ดังตฤณ : จิต คือ ธาตุรู้ แล้วก็เกิดดับตลอดเวลา
อย่างเวลาที่คุณรู้สึกดี รู้สึกว่ามีความชุ่มชื่นจากการทำบุญ นั่นเรียกว่ากุศลจิต แต่พอขณะที่มีกุศลจิตอยู่นั่นเอง ไปเจอเข้ากับคนที่ไม่ชอบหน้ากัน แล้วเกิดความรู้สึกขุ่นมัว เกิดความรู้สึกว่าในหัวมันเต็มไปด้วยคำด่าชั่วร้าย คำที่มันไม่เป็นมงคลคำหยาบๆคายๆ จิตที่เป็นกุศลดับไปแล้ว แล้วกลายเป็นจิตที่เป็นอกุศล หรือว่าอกุศลจิตขึ้นมาแทนอย่างที่เต็มๆเลย มันเป็นคนละดวงกันแล้ว เป็นคนละคนกันแล้ว แต่เรายังนึกอยู่ว่ามันเป็นคนเดียวกัน เพราะว่าความจำความสำคัญมั่นหมายมันยังคงสืบเนื่องไม่สะดุด
แม้แต่ความสำคัญมั่นหมาย มันก็เป็นของที่ไม่เที่ยง แล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ว่าไอ้ตัวความรู้สึก รู้สึกว่าใช่มันสืบทอดไปจากความสำคัญมั่นหมายขณะหนึ่งไปสู่ความสำคัญมั่นหมายอีกขณะหนึ่ง
อย่างเช่น ตอนคุณมีจิตเป็นกุศลชุ่มชื่นจากการทำบุญ มันมีความสำคัญมั่นหมายว่า นี่เป็นจิตของเรา นี่เป็นความรู้สึกของเรา
ที่นี้พอถัดจากความรู้สึกนั้นไปเจอคนที่ไม่ชอบหน้า แล้วเกิดความขุ่นมัวขึ้นมา มีอกุศลจิต มีความอึดอัด มันก็เกิดความสำคัญมั่นหมายยึดมั่นขึ้นมาทันทีว่า นี่คือความรู้สึกไม่ดีของเรา มันมีแต่ความรู้สึกว่านี่เป็นของเราทั้งนั้นนะครับ แล้วก็ไม่ใช่ตัวอื่น นี่เป็นตัวเราอย่างต่อเนื่อง มันเป็นตัวเราเป็นขณะๆสืบเนื่องกันเหมือนกับระลอกคลื่น ที่ ณ จุดหนึ่งยอดคลื่นหนึ่งตำแหน่งหนึ่งมันเป็นคลื่นหนึ่ง
แต่พอมีการส่งระลอกคลื่นแรงกระเพื่อมต่อไปยังน้ำระลอกอื่นน้ำในช่วงอื่น มันก็เป็นระลอกคลื่นที่สูงๆต่ำๆ แต่เนื่องจากมันเคลื่อนไปตามลำดับ ดูด้วยตาเปล่าเลยนึกว่าเป็นคลื่นเดียวกัน
ถ้าเราจับตาอยู่ที่คลื่นยอดคลื่นหนึ่ง แล้วเฝ้ามองอยู่ไม่ขาดนะ มันจะเห็นว่าคลื่นนั้นมีการเคลื่อนตัว แต่จริงๆไม่ใช่ มันไม่ใช่คลื่นเดิม มันเป็นการส่งระลอก มันเป็นการส่งระลอกความกระเพื่อม น้ำเนี่ยจริงๆคนละน้ำกันแล้ว ไม่ใช่น้ำเดียวกัน ไม่ว่าน้ำทะเลหรือน้ำคลองมันไหลไปเรื่อยๆใช่มั้ย หรือแม้แต่น้ำนิ่งเนี่ย ถ้าเราโยนก้อนหินลงไป ที่เราเห็นมันกระเพื่อมเป็นลูกคลื่น มันก็ไม่ใช่น้ำเดียวกัน มันเป็นน้ำที่ถูกทำให้กระเพื่อม ถูกทำให้เคลื่อนไหว
แต่พอมาเทียบกับเรื่องของจิตก็คือว่า พอเรารู้สึกว่ามันเป็นตัวเดิม ไอ้ความรู้สึกเนี่ย ยังไงยังไงมันก็จะยึดว่า เนี่ยคือตัวเรา นี่คือจิตของเรา ทั้งๆที่จิตมันดับไปแล้ว เปลี่ยนไปแล้ว
อย่างคนที่มีทิฐิมีความยึดมั่น มีความเชื่อว่า จิตเป็นตัวเป็นตน ส่วนร่างกายไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน พระพุทธเจ้าบอกว่า คนที่ยึดแบบนี้เนี่ยยึดว่าร่างกายเป็นตัวเป็นตนเสียยังดีกว่า
เพราะอะไร?
เพราะว่าร่างกายมันคงรูปคงสภาพอยู่อย่างนี้ทั้งวัน
แต่จิตมันเกิดดับตลอดวันตลอดคืน เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล
เดี๋ยวเป็นจิตที่เห็นรูป เดี๋ยวเป็นจิตที่ได้ยินเสียง เดี๋ยวเป็นจิตที่คิด
เดี๋ยวเป็นจิตที่สงบ มันเกิดดับตลอดวันตลอดคืน
แต่เราก็ยังไปยึดอยู่ว่าเป็นจิตของเราเป็นตัวของเรา
ทีนี้จิตคืออะไร?
คือธาตุรู้นะครับ
ไม่ใช่ว่าไม่มีตัวตนแบบไม่มีอะไรเลย มันมีครับ แต่ว่ามีชั่วขณะหนึ่งที่มันรับรู้อะไรอย่างหนึ่ง
หรือคงสภาพอะไรอย่างหนึ่ง สว่างหรือมืด
เป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศลด้วยเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งๆที่ปรุงประกอบให้เกิดขึ้น
อย่างที่ผมยกตัวอย่างว่า ตอนเราทำบุญก็เกิดกุศลจิต มีกิจกรรมคือการทำบุญเป็นเครื่องปรุงแต่งให้จิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้น แต่พอเจอคนที่ไม่ชอบหน้า คนที่ไม่ชอบหน้านั้นก็ปรุงแต่งให้อกุศลจิตมันเกิดแทน
หรืออย่างเรามีความจงใจที่จะเล็งดูรูปรูปใดรูปหนึ่ง แล้วเกิดการเห็นรูปนั้นขึ้นมา เรียกว่าเป็นจักขุวิญญาณ คือมีการรับรู้ทางตา การรับรู้ทางอายตนะอื่นดับไป เหลือแต่จักขุวิญญาณอย่างเดียวที่กำลังปรากฏอยู่ ณ ขณะนั้น ตัวนี้ก็คือมันต้องมีแก้วตา มีความเล็งว่าจะดูอะไร แล้วก็สิ่งนั้นต้องตั้งอยู่ตรงหน้าให้เห็นนะครับ จึงเกิดจักขุวิญญาณขึ้นมา ซึ่งจักขุวิญญาณนั้นเกิดแป๊บเดียว พอเราเงี่ยหูฟังอย่างอื่น จักขุวิญญาณก็ดับไป แล้วเกิดเป็นโสตวิญญาณขึ้นมาแทน คำว่าวิญญาณกับจิตมันอันเดียวกัน แต่ใช้มองในแง่ที่ต่างกันนะครับ
ส่วนที่บอกว่านิพพานอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ด้วยมั้ย ไม่อยู่นะครับ
นิพพาน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นของจริง เนื่องจากคงที่ ไม่มีการเกิด ไม่มีการตั้งอยู่
แล้วก็ไม่มีการดับไป มีแต่การคงความเป็นธรรมชาติของนิพพานเช่นนั้น
ถามว่านิพพานเป็นยังไง?
คือการไม่ปรุงแต่ง
ไม่มีสภาพที่ไปประกอบประชุม หรือบีบคั้นให้มีความเสื่อมสลายไปจากความเป็นเช่นนั้น นิพพานเลยไม่ตกอยู่ใต้กฎของไตรลักษณ์
คือไม่ตกอยู่ใต้กฎของไตรลักษณ์ในแง่ที่ว่ามีความเที่ยง มีความทน
แต่ก็เป็นอนัตตาด้วย
ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ก็เพราะอย่างนี้นะครับ แม้แต่นิพพานก็เหมารวมอยู่ในธัมมานั้นด้วย คือไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ได้มีตัวบุคคลเป็นคนๆอย่างนี้ที่มีความรู้สึกนึกคิดว่าฉันคือเจ้าของ เป็นผู้สร้างหรือว่าเป็นผู้รักษาไว้
แต่นิพพานมีจริงมีสภาพอยู่จริงๆ ถ้าไม่มีนิพพานพระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราไม่สามารถบรรลุธรรมกันได้ คนเราไม่สามารถที่จะเป็นพระอรหันต์ได้
ณ
ขณะบรรลุธรรมก็คือ ณ ขณะที่จิตจับนิพพานเป็นอารมณ์
ณ
ขณะที่พระอรหันต์ จิตสุดท้ายของท่านดับไป สิ่งที่ปรากฏใหม่เป็นของเดิม คือ
ความว่างจากการปรุงแต่ง ไม่มีจิตเกิดขึ้น ไม่มีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น
ไม่มีสภาพคลุมรูปเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีสภาพเป็นสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สีชมพู สีดำอะไร
มีแต่ความสว่างโพลงทั่วตลอด
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะครับลักษณะของนิพพาน คือไม่มีนิมิต มีความสว่างโพลงทั่วตลอดแล้วก็ไม่มีที่ตั้ง
คำว่า
ไม่มีที่ตั้ง หมายความว่ายังไง?
อันนี้จิตนาการไม่ได้
เหมือนอย่างที่เรารู้กันว่า เราเข้าใจกันว่า จักรวาลเกิดขึ้นจากบิ๊กแบง(big bang)
บิ๊กแบง
คืออะไร?
คือการระเบิดครั้งใหญ่
ระเบิดตรงไหน?
บอกไม่ได้เพราะว่าก่อนที่จะเกิดบิ๊กแบงยังไม่มีเวลา
ยังไม่มีห้วงอวกาศให้ชี้ตำแหน่งว่า เอ็กซ์ วาย แซด อยู่ตรงไหน แล้วก็พูดง่ายๆว่า ยังไม่มีอะไรเลยนอกจากแรงโน้มถ่วง
คือมีความดึงดูดให้เกิดขึ้น มีความดึงดูดให้ติดอยู่ นี่คือลักษณะพื้นฐานของจักรวาล
ทีนี้พอเราบอกนิพพานไม่มีที่ตั้งเพราะคล้ายกัน เราไประบุตำแหน่ง เอ็กซ์ วาย แซด ไม่ได้ว่านิพพานอยู่ตรงไหน อย่างถ้าจิตเราสามารถที่จะทะลุความเป็นกายความใจในขณะนี้ออกไปได้ก็คือนิพพานแล้ว
แต่เราทะลุออกไปไม่ได้ มันก็เห็นแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างความเป็นธาตุหยาบแบบนี้ หรือว่าทิพยสภาพของเทวดาของพระพรหม หรือท้องฟ้าที่เป็นช่องว่างแบบนี้
แต่นิพพานพ้นออกจากสิ่งเหล่านี้ออกไปทั้งหมด เป็นความว่างอีกแบบหนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าให้มองง่ายๆว่าเป็นบรมสุข เพราะว่ามันไม่ต้องทุกข์อีก ไม่ต้องมาอยู่ใต้วังวนของการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่เที่ยงนะครับ
อันนี้แหละที่เวลาจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับนิพพาน พระพุทธเจ้าให้ตั้งจิตไว้ว่า นิพพานคือบรมสุข
ส่วนความเวียนว่ายตายเกิดเป็นกายเป็นใจแบบนี้
แบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อันนั้นเป็นบรมทุกข์ เป็นมหันตทุกข์ที่มันไม่มีที่สิ้นสุด
จะสิ้นสุดลงได้ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยคือเจริญสติ พบพระพุทธเจ้า เกิดศรัทธาในพระองค์
แล้วเจริญสติตามที่พระองค์สอน นี่แหละถึงจะพบนิพพานได้นะครับ
------------------------------------------
๕
ธันวาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน นับถือศาสนาอื่นเจริญสติได้ไหม?
คำถาม : ถ้าจิตไม่มีตัวไม่มีตนแล้วจิตคืออะไร? นิพพานอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ด้วยไหม?
ระยะเวลาคลิป ๑๐.๓๕
นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=sIagip7D-vU&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=1
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น