอาตรงนี้เป็นขั้นบันไดมาสู่การเจริญสติได้อย่างไร เข้ามาสู่โลกของคน ที่อยู่บนเส้นทางพ้นทุกข์กันได้อย่างไร

 

หลายคนเลยนะ ที่อยู่ในยุคเรานี่ พออกหักแล้ว แทนที่จะไปกินเหล้าเมายา หรือไปประชดโลกด้วยวิธีแบบคนทั่วไปธรรมดาเขา ก็กลายเป็นว่า หันหน้าเข้าหาธรรมะ พบธรรมะ แล้วก็พบว่า ดีนะที่เคยอกหัก ดีนะที่เคยมีแผลใจ เพราะว่าถ้าไม่มีแผลใจ ไม่เคยอกหัก ก็คงจะไม่คิดจะหลีกหนีออกมา ปลีกตัวออกมาจากความวุ่นวายในโลก แล้วก็อยากจะได้มาเสพสัมผัสความว่าง ความเบาแบบธรรมะบ้าง

 

แล้วทีนี้ถ้าถามว่า เรามีแผลใจอยู่นี่ อกหักอยู่นี่ จะมาเจริญสติให้เห็นผลได้ไวๆ ได้อย่างไร สำหรับมือใหม่ ยังไม่เป็นเลย ใจยังว้าวุ่นอยู่เต็มที่เลย มีความฟุ้งซ่าน มีความอยากจะได้คนของตัวเองกลับคืนมา

 

อันนี้แหละที่เราจะมาพูดถึงกัน

 

ขอเปรียบเทียบกับแผลทางกาย ถ้าเป็นแผลเล็กๆ ทางกาย ที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ ก็จะสมานแผลได้เองโดยแทบไม่ต้องทำอะไร สองสามวันก็หายไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แผลเล็กๆ อย่างนี้นะ อันนี้คือธรรมชาติทางกาย ที่สามารถจัดการกับความผิดปกติของร่างกายตัวเองได้นะ

 

แต่ถ้าหากว่า เราไม่ปล่อยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง เราไปแหวกแผลมันเล่น หรือเอามีดมากรีดซ้ำ ให้กว้างขึ้น ลึกขึ้น อย่างนี้อย่างไรก็ไม่หาย มีแต่จะลุกลาม หรือไม่ก็เรื้อรังไปจนกระทั่งวันตาย

 

ฉันใดก็ฉันนั้น ตอนอกหักแล้วเกิดแผลทางใจ แผลทางใจนี่ไม่มีร่องรอยให้จับต้อง ไม่มีหลุมของบาดแผลให้หยอดยา แล้วก็ใครมองเข้ามานี่ ไม่เห็น แต่ใจเราจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนอยู่ นั่นแหละเขาถึงเรียกว่าแผลใจ เปรียบเทียบได้กับแผลกายที่ปวดแสบปวดร้อน

 

ทีนี้จริงๆ แล้ว ขอให้พิจารณานะ ถ้าสมมติว่าวันที่คุณอกหัก แล้วรู้สึกว่าเกิดแผลใจเหวอะหวะ เป็นแผลใหญ่ แผลฉกรรจ์ เผอิญวันนั้น คุณเกิดถึงอายุที่จะต้องเป็นอัลไซเมอร์ขึ้นมา ลืมหมด ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แผลทางใจที่เพิ่งเกิดขึ้นวันเดียวกันนี่ ก็หายตามไปด้วย ถูกไหม

 

ความทรงจำ ความจดจำ จึงมีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของแผลใจ

 

ถ้าหากไม่มีการตรึกนึกถึง ถ้าเกิดไม่มีความจำได้ ถ้าไม่มีความหมายรู้ ว่าฉันเพิ่งอกหักมา ฉันเพิ่งสูญเสียใครไป ในที่สุด ใจจะรู้สึกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่ ความทรงจำนะ มีบทบาท

 

ทีนี้ ความทรงจำที่ยังสดใหม่ หรือว่ายังมีความสามารถที่จะทำให้เราเจ็บปวดได้มากๆ ในความเป็นจริงก็คือว่า ถ้าเราไม่เป็นอัลไซเมอร์นะ หากความทรงจำนั้นเล่นงานเรา ให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดได้หนักหนาสาหัสขึ้นเท่าไหร่ ความทรงจำนั้นจะยิ่งมีอำนาจ  มีอิทธิพล แล้วก็ย้อนกลับมาหาใจเรา ได้มากกว่าความทรงจำชนิดอื่นๆ

 

ในเรื่องของการทำงานของขันธ์ห้า หรือว่ากายใจนี่ เวทนาจะมาก่อนเพื่อน ตัวความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์นี่ ยิ่งสุขมากยิ่งทุกข์มาก ยิ่งจำได้แม่น

 

แล้วแนวโน้มที่มนุษย์จะจำ จะจดจำความทุกข์มากกว่าจดจำความสุข หมายความว่า ถ้าความสุขกับความทุกข์มีปริมาณเท่ากันนะ ความทุกข์จะมาก่อน ถ้าเท่ากันเป๊ะเลยนี่ ระดับความทุกข์กับความสุข อยู่ระดับเหมือนกัน บอกระดับกลางๆ หรือระดับสูงๆ นะ ซึ่งเราจะมีมีเตอร์ (มาตรวัด : meter) เป็นใจของเราเอง รู้ว่าคำว่า มากหรือน้อย นี่ประมาณไหน แล้วถ้าหากว่ามันมากประมาณเดียวกัน ความทุกข์จะมาก่อน

 

ความทุกข์นี่ จะทำให้เกิดการจดจำ ประทับเข้าไป หรือถูกบากให้เป็นแผล ถูกทิ่มถูกแทง ให้เกิดความปวดแสบปวดร้อนมากกว่าความสุข เป็นตราประทับที่เหมือนกับประทับด้วยการเอาไฟจี้ เอาเหล็กจี้นะ เหล็กร้อนจี้

 

ตรงนี้ ถ้าเรามีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราก็จะมีการสังเกต มีจุดสังเกตว่า แผลทางใจ ถ้าจะหายเร็ว ก็คือต้องลืมเร็ว แล้วที่จะลืมเร็ว ความรู้สึกที่เป็นขั้วตรงข้าม ต้องแซงหน้า

 

อย่างเช่น ถ้าเราบอกว่าเรามีแผลใจ แล้วรู้สึกปวดแสบปวดร้อนอยู่ตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืน หมายความว่า ความทุกข์ที่เล่นงานจิตใจของเรานี่ เป็นแผลฉกรรจ์ แล้วทำให้เกิดการย้อนนึกถึง การจดจำ บุคคลที่เสียไป บุคคลที่ทำให้เราอกหักทั้งวัน ตลอดวันตลอดคืนเช่นกัน

 

ทีนี้ ระดับความทุกข์ตรงนั้นที่เรามีอยู่ระดับนี้ หากว่ามีความสุขเท่ากัน หรือน้อยกว่า ความทุกข์จะยังไม่ไปไหน แต่ถ้าหากความสุขของเราเพิ่มเกินขึ้นมามากๆ ยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกเป็นทุกข์ หรือความจดจำตรงนี้จะยิ่งพ่ายแพ้ หรือถูกกดทับไว้ หรือถูกเอาชนะขาดลอย แบบชนิดที่ไม่กลับกำเริบขึ้นมาได้อีก

 

อันนี้เข้าใจคอนเซ็ปต์พื้นฐานนะที่เราจะคุยกัน ในทางปฏิบัติ แบบคนโลกๆ นะ เราจะเปรียบเทียบว่า ต้นตอของแผลใจคือใครบางคนที่ทิ้งเราไป ส่วนมีดที่มากรีดแผลให้กว้างขึ้นอีก หรือว่าเพิ่มขึ้นอีก ก็คือใจของเรา อาการตรึกนึกของเราเอง

 

ยิ่งตรึกนึกมากขึ้นเท่าไหร่ แผลแทนที่จะหายไปเอง จะกลับยิ่งถ่างกว้างขึ้น กลับจะยิ่งเพิ่มความทุกข์ แล้วพอความทุกข์ทวีระดับมากขึ้นเรื่อยๆ ความจดจำหรือความรู้สึกประทับ ถูกทำร้าย หรือถูกทำให้เจ็บปวดนี่ ทรมานนี่ ก็จะยิ่งเพิ่มระดับขึ้นไปด้วย

 

ความทรงจำก็เลยจะไม่ไปไหน นี่คือกลไกการทำงานของจิตแบบโลกๆ

 

พอเราเข้าใจกลไกการทำงานแบบนี้ แล้วหันมาว่าทางแก้ทำอย่างไร คือไม่ใช่สั่งให้ตัวเองหยุดนึก หรือเลิกคิดถึงคนๆ นั้นเสียที เพราะว่าการสั่งดื้อๆ สั่งแบบลูกทุ่งอย่างนี้ ที่ทำกันมาทุกยุคทุกสมัย จะให้ผลเป็นอะไร

 

ให้ผลเป็นความรู้สึกย้อนแย้งกับตัวเองว่า ยิ่งสั่งมากขึ้นเท่าไหร่ ใจกลับยิ่งดื้อ นึกว่าใจเป็นของเราใช่ไหม นึกว่าเราเป็นเจ้าของจิต จิตเป็นของเรา จิตเป็นตัวเรา แล้วเราจะสั่งตัวเองได้ ที่แท้ไม่ใช่

 

จิตทำตัวขัดคำสั่ง ขัดขืน ยิ่งเราไปกดดัน ยิ่งเราไปเบรคตัวเองตัวโก่ง บอกว่าอย่าคิด เลิกคิดเสียที ไม่เอาแล้ว หยุดคิด ยิ่งคิดเข้าไปใหญ่ เหมือนบอกกรุณาอย่าคิดถึงสีม่วง สีม่วงปรากฏขึ้นในใจเราทันที แล้วเอาออกไปไม่ได้ด้วย ในเวลาที่เราจะห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงสีม่วงนะ

 

อันนี้เราไปบอกว่า จงเบรคนะ อย่าคิดถึงคนที่ทำให้เราอกหัก คนที่ทำให้เราเจ็บปวดอีก ยิ่งไปสั่ง ยิ่งกลายเป็นทวีกำลัง ไปเพิ่มอาหารหล่อเลี้ยงความทุกข์ ทันทีที่คุณบอกว่า คุณจะไม่นึกถึงคนที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ ความทุกข์ยิ่งจี๊ดขึ้นมา ทวีขึ้นมา ตรงนี้แหละที่จะนำ จะลากจูงเอาความจดจำเกี่ยวกับคนๆ นั้นเข้ามาเป็นพรวน

 

ทีนี้ ถ้าเราเอาทางแก้ที่ถูกต้อง แบบนักเจริญสติ โดยใจยังไม่ต้องว่าง ยังไม่ต้องแอดวานซ์ เราแค่มีนโยบายทางจิตที่ถูกต้อง ที่จะทำให้เกิดสติ

 

แทนที่คุณจะบอกว่า หยุดคิดถึงคนๆ นี้เสียที เปลี่ยนเป็นว่า เราจะเปลี่ยนวิธีคิดถึงคนๆ นั้น เสียใหม่ได้อย่างไร

 

ต่างกันนะ หยุดคิด คือห้ามไม่ให้คิดถึงเลย แต่เปลี่ยนวิธีคิดถึงคนๆ นั้น อันนี้ต่างไปแล้ว คนละองศา คนละมุมมองกัน ซึ่งจะให้ผลลัพท์ที่แตกต่างเป็นคนละเรื่อง คนละโลกเลย

 

อย่างถ้าความเคยชินของจิตของคุณ คือผุดความคิดขึ้นมาเป็นระลอก จะแอบคิดแบบค้านตัวเอง หรือคิดแบบเต็มอกเต็มใจก็ตาม แต่ถ้าคิดว่า ทำอย่างไรฉันถึงจะได้คนๆ นั้นกลับคืนมา ตัวนี้นี่ ขอให้บอกตัวเองว่าเป็นอาการที่คุณ ใจกำลังกรีดแผลตัวเอง กรีดแผลทางใจของตัวเองเพิ่ม

 

ทุกครั้ง ที่คุณตั้งคำถาม ทุกครั้ง ที่คุณมีความอยากได้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ขึ้นมา

คือทุกครั้งที่คุณกรีดแผล

 

แล้วพอคุณเตือนตัวเองแบบนี้ ก็จะเกิดสติขึ้นมาว่า นอกจากทุกข์นี่ ไม่มีอะไรที่คุณได้คืนมา แล้วก็นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรที่ใจสร้างขึ้นจริง

 

นี่คือสิ่งที่คุณจะเกิดสติ บอกตัวเองได้ นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรที่คุณได้คืนมา นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรที่ใจสร้างขึ้นจริง

 

พอได้ข้อสรุปประมาณนี้นี่ อันนี้ด้วยความคิดนะ เห็นไหม คือความคิดพาไปสู่สติได้ สติที่มองเข้ามา ถึงความจริงที่ปรากฏภายใน ที่เป็นกลไกการทำงานของจิตจริงๆ นี่ เป็นอย่างนี้

 

จากนั้น คุณก็สามารถตกลงกับตัวเองได้ว่า เอาล่ะ ความเคยชินแบบนี้ ที่จะคิดแบบนี้นี่ เป็นความเคยชิน ชนิดกรีดแผลใจตัวเองให้ถ่างกว้างขึ้น คุณก็จะสามารถตกลงกับตัวเองได้ว่า จะสร้างความเคยชินกับใหม่ จะสะสม ค่อยๆ สะสมแบบหยอดกระปุกกันใหม่

 

ชินแบบใหม่ทำอย่างไร ชินที่จะคิดว่า ตั้งคำถาม ตั้งโจทย์กับตัวเองว่า ทำอย่างไร ใจถึงจะอยู่กับความจริงในตอนนี้ได้

 

คือคน เวลาที่นึกถึงความจริงในตอนนี้ ก็คือเราสูญเสียเขาไปแล้ว แล้วคนไม่ยอมไง ใจมนุษย์นี่ พอ(นึกถึง)ความจริงที่ฉันสูญเสียอะไรไปอย่างนั้นเหรอ ความจริงที่ฉันถูกทิ้งไปอย่างนั้นเหรอ จะให้ยอมรับได้อย่างไร ไม่ได้

 

แต่ถ้าหากว่าคุณเปลี่ยนมุมมองใหม่ มันไม่ใช่ความจริงเกี่ยวกับคนอื่น แต่เป็นความจริงเกี่ยวกับตัวของคุณเอง ที่กำลังตั้งอยู่ในขณะนี้ว่า ความจริงในขณะนี้มีอะไรให้ดูบ้าง

 

นี่.. ข้อนี้นะ ถ้าคุณตั้งโจทย์แค่นี้ จะเริ่มเป็นยาสมานแผลแล้ว เพราะอะไร คือ มโนภาพของคุณจะต่างไป จากเดิมที่นึกถึงอดีต แล้วก็อยากจะไขว่คว้าอดีตกลับคืนมา จะกลายเป็นปัจจุบันที่มีอยู๋จริง ไม่ต้องพยายามไขว่คว้า ไม่ต้องพยายามยื้อ มันอยู่ตรงนี้แล้ว แล้วก็ถ้าหากว่า คุณอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงนี้ของตัวเองได้ จะเกิดอะไรขึ้น

 

คำว่าปัจจุบัน นี่ อย่างบอก ฉันรู้ว่า คีย์เวิร์ดของการเจริญสติ คือการอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันแบบไหน เชื่อไหม 90% นึกไม่ออก มีแต่มโนภาพปัจจุบัน เป็นของรอบตัว ที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ดูอย่างนั้นนะ ไม่ได้สอนให้อยู่กับปัจจุบันแบบนั้น ท่านสอนให้อยู่กับปัจจุบัน นับเริ่มก้าวแรกตั้งแต่รู้ตัวว่า กำลังหายใจเข้า หรือหายใจออก เพราะว่าปัจจุบันแบบนี้นี่ ง่ายที่สุดที่จะรู้ ง่ายที่สุดที่จะตัดสินว่า เรากำลังอยู่กับปัจจุบันจริง หรือไม่จริง มีแค่ลมหายใจเข้าออก ถ้าหากว่าเรารู้ตรงตามจริง นี่ ตัวนี้แหละที่เราอยู่กับปัจจุบันแล้วนะ

 

แล้วอาการทางกาย ที่กำลังอยู่ในอิริยาบถแบบนี้ อิริยาบถนั่ง เอ้า ผมกำลังนั่งอยู่ นั่งอยู่อย่างนี้ หายใจยาว หรือหายใจสั้น นั่งอยู่อย่างนี้ หลังตรง หรือว่าหลังงอ นี่แหละ ที่เริ่มเข้าสู่ความเป็นปัจจุบันของจริง ซึ่งจับต้องได้ มีมาตรวัดว่า รู้จริงหรือรู้ไม่จริง จินตนาการเอาเอง มโนเอาเองว่าปัจจุบันหน้าตาเป็นอย่างไร หรือว่าเรากำลังมีสติ ตัดสินได้ชัดอยู่ ณ ขณะนี้นะ

 

แล้วคุณก็จะสามารถบอกได้ถูกด้วยว่า ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างไร ถ้าหายใจยาวขึ้น เป็นสุขมากขึ้น หายใจสั้นลง เป็นสุขน้อยลง นั่งตัวตรง มีสติดีขึ้น นั่งหลังงอ สติด้อยลง นี่ อย่างนี้นะ ความรู้ที่ได้จากการสังเกต ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในปัจจุบันอย่างนี้ คือขั้นเบสิคที่จะช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองได้กระจ่างจากจุดเริ่มต้นเลย ว่าทำไมถึงมีความทุกข์ ทำไมถึงมีความสุข

 

อย่างตอนที่ภาพความทรงจำเก่าๆ จะหวนกลับคืนมาเล่นงาน สังเกตดูเถอะ จะมาตอนที่คุณอยู่ในอาการผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นหายใจสั้นเกินไป หรือมีอาการหลังงอ หลังงุ้ม เจ่าจุก

 

พูดง่ายๆ ว่า มีสติด้อยลงด้วยอาการทางกายแบบไหน อาการทางใจในแบบรื้อฟื้น รื้อฝอยหาตะเข็บ เอาความทรงจำเก่าๆ กลับคืนมา จะได้ที่ลงทันทีนะ

 

อย่างนี้ถึงจุดหนึ่ง คุณจะเกิดความเคยชินที่จะคิดถึง คิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างสภาพทางกาย กับสภาพทางใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วงงกับตัวเองว่า ทำไมเราต้องไปเป็นทุกข์กับสิ่งที่ล่วงมาแล้ว

 

จะงงอย่างนี้จริงๆนะ เพราะว่าตอนนี้คุณเห็นว่า ถ้าปัจจุบันนี้คุณหายใจยาวๆ สบายๆ อยู่ หายใจด้วยท้อง แล้วมีความสุข มีความสดชื่นอยู่ มโนภาพของคุณจะไม่มีอะไรอื่นเลยนะ ไม่มีอะไรน่าพอใจ เท่ามโนภาพของลมหายใจที่ยาว แล้วก็บันดาลความสุขขึ้นมา

 

อย่างที่ผมพูดแต่แรกเลยนะ ตัวความสุข ตัวความทุกข์นี่ เป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญกับความจดจำ หรือความจำได้หมายรู้

 

ถ้าหากคุณมีความสุขกับลมหายใจ อันเป็นปัจจุบันที่ยืดยาว ที่นิ่มนวล จะไม่มีแก่ใจที่จะไปคว้าต้นเหตุแห่งทุกข์มาใส่ใจ

 

นี่ ความจริงตรงนี้นะ พอคุณเกิดความรู้ความเข้าใจตัวเองว่า จิตนี่ ไม่ใช่อะไรที่คุณบังคับได้ ว่าจะให้คิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่คุณใส่เหตุปัจจัยเข้าไปได้ ว่าจะกำหนดให้จิตไปใส่ใจกับอะไร อดีต หรือปัจจุบัน

 

ตัวนี้ จะเริ่มทำให้คุณเจริญสติเป็น ทำให้คุณเห็นค่าของการอยู่กับปัจจุบันขณะ แล้วนี่คือ เป็นทางลัดในการสมานแผล ที่ถ้าทำจริง ก็อาจเห็นผลจริงได้ในวันเดียว

 

อิทธิฤทธิ์ของการเจริญสติ

เปลี่ยนคนที่คิดอยากฆ่าตัวตาย ให้กลายเป็นคนคิดอยากฆ่าตัวตน

เปลี่ยนจากคนอกหัก ให้กลายเป็นคนรู้ทางมรรค รู้ทางผล รู้ทางนิพพาน

 

การเจริญสติ ทำให้คุณงงตัวเอง งงชาวโลกว่า แต่ก่อน ทำไมเราต้องไปเป็นทุกข์ เป็นร้อน ปวดแสบปวดร้อนกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหตุที่น่าขัดเคืองนิดๆ หน่อยๆ ทั้งๆที่จริงๆแล้ว มีต้นทุนทางความสุข อยู่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ วินาทีนี้

 

แค่หายใจยาวได้ จะมีความสุขขึ้นมาแล้ว แล้วถ้าคุณสามารถรู้ว่า ลมหายใจ ยาวไม่ได้ตลอด เดี๋ยวก็กลับสั้นลงไป คุณก็เห็นความไม่เที่ยง ก็ไม่ยึด แม้กระทั่งความสุขอันเกิดจากการหายใจได้ยาว ไม่ยึดแม้กระทั่งสภาพจิตที่เดี๋ยวก็สงบ เดี๋ยวก็กลับฟุ้งซ่านขึ้นมา คือพอสงบก็ไม่ดีใจ พอฟุ้งซ่านก็ไม่เสียใจ ไม่ได้ตั้งไว้เป็นสเปค (spec) ว่า ถ้าจิตดีๆ ถึงจะมีคะแนนบวก หรือจิตเสียๆ จะได้คะแนนลบ

 

แต่คุณจะตั้งสเปคไว้อย่างเดียวว่า คุณมีสติรู้ตามจริงหรือเปล่าว่า สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตที่ดีๆ เป็นสมาธิ หรือว่าสภาพจิตที่ฟุ้งซ่าน อกหักเสียใจนี่ เป็นจิตที่ล่วงไปแล้วเหมือนกัน เห็นความไม่เที่ยงของอาการทางใจ แล้วก็ไม่รู้จะต้องไปทุกข์กับสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ผ่านไปแล้วทำไม

 

พอเห็นได้ว่า ปัจจุบันนี้ แสดงความไม่เที่ยงอยู่เรื่อยๆ นะ นับตั้งแต่ลมหายใจ ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ สภาพของจิตสงบฟุ้งซ่านอะไรต่างๆ จะพาให้ไปเปรียบเทียบด้วยว่า ความทรงจำเก่าๆ ก็เช่นกัน ที่เราทุรนทุรายเหลือเกิน ที่เราเกิดความรู้สึก จะอยู่รอดไม่ได้ถ้าหากไม่มีเขา ไม่มีเธอ เป็นการยึดภาพความทรงจำเก่าๆ ภาพจำเก่าๆ ที่สูญเปล่าอย่างสิ้นเชิงนะ

 

ภาพจำที่เราทุรนทุราย อยากให้กลับมาเป็นภาพจริงอีกครั้ง เป็นเพียงอาการทางใจ ที่แล่นไปอย่างสูญเปล่า เป็นอาการทางใจ ที่กระเสือกกระสน ทุรนทุรายแบบไม่มีจุดหมายปลายทาง ไร้แก่นสาร

เห็นอย่างนี้ได้นี่ ก็จะไม่เป็นทุกข์แบบชาวโลกเขา

 

นี่ เจริญสติวันแรก คุณมีสิทธิ์แล้วนะ ที่จะเห็นได้แบบนี้ วันแรกจริงๆนะ ไม่ได้พูดผิดนะ

_______________

 

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน เจริญสติรักษาแผลใจ

วันที่ 19 ธันวาคม 2563

 

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=Jq3X4u-15z4

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น