วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2563

จิตฟุ้ง ต้องใช้สมาธิควบคุมใช่ไหมคะ?

 ดังตฤณ :  เริ่มต้นขึ้นมาเลยตอนเราฟุ้งซ่านอยู่ คือจิตที่ฟุ้งกับจิตที่เป็นสมาธิมันเป็นคนละดวงกัน คุณไม่สามารถเอาจิตที่เป็นสมาธิมาควบคุมจิตที่ฟุ้งได้ แต่คุณสามารถจะทำให้จิตที่ฟุ้งมันพัฒนาคลี่คลายกลายเป็นจิตที่เป็นสมาธิได้ เข้าใจพอยท์(point)นะครับ

คือพูดง่ายๆว่า ตอนที่คุณฟุ้งซ่านคุณทำจิตให้เป็นสมาธิไม่ได้ คุณสั่งให้จิตจงเป็นสมาธิเดี๋ยวนั้นไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีใครทำได้ แต่ถ้าหากว่า ตอนที่คุณฟุ้งซ่าน แล้วรู้ว่าจิตแบบนี้คือจิตฟุ้งซ่าน ถามตัวเองว่า ความฟุ้งซ่านมาจากสาเหตุแบบไหนบ้าง แล้วคุณค่อยๆลดสาเหตุเหล่านั้นลง ยกตัวอย่าง คนยุคนี้รูดมือถือกันเป็นกิจวัตร รูดมือถือเป็นอาชีพ การทำมาหากินอะไรทั้งหลายเป็นงานรอง เป็นจ๊อบ(job)รอง นี่ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งหลักๆของความฟุ้งซ่าน

คุณลองดูสิขาดมือถือแล้วใจนิ่งได้มั้ย ใจสงบได้มั้ย หรือขาดมือถือปุ๊บ เหมือนจะลงแดงชักดิ้นชักงอ นี่แหละตัวฟ้องเลยว่า มือถือของเราหรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนมือถือของเรา มันเป็นเหตุของความฟุ้งซ่าน

ถ้าหากเราสามารถลดละต้นเหตุ คือกิจกรรมเหล่านั้นลง แล้วเรารู้สึกถึงความฟุ้งที่มันเบาบางลงได้ นี่ก็แสดงว่ามันถูกเหตุถูกผล ไม่ใช่ว่าเราจะเอาอะไรมาบังคับ

ทีนี้บอกว่า มือถือเป็นต้นเหตุความฟุ้งซ่าน จริงๆยังไม่ใช่นะ แต่กิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่างเช่นเราเมาท์ (mouth)ไม่หยุด เมื่อก่อนคนชอบเมาท์กันทางโทรศัพท์ สามชั่วโมงสี่ชั่วโมงไม่ยอมวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กวัยรุ่น แต่ปัจจุบันไม่ว่าเด็กวัยรุ่น หรือผู้ใหญ่เหมือนกันหมด คือจับกลุ่มแชท(chat) คือพอคุยกับคนได้หลายๆคนต่อวัน มันรู้สึกดีกว่าคุยโทรศัพท์กับคนๆเดียว แล้วการคุยกับคนหลายๆคน คนจำนวนเยอะๆในแต่ละวัน มันคือตัวมอเตอร์ชั้นดีเลยนะ มอเตอร์ที่จะปั่นความฟุ้งซ่านชั้นดีเลย

แล้วก็คุณสังเกตนะว่า บางทีเราเห็นมันเป็นภาระหน้าที่ เห็นมันเป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ว่าจะเข้าห้องครอบครัว เข้าห้องงานอดิเรกที่เราสนใจ หรือว่าเข้าห้องไร้สาระ คือเข้าไปไม่ได้อะไรเลยนอกจากการติฉินนินทาว่าร้ายชาวบ้าน กิจกรรมเหล่านั้นเนี่ย พูดง่ายๆว่าเป็นกิจกรรมแห่งการมีวจีทุจริต เพ้อเจ้อไปเรื่อย หรือว่านินทาว่าร้ายไปเรื่อย แล้วก็ทำให้มันฟุ้งซ่านไปเรื่อย

พอสะสมมากแล้วเนี่ย คนมันจะอย่างนี้นะ คือพอทำต้นเหตุเนี่ยไม่รู้ตัวหรอก แต่พอผลอันเป็นปลายเหตุมันเกิดขึ้น คือความฟุ้งซ่านฟุ้งแบบหยุดไม่ได้ ฟุ้งจนรำคาญตัวเอง ตรงนี้ค่อยมาถามหาวิธีทำสมาธิ ค่อยมาคิดว่าจะทำยังไง ถึงกำจัดความฟุ้งซ่านตรงนี้ไปได้

อันนี้ไม่ได้พูดถึงเจ้าของปัญหาแล้วนะ แต่พูดถึงคนทั่วไปนะครับ อันนี้พูดแบบกลางๆ คืออย่างพอไปชี้จุดชี้เป้าว่า เนี่ย!ต้นเหตุของความฟุ้งซ่านมันมาจากเรื่องนี้เรื่องนี้ ก็รับไม่ได้ คือรับไม่ได้ที่จะไปตัดทิ้งไอ้ต้นเหตุของความฟุ้งซ่าน แต่ไม่รู้ล่ะฉันอยากจะสงบ เพราะรู้สึกว่าฟุ้งจนใกล้บ้าแล้ว อันนี้หลายคนนะ พูดนี่พูดจากที่เห็นมาจริงๆ คือบางทีเนี่ย อยากรู้วิธีที่จะให้ความฟุ้งซ่านมันสงบระงับลง

ยกตัวอย่างบางคนพอฟังเสียงสติไป คือเดี๋ยวอันนี้เผื่อคนที่ไม่รู้จักเสียงสตินะครับ เข้าไปดูที่นี่ www.เสียงสติ.com

บางคนฟังเสียงสติไปแรกๆเนี่ยสงบ รู้สึกว่าจิตไม่เคยนิ่งแบบนี้เลยในชีวิต แต่พอเจอหน้ากันอีกทีถาม “เนี่ยไม่รู้เป็นยังไงช่วงนี้นะก็ยังฟังเสียงสติอยู่ แต่มันฟุ้งซ่านหยุดไม่ได้ไม่เหมือนช่วงแรกๆเลย”  ทีนี้ขุดไปขุดมาปรากฏว่า ช่วงหลังๆคือชะล่าใจ ประมาทใช้ชีวิตแบบเต็มพิกัดเลยเต็มทีเลย คุยเรื่องไร้สาระ แล้วก็ไปร่วมวงถกเถียงแบ่งข้างแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายแบ่งพวกอะไรกับชาวบ้านเขา แล้วก็ด่าแบบกระจายเลยด้วย คือด่าฝ่ายที่ไม่ชอบอะไรต่างๆ เสร็จแล้วพอถึงเวลาจะต้องนั่งสมาธิก็มาฟังเสียงสติ แล้วก็พยายามทำให้เกิดความสงบ เนี่ยอันนี้มันเป็นความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งนะครับ คือเข้าใจว่าอุบาย หรือว่าวิธีการทำสมาธิ หรือเครื่องทุ่นแรงที่ช่วยให้เราทำสมาธิได้ มันจะช่วยเราได้เสมอไป โดยที่เราไม่ต้องช่วยตัวเอง คือไปก่อวจีทุจริตขึ้นที่ไหนก็ได้ มากมายขนาดไหนก็ได้ หรือว่าไปดูหนังดูละครที่มันเสียดแทงจิตใจหัวจิตหัวใจไม่ให้เกิดความสงบ นึกว่าทำได้หมด นึกว่าอุบายสมาธิที่เราได้แล้ว หรือเครื่องทุ่นแรงทำสมาธิที่เราได้มาแล้วมันจะช่วยเราได้ทุกสถานการณ์ อันนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิดเลยนะครับ

สมาธิ ต่อให้คุณเคยทำได้ดีแค่ไหน แต่ถ้าหากว่าคุณสร้างต้นเหตุของความฟุ้งซ่านไม่เลิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับวจีนะครับ วจีทุจริตมันก็จะทำให้เกิดความปั่นป่วนไม่เลิกได้ไม่จำกัดไม่มีที่สิ้นสุด

แล้วบางคนซะอีกนะ ยิ่งประเภทที่เคยทำสมาธิได้ดีๆ แล้วประมาทเกิดความชะล่าใจ ใช้ชีวิตแบบโลกๆเต็มพิกัดเอามันนะครับ เอาความฟุ้งซ่านเข้าตัว เอาเหตุของความระส่ำระสายทางจิตเข้ามาเรื่อยๆ เสพติดอะไรที่มันเห็นอยู่ชัดๆว่ารบกวนจิตใจ เนี่ย! พวกนี้นะจากเดิมที่เคยทำสมาธิได้ดีๆ มันพลิกเลยนะครับ เพราะจิตเนี่ย ยิ่งเคยสูงขึ้นเท่าไหร่ เวลาตกลงมามันช้ำหนักมันเจ็บหนัก คุณจะเกิดความรู้สึกถึงการกลับเข้าที่เดิมยาก หรือว่าการกลับเข้าจุดได้ลำบาก เพราะอะไร เพราะว่าตอนที่เคยได้ดีแล้ว ไม่รู้ตัว ไม่ระวัง ประมาท ไอ้ความประมาทนี่แหละ จะทำให้จิตมันเกิดอกุศลอย่างแรง แล้วเวลาที่มันตกลงมากระแทกพื้นแล้วเนี่ย มันบอบช้ำกว่าชาวบ้านเขา

คุณนึกถึงคนที่เคยดูดีสร้างบารมีพูดจาอะไรดีมาทุกอย่าง พอเกิดความมัวหมอง เกิดความฉาวโฉ่อะไรขึ้นมา มันเหม็นยิ่งกว่าคนปกติธรรมดาที่มีเรื่องฉาวโฉ่ ฉันใดก็ฉันนั้น จิตก็เหมือนกันนะครับ ถ้ามันเคยขึ้นที่สูงแล้ว เคยขาวผ่องแล้วเนี่ย เวลาตกกลับลงมากระแทกพื้น มันฟกช้ำดำมืดยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปที่จิตยังไม่เคยสูงส่งขนาดนั้นนะครับ อันนี้ก็แจกแจงละเอียดเลยนะครับ เพราะว่าคือตรงนี้เนี่ย มันเป็นความเข้าใจผิดกันจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในยุคเรา นึกว่าสมาธิจะจัดการได้ทุกอย่าง จริงๆไม่ใช่นะครับ เราต้องละเลิก หรืออย่างน้อยลดต้นเหตุของความฟุ้งซ่านลงนะครับ มันถึงจะเริ่มทำสมาธิได้

-----------------------------------------

๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน สมาธิคือบันไดขึ้นที่สูง

คำถาม : จิตฟุ้ง ต้องใช้สมาธิควบคุมใช่ไหมคะ?

ระยะเวลาคลิป    ๙.๔๗  นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=ojL1vsF_Y-Y&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=9

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น