ดังตฤณ : ช่วงนี้เยอะจังเลยนะ เอาเป็นว่าเดือนที่ผ่านมาชัวร์ๆเลยมีอยู่ ๒ รายที่ขอให้ช่วยให้คำแนะ ช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่โลกกำลังไม่น่าอยู่จริงๆสำหรับหลายๆคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่หาทางออกทางความคิดไม่ได้ ก็เลยมีหัวข้อนี้ขึ้นมา ก็เพราะว่าทราบว่าหลายคนเอาความคิดเป็นที่ตั้งของความสุขไม่ได้ ส่วนใหญ่คิดแล้วซ้ำเติมตัวเอง ส่วนใหญ่คิดแล้วอยากจะหนีโลก โลกที่กำลังเป็นอยู่ปัจจุบันมันน่าหนี อันนี้เราพูดกันแบบกลางๆก่อน
คือมันยาก มันอยู่ยาก ไหนจะโควิด ไหนจะภัยธรรมชาติ ไหนจะเศรษฐกิจ ไหนจะเรื่องการเมือง ไหนจะเรื่องของคนรอบตัวที่เปลี่ยนไป
บางคนก็มีความรู้สึกราวกับว่า อยู่ท่ามกลางฝูงซอมบี้ที่พร้อมจะคลุ้มคลั่งอะไรแบบนั้น ก็ อันนี้พูดในด้านที่คนเขารู้สึกว่า อยากฆ่าตัวตายหนี
แต่จริงๆแล้วโลกดีๆส่วนที่มันยังสว่าง ส่วนที่ยังมีความสุข มันก็ยังมีอยู่นะครับ ทีนี้ทำยังไงที่เราจะเผื่อแผ่ความสุขตรงนี้ไปให้กับคนที่เขามีความทุกข์ได้
ผมจะไม่ค่อยชอบแบบตอบทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร คือจะให้มาบอกว่า มีวิธีทำบุญแบบนั้นแบบนี้แล้วมันจะไปถึงคนตายที่ฆ่าตัวตายอะไรแบบนี้นะครับ มันไม่จริง
อย่างบุคคลอันเป็นที่รักกรณีนี้ก็ขออภัยนะครับ คือเรามาพูดคุยกันจริงๆเลยว่า การฆ่าตัวตายด้วยจิตที่เป็นทุกข์หรืออกุศลนั้น โอกาสที่เราจะทำบุญให้เขาเหมือนกับเคลื่อนออกภาวะของวิญญาณที่มาจากความเป็นคนฆ่าตัวตาย หรือว่าทำกรรมแบบอัตวินิบาตกรรมมามันยาก มันไม่ใช่ง่ายๆ
ยกเว้นแต่ว่า คุณจะทำเรื่อยๆทำทุกวัน ทำบุญอย่างหนักเลยนะ รักมากก็ทำมาก
คำว่า ทำมาก ไม่ได้หมายความว่าลงเงินมาก แต่หมายความว่า ให้จิตของคุณเกิดกุศลมากๆ มีความเป็นบุญมากๆ จะไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือว่าเจริญสติอะไรก็แล้วแต่ ให้จิตมีความผ่องแผ้วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
คือทำจิตให้เป็นที่ตั้งของสปอร์ตไลท์ฉายไปถึงจิตวิญญาณของเขาให้ได้ด้วยการระลึกถึงบ่อยๆนั่นแหละ
พูดง่ายๆว่าไม่ใช่ว่าระลึกถึงด้วยความเศร้าเสียใจอาลัย หรือว่าสงสารนะครับ เพราะอารมณ์เหล่านั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับจิตวิญญาณหลังจากได้ฆ่าตัวตายไปแล้วเลย
“จิต” ที่มีประโยชน์กับจิตวิญญาณที่ฆ่าตัวตายไป ต้องเป็นจิตที่มีสติ แล้วก็มีพลังความสว่างมากพอ ที่จะกระตุ้นให้จิตวิญญาณที่มันมืดบอดนั้น มีสติ แล้วก็มีความสว่างตามเราขึ้นมาได้
ยิ่งเราจิตดี จิตมีความเป็นกุศลมากขึ้นเท่าไหร่ แล้วเราคิดเล็งหาเขามากขึ้น มันจะต่อ มันจะมีสะพานเชื่อมโยงให้เขาเกิดความรู้สึกตัว แล้วก็มีความสว่างมากขึ้น มากขึ้นมาได้
แต่อย่าหวังว่า จะช่วยในแบบที่มันพาเขาเคลื่อนจากภพของความเป็นนักฆ่าตัวตายไปได้ในเร็ววัน เพราะว่ากำเนิดใหม่ที่ถือกำเนิดจากการฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่จะติดล็อก แล้วก็จะปิดกั้น ปิดกั้นไม่ให้รับรู้ว่าใครส่งอะไรมา
ยกเว้นแต่ตอนเขาฆ่าตัวตายเนี่ย
๑
จิตมีสติพอสมควร
๒
เป็นผู้ทำบุญมาพอสมควร คิดดี ทำดี พูดดี
แล้วก็ช่วยคนอื่นมาพอสมควร
คือมีพลังกุศลมากพอที่จะเป็นฐานให้เกิดการรับ
หรือว่าเชื่อมต่อกับสิ่งที่เป็นกุศลด้วยกัน คือพลังของความอยากอุทิศส่วนกุศลของเราที่ยังอยู่ในโลกนี้นะ
คือถ้าหากว่า เขามีดีพอที่จะรับผลบุญผลกุศลของเราได้ แล้วเขาก็รู้ว่าเราคิดถึงเขา เคยมีความผูกพัน เคยมีความสัมพันธ์อะไรกันมาก่อน ความสัมพันธ์นั้นมันจะเป็นสะพานเชื่อมกรรม คือมันมีกรรมสัมพันธ์กันมา พอเรานึกถึงเขามันก็มีจุดเชื่อมต่อที่จะทำให้เขานึกถึงเราได้ ตรงนี้จริงๆแล้วมันไม่มีอะไรตายตัวนะ
เพราะจิตวิญญาณบางดวง คือหลังจากฆ่าตัวตายไปแล้ว จะไม่มีความสามารถที่จะรับรู้อะไรในโลกที่ผ่านมาได้เลย คือจะคล้ายๆถูกล็อกอยู่ในกล่องเล็กๆ แคบๆ ที่ห้ามไม่ให้เกิดการติดต่อใดๆทั้งสิ้น
ขณะที่คนฆ่าตัวตายบางคนนะ บางคนนะครับ คือมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกับมนุษย์ปกติตอนที่ยังไม่ตาย แต่ว่าทำอะไรไม่ได้ กลับมาไม่ได้มาบอกใครไม่ได้ว่าไม่อยากตายแล้ว ไม่อยากไปอยู่ในสภาพแบบนั้นแล้ว คือมันทุกข์เข้าไปอีก ไอ้ที่ทุกข์อยู่แล้วตอนอยู่บนโลกนึกว่าจะ เออ ขอตายๆไป แล้วก็เพื่อที่จะจบความทุกข์ตรงนี้ ที่ไหนได้ ไม่ใช่นะครับ มันไปทุกข์อยู่กับไอ้ความทุกข์ก้อนเดิมอึดอัดอยู่แบบเดิม แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย มันไม่เหมือนกับตอนมีร่างกายเป็นมนุษย์ มีรายกายเป็นมนุษย์เนี่ยมาหัดหายใจยาว แค่นี้มีความสุขแล้ว
แต่ว่าจิตวิญญาณที่ฆ่าตัวตายไปเนี่ยนะ ตอนที่มันรู้สึกว่า เออ ตัวเองกลายเป็นวิญญาณแล้วเนี่ย คือมันติดล็อกอยู่อย่างนั้น หายใจ(ยาว)แบบนี้ไม่ได้นะ คือมันอยู่กับไอ้ความเศร้าโศกแบบเดิมๆ หรือว่าจะเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้บ้างเนี่ย มันก็เป็นบางวาระ เป็นบางวาระที่บุญเก่าเปิดโอกาสให้บ้าง ไม่อึดอัดจนเกิดไป
แต่มีอยู่ประเภทที่ร้องไห้อยู่ตลอด ร้องไห้ด้วยเสียงแบบโหยหวน แล้วก็ด้วยความรู้สึกที่มันเหมือนฝันร้ายติดอยู่ในฝันร้ายไม่เลิกนะครับ ออกไปจากฝันร้ายไม่ได้ เนี่ย! โลกของคนฆ่าตัวตายนะ คือจาระไนไม่หมด
แต่ดูง่ายๆว่า ความเป็นคนที่ฆ่าตัวตายเนี่ย เขามีตัวตนอยู่อย่างไรในขณะที่มีชีวิตนะครับ รู้จักช่วยเหลือคนอื่นมั้ย หรือว่านับถือพระสงฆ์องค์เจ้าดีๆที่ยังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ยังมีอยู่บ้างมั้ย หรือว่าเคยฟังธรรมะ ฟังอะไรที่มันสว่างๆบ้างมั้ย หรือว่ามีตัวตนในแบบรู้จักที่จะอัพเกรด(upgrade)ความคิด หรือว่าอัพเดท(update)ความรู้อะไรที่มันใหม่ๆ ที่มันเป็นความคิดบวกบ้างมั้ย เนี่ยเหล่านี้มีผลหมด
เวลาที่ตายไปนะมันจะก่อร่างสร้างจิตวิญญาณ หรือว่าความเป็นภาวะ หรือว่าภพความเป็นเช่นนั้น บุคคลเช่นนั้นอยู่ในคาแรคเตอร์(Character)ใหม่
เหมือนกับอย่างถ้าเป็นคนที่เคยใจกว้างเปิดรับความคิดของคนอื่น หรือว่ารู้จักคิดอะไรในแง่บวกบ้างเนี่ย มันจะมีโอกาสที่จิตจะหลุดออกจากภาวะคุมขังมีอิสระบ้าง ไปเจออะไรที่มันสบายอกสบายใจบ้าง
แต่ถ้าหากว่าเอาแต่ล็อกความคิด ล็อกความรู้สึกขังตัวเองอยู่ในสภาพที่มันเศร้าหมองนะครับ แบบนั้นเนี่ย มันก็จะเหมือนมีกรงล็อกขนาดใหญ่ที่แข็งแรง แล้วคุมตัวไม่ให้ออกจากภาวะความเป็นแบบนั้นได้ง่ายๆด้วย มันจะเหมือนติดอยู่กับที่ ไปไหนไม่ได้นะครับ
อย่างถ้าเปรียบเทียบกับในโลก ก็นักโทษที่โดนจองจำด้วยตุ้มเหล็กอะไรหนักๆใหญ่ๆนะครับ
ทีนี้ เดี๋ยวสรุปคำตอบสำหรับคำถามนี้
คุณพยายามทำบุญให้มากๆ
แล้วไม่ใช่ว่าจะต้องลงเป็นเงินเป็นทองอย่างเดียวนะครับ อาจจะนานๆทีทำบุญใหญ่
อาจจะถวายสังฆทานพระสัก ๙ รูปอะไรแบบนี้ แต่ไม่ต้องทำทุกวันเดี๋ยวหมดตัวกันพอดี
ที่ต้องทำกันทุกวัน ก็อย่างเช่น ไหว้พระ สวดมนต์ เปล่งเสียงถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชาด้วยใจที่ผ่องแผ้ว ด้วยใจที่มีความชื่นมื่น แล้วก็จะทำบุญทำกุศลอะไรก็แล้วแต่ ก็พยายามที่จะคิดในใจ ตั้งไว้ในใจว่าอยากจะให้ผู้ที่ล่วงลับไปได้ความรู้สึกเป็นสุขแบบนี้ ความสว่างแบบนี้นะครับ นึกให้ออกเหมือนกับให้ของ
แรกๆ ตอนที่ลักษณะของกุศลจิต ลักษณะของบุญยังไม่แจ่มชัดมาก คุณจะยังนึกไม่ออกนะว่าการยกให้หน้าตาเป็นยังไง แต่เมื่อไหร่ที่ความเป็นบุญความเป็นกุศลความสว่างนั้นเกิดขึ้นเป็นปกติแล้ว มีความใหญ่มากพอ พอคุณนึกอยากยกความสุข หรือว่ายกบุญตรงนี้ ยกความสว่างตรงนี้ให้กับผู้ล่วงลับ มันจะชัดเจนเหมือนกับเราได้มอบของ
เวลาคนรู้จักกันก็ต้องเคยให้ของกัน ก็นึกแบบนั้นแหละ คือให้ด้วยความรู้สึกว่าอยากให้เขาได้รับ แล้วก็อยากให้เขามีความสุขเท่ากับเรานะครับ หรือว่าดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ความรู้สึกแบบนี้เนี่ย มันเต็มที่แล้วที่สุดแล้วที่คุณจะทำให้คนๆหนึ่งที่ล่วงลับไปนะครับ
ส่วนการคาดหวังว่าเขาจะได้รับ เขาจะได้เลื่อนชั้น เขาจะได้พ้นจากภาวะอึดอัดเป็นทุกข์อยู่หรือเปล่าเนี่ย มันเป็นอจินไตย
คำว่า “อจินไตย” ไม่ใช่ไม่สามารถรู้ได้นะครับ
แต่ว่าคิดคะเนเอาไม่ได้
คุณจะบอกตัวเองได้คร่าวๆสำหรับคนที่ไม่ได้มีตาทิพย์รู้เห็นภาวะหลังตายไปแล้วเนี่ยนะครับ
ก็คือความรู้สึกของคุณเองเวลานึกถึงเขา มันยังสงสาร มันยังอึดอัดอยู่มากน้อยแค่ไหน
หรือว่ามันเริ่มโล่งแล้ว สบายแล้ว ปลอดโปร่งแล้ว แล้วก็ไม่ห่วงมากแล้ว
อันนี้ก็เป็นหลักการคร่าวๆนะครับ
------------------------------------------
๑๒
ธันวาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน คิดแล้วหายทุกข์ =
สติ
คำถาม : ขอวิธีทำบุญให้กับคนที่ฆ่าตัวตาย และพอจะมีวิธีรับรู้ได้อย่างไรว่า คนที่ตายไปแล้วได้รับบุญที่เราทำไปให้เขา?
ระยะเวลาคลิป ๑๒.๒๗
นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=izMdMrTRA4Q&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=6
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น