ดังตฤณ : อันดับแรกเลยสิ่งที่จะต้องฝึกก็คือ ฝึกหาวิธีที่จะพูดกับพ่อแม่
ถ้าคุณมีความรู้สึกไม่ดีเวลาเถียงพ่อแม่
อันนั้นแสดงให้เห็นมันสะท้อนว่า คุณเถียงด้วยโทสะ
คุณเถียงด้วยวิธีพูดแบบหนึ่ง ที่แม้แต่ตัวเองก็รู้สึกผิด รู้สึกละอายที่เหมือนปากกล้าถือดีกับพ่อแม่ไปนะครับ
ทีนี้ถ้าหากว่าเราไม่ไปเปลี่ยน ไม่ไปพยายามควบคุมตรงที่ว่า ทำยังไงเราจะไม่เถียง เรามาเปลี่ยนแนวทางในการพูดดีกว่า ในการเลือกคำ
ถ้าหากว่าคุณเลือกคำด้วยสติ ถ้าหากว่าคุณให้เหตุผลด้วยใจที่มันเยือกเย็น ไม่เจือปนอยู่ด้วยโทสะ อันนี้รับประกันได้ว่า คุณจะไม่รู้สึกผิดทีหลัง คุณจะไม่เกิดความรู้สึกว่า ตัวเองเป็นลูกไม่ดี เป็นลูกที่อกตัญญู เป็นลูกที่เนรคุณ เป็นลูกที่ไม่รู้จักเคารพที่ต่ำที่สูงอะไรต่างๆเนี่ยมันจะไม่เกิดขึ้น
เพราะใจที่เยือกเย็น ใจที่สงบ ใจที่คัดเลือกถ้อยคำที่เต็มไปด้วยเหตุผล แล้วก็พูดแบบไม่ชักสีหน้า พูดด้วยความรู้สึกที่มันอยู่ตรงกลาง ตรงที่มันมีความเย็น ตรงที่มันมีความสบายใจ กายนี้ใจนี้มันจะผลิตสิ่งที่ดีๆออกมา
คำพูดที่ออกมาจากจิตที่เป็นกุศล จะเป็นคำพูดที่ทำให้ตัวเราเองรู้สึกดีเสมอ ไม่ว่า ณ ขณะที่กำลังจะพูด ขณะที่กำลังพูดอยู่นั่นเอง แล้วก็ขณะที่เลิกพูดเสร็จ จบคำพูดเรียบร้อยแล้ว มันจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดี เพราะจิตที่เป็นกุศลมีหน้าที่ผลิตของดีๆออกมาให้เกิดความรู้สึกดีทั้งฝั่งเราฝั่งเขา
ถามว่า จะมาเริ่มฝึกพูดยังไง?
ฝึกพูดต่อหน้ากระจกมั้ย
ถ้าอย่างนั้นได้ก็ดีนะครับ เพื่อให้เห็นว่าสีหน้าสีตาของเราตอนที่มันมีความสงบสุข ตอนที่มันเป็นกุศลแล้วคิดอะไรดีๆออกมา
หน้าตามันเป็นยังไง
ส่วนใหญ่คนที่เถียงพ่อเถียงแม่ มักจะไม่มีเรื่องใหม่นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณบอกว่ามีแต่อารมณ์เคยชินที่จะเอาคำพูดแบบเดิมๆออกมากระหน่ำ มันมักจะเป็นเรื่องเดิมๆ มันมักจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้แปลกใหม่ หรือมีอะไรเฉพาะหน้าขึ้นมา มักจะเป็นถ้อยคำแบบเดิมๆ วิธีคิดแบบเดิมๆ
เพราะฉะนั้น คุณมาลิสต์เอาเขียนใส่กระดาษไว้เลยว่า เรามีหัวข้อไหนที่ปี๊ดขึ้นมาอยู่เรื่อยเวลาที่คุยกับคุณพ่อคุณแม่ หรือคุณพ่อคุณแม่เนี่ยใส่เราเข้ามา
ต้องยอมรับว่าบางทีผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ระวังนะว่าลูกของเราจะรู้สึกยังไง เวลาที่เรายกล้อขึ้นมาอะไรแบบนี้ คือก็มนุษย์ธรรมดาทั่วไป
เราลิสต์ไว้เลยว่า ด้วยหัวข้อแบบไหน ที่พูดขึ้นมาตั้งท่าขึ้นมาปุ๊บเนี่ย เอาเลยเนี่ยไอ้ของเก่าๆมันถูกกวนขึ้นมา ขุ่นขึ้นมา แล้วก็ใช้คำเดิมๆ เลือกวิธีพูดแบบเดิมๆ พอคุณมาลิสต์หัวข้อไว้นะ คุณก็ค่อยๆมองดูทีละข้อว่า เออ ตอนนี้ใจเราเย็นอยู่สงบอยู่มีความเป็นกุศลอยู่ ถ้าตั้งอยู่แบบนี้ได้มันจะคิดโต้ตอบด้วยคำแบบไหน ด้วยสีหน้าท่าทางด้วยอาการอย่างไร มองดูตัวเองในกระจกก็ได้ หรือถ่ายคลิปไว้ให้ตัวเองดูทีหลังได้ ด้วยสีหน้าสีตาแบบนี้ ด้วยการพูดแบบนี้มันใช่หรือยัง มีความรู้สึกพอใจตัวเองหรือยัง มันรู้สึกมีความสุขที่ตัวเองพูดออกไปอย่างนั้นหรือยัง
ถ้าหากว่าเราเตรียมไว้ล่วงหน้าครอบคลุมหมดทุกหัวข้อได้ แล้วเกิดสถานการณ์จริง คุณพ่อคุณแม่มาใช้คำเดิมๆ สีหน้าสีตาแบบเดิม หรือใส่อารมณ์แบบเดิมอีกเนี่ย เสร็จแล้วเราดูตัวเองว่า ไอ้ที่ซ้อมไว้มันใช้ได้หรือเปล่า
ถ้าที่ซ้อมไว้มันโอเคหมด พูดจาทุกถ้อยคำไม่ตกหล่น แล้วก็สีหน้าท่าทางอาการอากัปกิริยาเหมือนกับที่ได้ตกลงกับตัวเองไว้ว่าจะเอาอย่างนี้ แล้วเกิดความรู้สึกดี เกิดความรู้สึกว่าวิธีที่จะใช้พูดเนี่ยมันลงตัว มันใช่ มันทำให้ตัวเราเริ่มต้นขึ้นมาที่ตัวเราด้วยความดีก่อน แล้วเห็นชัดๆด้วยประจักษ์หลักฐานว่า คุณพ่อคุณแม่เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบในทางที่มีความเป็นกุศลแบบเดียวกัน สอดคล้องกัน จูนกันติด อย่างนี้แปลว่าประสบความสำเร็จ อย่างนี้แหละมีสติอย่างแท้จริง
คืออย่าไปตั้งธงไว้ง่ายๆว่า ฮึ้ย ทำยังไงเราจะไม่มีสติเถียงพ่อเถียงแม่ แบบนี้เนี่ยมันใช้การไม่ได้นะครับ มันไม่มีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนว่าเราจะมีท่าทียังไง เราจะมีท่าทีแบบ อืม อดกลั้นนะ แล้วก็ใช้กำลังภายในกดทับความต้องการที่จะเถียง
หรือว่าเราจะมีขันติที่ไม่รู้ว่าวันไหนมันจะปรอทแตกขึ้นมา อันนั้นน่ะมันไม่ชัดเจน มันไม่มีท่าทีในการปฏิบัติที่ถูกต้องนะครับ
เอาอย่างนี้ดีกว่า เลือกที่จะพูดยังไง เลือกจิตที่เป็นกุศลเป็นตัวตั้ง แล้วทุกอย่างมันจะลงเอยดีไปเอง
---------------------------------------------------
๕
ธันวาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน นับถือศาสนาอื่นเจริญสติได้ไหม?
คำถาม : จะมีวิธีไหนที่เราจะลดการปากไว เถียงพ่อแม่ให้น้อยลงคะ คือสติมาไม่ทันสักทีค่ะ?
ระยะเวลาคลิป ๖.๕๗ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=IsZFVHi2oR4&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=5
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น