วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เห็นร่างกายมันแยกออกจากความคิด ขยับเองทั้งตอนนั่งสมาธิและตอนลืมตา เป็นเพราะอะไรเราควรดูอย่างไร?

 ดังตฤณ :  ดูมาถึงตรงนี้ก็เหมือนกับเริ่มที่จะไม่ปล่อยให้ร่างกายมันครอบงำความคิด หรือความรู้สึกหรือสติ มันเริ่มที่จะอ่านออกบอกถูกว่า จริงๆแล้วจิตกับกายมันเป็นคนละหน่วยคนละอัน ไม่ได้เป็นไปด้วยกัน

ซึ่งแรกๆก็อาจจะตกใจนะครับ แต่ถ้าเห็นเป็นธรรมดา คุณจะใช้ชีวิตแบบปกตได้เลย แล้วก็สามารถเห็นโดยความเป็นอย่างนั้น โดยไม่รู้สึกแปลกประหลาด หรือไม่รู้สึกว่ามันเป็นการเห็นที่จะน่าหวาดระแวง หรือกลัวว่าจะเป็นบ้าหรือเปล่าอะไรแบบนี้

มันจะเห็นด้วยจิตที่ผ่องแผ้ว แล้วก็เห็นด้วยจิตที่มีสติสมบูรณ์ แล้วก็รู้ว่าการเห็นนั้น เป็นการเห็นที่ถูกต้องอยู่แล้ว

อันนี้ตัวเจ้าของคำถามไม่ได้เล่ามานะว่ารู้สึกยังไง แต่รู้ว่ามันแยกออกมา กายส่วนหนึ่ง ความคิดส่วนหนึ่งแยกออกมาเป็นชั้น แล้วจะให้ทำยังไงต่อ?

ก็ให้สังเกตว่าปฏิกิริยาทางใจที่มันปรากฏ ณ ขณะที่เรารู้สึกถึงการแยกระหว่างกายกับความคิดว่ามันเป็นยังไง เป็นสุขหรือว่าเป็นทุกข์

ถ้าเป็นสุข มันจะเบา มันจะนิ่ง มันจะเฉยๆ เหมือนเป็นปกติของมันอยู่แล้ว

แต่ถ้าหากเป็นทุกข์ มันจะประหลาดใจ มันจะเกิดความกระวนกระวายขึ้นมา มันจะเกิดความสงสัยว่า เอ๊ะ! นี่เกิดอะไรขึ้นกับเรา เนี่ยอย่างนี้เรียกว่าเป็นความทุกข์

แล้วถ้าหากว่าเรามีความสุข มันจะดูอยู่เฉยๆ มันจะมีความพอใจที่จะรู้อยู่อย่างนั้นเฉยๆ ไม่ไปเพิ่มเติมอะไรเข้าไป เสร็จแล้วพอไม่คิดเพิ่มเติมนั่นแหละ รู้อยู่อย่างนั้นเฉยๆนั่นแหละ มันกลายเป็นเพิ่มสติขึ้นมา ให้สติมีความแข็งแรงขึ้น อยู่ได้นานขึ้น เนียนขึ้น เสถียรขึ้น

จนกระทั่งผลออกมาทางจิต จิตเราจะใหญ่ขึ้น รู้เลยว่าจิตใหญ่หน้าตาเป็นอย่างนี้

จิตใหญ่แต่ไม่มีตัวตน จิตมีความเป็นสมาธิ แต่ไม่มีความภูมิใจ

จิตมีความเป็นสติสมบูรณ์ คือจะขยับจะอะไรรู้หมด แต่ไม่มีความคาดหวังว่า เดี๋ยวเราจะบรรลุมรรคผลขั้นนั้นขั้นนี้

มีแต่ความพอใจที่สืบเนื่องไปว่า เออ เราเห็นอยู่อย่างนี้เห็นแยก ถ้าภาษานักเจริญสติเขาเรียกแยกขันธ์ กายอยู่ส่วนหนึ่ง ความคิดอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง ความรู้สึกเบา สบาย หรือหนักก็อยู่อีกส่วนหนึ่ง จริงๆมันปนอยู่ด้วยกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเราสามารถแยกออกได้ด้วยสติอย่างคมชัดว่า มันเป็นคนละประเภทกัน มันเป็นธรรมชาติคนละชนิดกัน เราเห็นว่าเดิมมันมีตัวของเราอยู่แน่ๆ แต่พอเริ่มแยกขันธ์ มันกลายเป็นเห็นว่าไม่มีตัวเราอยู่แน่ๆ นับเริ่มตั้งแต่รู้สึกถึงกายใจ โดยความเป็นรูปฝั่งหนึ่ง แล้วก็นามฝั่งหนึ่งแบบนี้แหละ เราจะเกิดความชัดเจนขึ้นมาว่า สภาพของกายมันเป็นอิริยาบถ นั่ง เดิน ยืน นอนอยู่อย่างนี้

ส่วนความเคลื่อนไหวในจิต เดี๋ยวมันก็มีความคิดโผล่ขึ้นมา เดี๋ยวมันก็มีความคิดที่ดับหายไป แล้วสภาพของใจเดี๋ยวมันก็เบา เดี๋ยวมันก็หนัก กลายเป็นความรู้สึกว่าสุขบ้างทุกข์บ้าง ไม่ได้มีน่าเสียใจในความเป็นภาวะเหล่านั้น ไม่ได้มีอะไรเป็นความน่ายินดีน่าดีใจกับความเป็นภาวะเหล่านั้น เพราะภาวะเหล่านั้นมาให้ดูว่า เกิดขึ้นแล้วมันต้องหายไปเป็นธรรมดาทั้งหมด

เวลาดูพูดง่ายๆนะ ที่พูดไปทั้งหมดเพื่อจะรวมลงสรุปเลยข้อเดียวคือ “รู้โดยความเป็นอย่างนั้นแหละรู้ด้วยใจที่มันไม่ตั้งใจว่าจะรู้อะไรเพิ่ม แต่ถ้ามีอะไรเพิ่มมาให้รู้ก็รู้ไปตามนั้น

เพราะพอมาถึงสติที่แยกขันธ์ได้ จริงๆคุณไม่ต้องทำอะไรมาก เอาแค่ไม่วอกแวกออกไปข้างนอก รู้อยู่โดยความเป็นอย่างนั้น มันจะเพลินขึ้นเรื่อยๆด้วยนะ มีความพอใจ มีฉันทะ มีฉันทะในการที่จะเห็น

คือคนจะเข้าใจว่า เห็นอย่างนั้นเฉยๆก็โง่น่ะสิ แต่ถ้าได้ลองที่จะรู้อยู่เฉยๆ รู้ไปเรื่อยๆ มันจะเริ่มเห็นรายละเอียดเพิ่ม เพราะว่าจิตมันจะเข้าโฟกัส เข้าโฟกัสอะไร?

เข้าโฟกัสไม่ใช่จี้ลงไปที่จุดใดจุดหนึ่งคับแคบ แต่เข้าโฟกัสที่จะรับรู้อยู่ในอิริยาบถแบบกว้างๆสบายๆอย่างนี้นะครับ

คือจิตพอมันใหญ่แล้ว มันจะใหญ่กว่ากาย กายจะปรากฏเป็นของเล็ก ท่านั่งทั้งตัวมันจะเหมือนกับท่านั่งที่ปรากฏชัดเจนจากหัวจรดเท้า

แต่ถ้าจิตยังเล็กๆอยู่ จิตยังเหมือนกับไม่มีความเสถียร มันจะเห็นว่าร่างกายนี้ใหญ่ แล้วก็ต้องจี้ลงไปที่จุดหนึ่งถึงจะเห็นความเป็นกาย อย่างเช่นว่าไปจ่อดูว่า ลมหายใจมันกระทบเข้าที่ตรงไหนของโพรงจมูกอะไรแบบนี้ มันก็เลยไปไม่ถึงไหน เพราะว่าจิตเล็กอยู่ แล้วก็ดูไม่ออกว่า กายใจปรากฏเป็นของไม่เที่ยงยังไง

แต่พอจิตเริ่มใหญ่แล้วเห็นกายเล็ก เห็นกายตั้งอยู่ในสภาพแบบนี้ แล้วก็เห็นภาวะทางจิตเคลื่อนไหวไปมา มีความคิดแบบหนึ่ง แล้วก็ความคิดแบบนั้นหายไปดับไป เดี๋ยวมีความรู้สึกเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง เนี่ยเห็นแบบนี้ เห็นออกมาจากความเป็นอิริยาบถปัจจุบันนะครับ ตั้งต้นจากอิริยาบถปัจจุบันได้ แล้วเห็นมันสักแต่เป็นรูปเป็นภาวะที่มันจับต้องได้ ตั้งอยู่ในรูปพรรณสัณฐานท่าใดท่าหนึ่งเป็นต่างหากจากความคิดและสภาวะทางจิต เนี่ย!ตัวนี้แหละ ที่มันจะสามารถเห็นได้เรื่อยๆว่ามันไม่เที่ยงจริงๆ

แล้วความไม่เที่ยงนี่แหละที่เรียกว่า อนัตตา คือมันไม่สามารถที่จะระบุได้ว่า ความไม่เที่ยงที่ล่วงไปแล้วหายไปแล้วเนี่ยเป็นใคร แล้วก็ไม่สามารถที่จะนิยามว่า ตัวความคิดหรือว่าตัวความรู้สึกที่มันกำลังปรากฏในวูบปัจจุบันนี้เป็นใครมาแทนอีก มันไม่มีใครอยู่ มันเห็นแต่สภาวะ นี่แหละ! ตัวนี้แหละดูไปเรื่อยๆ

----------------------------------------------

๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน คิดแล้วหายทุกข์ = สติ

คำถาม : เห็นร่างกายมันแยกออกจากความคิด ขยับเองทั้งตอนนั่งสมาธิและตอนลืมตา เป็นเพราะอะไรเราควรดูอย่างไร?

ระยะเวลาคลิป    ๘.๐๗  นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=rnw3LXos1Ag&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=7

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น